Food Focus Thailand
MAY 2013
86
àÍ¡ÊÒÃÍŒ
Ò§ÍÔ
§
Stoecker, W. F. 1998. Industrial Refrigeration Handbook. McGraw-Hill,
New York, USA. 782 p.
เป
นตั
วกลางสำหรั
บส
งต
อความร
อนจากวั
สดุ
ที่
ต
องการทำให
เย็
นมายั
ง
สารทำความเย็
น อย
างไรก็
ตามสารหล
อเย็
นทุ
ติ
ยภู
มิ
ที่
ถู
กยกตั
วอย
างมา
ข
างต
น ไม
สามารถใช
ที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำมากได
เนื่
องจากจุ
ดเยื
อกแข็
งไม
ต่
ำ
มากพอ หรื
อความหนื
ดของสารเหล
านี้
มี
ค
าสู
งเกิ
นไปที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำ
ดั
งนั้
นสำหรั
บระบบทำความเย็
นที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำกว
า –40 องศาเซลเซี
ยส
จึ
งนิ
ยมใช
สารหล
อเย็
นทุ
ติ
ยภู
มิ
ชนิ
ดอื่
น เช
น อะซี
โตน เอทิ
ลแอลกอฮอลล
เมทิ
ลแอลกอฮอลล
และโพลี
ไดเมทิ
ลไซโลเซน เป
นต
น
ค
าสั
มประสิ
ทธิ์
การถ
ายเทความร
อนที่
เกิ
ดขึ้
นในอุ
ปกรณ
แนวโน
มของการเปลี่
ยนแปลงค
าสั
มประสิ
ทธิ์
การถ
ายเทความร
อนที่
เกิ
ดขึ้
น
ในอี
แวปเพอเรเตอร
และคอนเดนเซอร
ตามอุ
ณหภู
มิ
ที่
เปลี่
ยนแปลงไป
ในกรณี
ที่
ใช
สารทำความเย็
นชนิ
ด R-23 ถู
กแสดง ดั
งรู
ปที่
3 ซึ่
งจะเห็
นได
ว
า
เมื่
ออุ
ณหภู
มิ
การใช
งานของสารทำความเย็
นลดลง ค
าสั
มประสิ
ทธิ์
การถ
ายเทความร
อนจะมี
แนวโน
มลดลง สาเหตุ
เกิ
ดจากคุ
ณสมบั
ติ
ต
างๆ
ของสารทำความเย็
น อาทิ
เช
น สั
มประสิ
ทธิ์
การนำความร
อน ความหนื
ด
ความร
อนแฝงของการกลายเป
นไอ และความจุ
ความร
อนจำเพาะ มี
ค
า
เปลี่
ยนแปลงตามอุ
ณหภู
มิ
การที่
ค
าสั
มประสิ
ทธิ์
การถ
ายเทความร
อน
มี
ค
าต่
ำจะส
งผลให
ต
องใช
พื้
นที่
ผิ
วแลกเปลี่
ยนความร
อนมาก
นอกจากนี้
ระบบทำความเย็
นที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำกว
า –40 องศาเซลเซี
ยส
ยั
งมี
ความแตกต
างจากระบบทำความเย็
นทั่
วไปในด
านอื่
นๆอี
ก อาทิ
เช
น
ความหนาของฉนวนกั
นความร
อนที่
ต
องเพิ่
มขึ้
น การออกแบบอี
แวปเพอเรเตอร
ซึ่
งต
องคำนึ
งถึ
งการป
องกั
นการตกค
างของน้
ำมั
นคอมเพรสเซอร
มากขึ้
น
เนื่
องจากที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำน้
ำมั
นจะที่
มี
ความหนื
ดสู
งและมี
ความสามารถ
ในการละลายในสารทำความเย็
นลดลง เป
นต
น
รู
ปที่
3
แนวโน
มของค
าสั
มประสิ
ทธิ์
การถ
ายเทความร
อนในกรณี
ที่
ใช
สารทำความเย็
นชนิ
ด R-23
(ดั
ดแปลงจาก Stoecker; 1998)
วั
ฏจั
กร เช
น เลื
อกใช
R-23 สำหรั
บวั
ฏจั
กรซึ่
งทำงานที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำ และใช
R-22 สำหรั
บวั
ฏจั
กรซึ่
งทำงานที่
อุ
ณหภู
มิ
สู
ง เป
นต
น
จากรู
ปที่
2 จะเห็
นได
ว
าในกรณี
ที่
เลื
อกใช
ระบบแคสเคตสำหรั
บใช
งาน
ที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำกว
า -40 องศาเซลเซี
ยส จะมี
การติ
ดตั้
งถั
งรองรั
บการขยายตั
ว
ของสารทำความเย็
น (Fade-out vessel) เพื่
อช
วยจำกั
ดความดั
นภายใน
วั
ฏจั
กรซึ่
งทำงานที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำไม
ให
สู
งเกิ
นไปในช
วงที่
มี
การหยุ
ด
การทำงานของระบบ เนื่
องจากในช
วงดั
งกล
าวอุ
ณหภู
มิ
ของสารทำความเย็
น
จะสู
งขึ้
นถึ
งอุ
ณหภู
มิ
ห
องส
งผลให
ความดั
นสู
งขึ้
นมาก
วั
สดุ
สำหรั
บท
อและถั
งความดั
น
วั
สดุ
ที่
เหมาะสมสำหรั
บท
อและถั
งความดั
นในระบบทำความเย็
นที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำกว
า –40 องศาเซลเซี
ยส ได
แก
เหล็
กกล
าคาร
บอน สแตนเลสสตี
ล
และทองแดง อย
างไรก็
ตามเนื่
องจากมาตรฐาน ASME/ANSI กำหนดว
า
ท
อเหล็
กกล
าคาร
บอนทั่
วๆ ไปหากจะนำมาใช
กั
บระบบทำความเย็
น
ที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำกว
า –29 องศาเซลเซี
ยส จะต
องผ
านการทดสอบ
ที่
เรี
ยกว
า Impact test ดั
งนั้
นสำหรั
บระบบทำความเย็
นที่
อุ
ณหภู
มิ
ต่
ำกว
า
–40 องศาเซลเซี
ยส จึ
งนิ
ยมใช
วั
สดุ
สแตนเลสสตี
ลซึ่
งสามารถใช
ได
กั
บ
สารทำความเย็
นทุ
กชนิ
ด และใช
วั
สดุ
ทองแดงสำหรั
บสารทำความเย็
น
กลุ
มฮาโลคาร
บอน (Halocarbon) ในกรณี
ที่
เป
นท
อขนาดเล็
ก
การใช
สารหล
อเย็
นทุ
ติ
ยภู
มิ
ในบางกรณี
ระบบทำความเย็
นอาจมี
การใช
สารหล
อเย็
นทุ
ติ
ยภู
มิ
เช
น
สารละลายแคลเซี
ยมคลอไรด
เอทิ
ลี
นไกลคอล และพร็
อพพี
ลี
นไกลคอล