Fruit and Vegetable Ingredients Market: Global Industry Analysis and Opportunity Assessment 2015-2025

ตลาดส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้:

วิเคราะห์อุตสาหกรรมทั่วโลก และประเมินโอกาสในช่วงปี 25582568

 

Translated ByEditorial Team

Food Focus Thailand Magazine

 Full article TH-EN

ผักและผลไม้ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็งบางชนิด ผักและผลไม้มีองค์ประกอบของวิตามินและเกลือแร่หลายชนิดซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น วิตามินเอ ซี และอี สังกะสี ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และกรดโฟลิก

 

สาเหตุการเสียชีวิตของคนทั่วโลกกว่า 1.7 ล้านราย พบว่าเกิดจากการบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณที่น้อยเกินไป การบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณมากสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าส่วนผสมอาหารหลายชนิดที่ได้มาจากผักและผลไม้มีผลต่อการป้องกันโรคที่หลากหลาย รวมทั้งโรคมะเร็ง ส่วนผสมอาหารที่ได้จากผักและผลไม้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อร่างกายมนุษย์ เนื่องจากไม่เพียงแต่มีความบริสุทธิ์สูง แต่ยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ทั่วโลกจึงมีความต้องการผักและผลไม้เพิ่มขึ้น อีกทั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดของส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ก็เติบโตสูงขึ้นทั่วโลกอีกด้วย และยังมีการคาดการณ์ว่าส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้สามารถนำมาทดแทนผักและผลไม้สดในการป้องกันมะเร็งในอนาคต

 

ตลาดส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้: แนวโน้มของภูมิภาค

จากการศึกษาในตลาดใหญ่ๆ อย่างอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา ยุโรปตะวันตก ยุโรปตะวันออก เอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และแอฟริกา พบว่าตลาดยุโรปครองส่วนแบ่งตลาดหลักในปี 2557 เนื่องจากมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมซึ่งได้จากผักและผลไม้สูงขึ้นนั่นเอง สำหรับในตลาดเอเชียแปซิฟิกก็เติบโตสูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมลูกอม ขนมหวาน และผลิตภัณฑ์จากนมเติบโตมากขึ้น มีการคาดการณ์ว่าส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ในเอเชียแปซิฟิกและตลาดเกิดใหม่อื่นๆ จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดของประเทศที่พัฒนาแล้ว

 

ตลาดส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้: แรงขับเคลื่อนการเติบโต

การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ตลอดจนปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์ลูกอม ขนมหวาน เบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์จากนมที่เพิ่มขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ล้วนมีส่วนผลักดันให้ตลาดของส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้เติบโตเพิ่มขึ้นทั่วโลก ความตระหนักในเรื่องสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภค ตลอดจนรายได้ที่เพิ่มขึ้น ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างยอดขายส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ โดยนำมาใช้เป็นสารเพิ่มกลิ่นรสและตกแต่งให้อาหารมีสีสัน นอกจากนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มประชากรที่มีรายได้ปานกลางในประเทศกำลังพัฒนาก็มีส่วนช่วยขับเคลื่อนความต้องการส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ให้เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากปัจจัยดังกล่าวนี้ ทั้งประโยชน์ของส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ และความต้องการผลิตภัณฑ์จากผักและผลไม้ธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลในแต่ละประเทศให้การส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ ซึ่งแน่นอนว่าจะผลักดันให้ตลาดในภาพรวม เติบโตขึ้นอย่างแน่นอนใน 2-3 ปีข้างหน้านี้

Chia Protein…The New Multifunctional Plant-based Protein

โปรตีนจากเมล็ดเชีย ทางเลือกใหม่ของแหล่งโปรตีนคุณภาพจากพืช

โดย: ศศิกานต์ สุทธมนัสวงษ์

Sasikarn Suthamanusvong

Senior Product Executive

june.s@dpointernational.com

Full article TH-EN

ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาสนใจและใส่ใจที่จะดูแลและรักษาสุขภาพมากขึ้น สังเกตได้จากการเติบโตของสินค้าเพื่อสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นและเพิ่มตัวเลือกให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ ประกอบกับสังคมในปัจจุบันมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ผู้บริโภคจึงต้องการสินค้าที่ตอบสนองวิถีชีวิตที่เร่งรีบและมีคุณประโยชน์มาเป็นอาหาร

 

โปรตีนเป็นสารอาหารหลักและเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย มีหน้าที่เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ โปรตีนที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่เป็นชนิดที่มีแหล่งที่มาจากสัตว์ แต่ในปัจจุบันความนิยมในการบริโภคโปรตีนจากแหล่งอื่นๆ ทดแทนโปรตีนจากสัตว์ เช่น ถั่ว หรือจากพืชเพิ่มสูงขึ้น โดยเป็นตัวเลือกหนึ่งที่สำคัญของแหล่งโปรตีนและยังเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพที่ให้คุณค่าทางโภชนาการได้ใกล้เคียงจากโปรตีนสัตว์

 

เมล็ดเชียเป็นเมล็ดเล็กๆ จากพืชท้องถิ่นแถบเม็กซิโกใต้และอเมริกากลาง ซึ่งคนท้องถิ่นบริโภคเมล็ดเชียมาหลายศตวรรษในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจะได้ยินถึงกระแสความนิยมของเมล็ดเชียในฐานะซูเปอร์ฟู้ด (Superfoods) จากกลุ่มผู้รักสุขภาพ จากงานวิจัยของ Mintel ในปี ค.ศ. 2013 พบว่าสินค้าใหม่ในตลาดเครื่องดื่มทั่วโลก จะประกอบด้วยสินค้าที่มีส่วนผสมของเมล็ดเชียเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับในปี ค.ศ. 2009 ที่ยังไม่มีสินค้าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากเมล็ดเชีย

 

สารสกัดจากเมล็ดเชียประกอบด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะโปรตีน ใยอาหาร สารป้องกันอนุมูลอิสระ กรดไขมันโอเมก้า-3 และแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ ช่วยในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ควบคุมน้ำหนัก ป้องกันความเสี่ยงโรคหัวใจ รวมถึงใช้เพื่อให้พลังงานสำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย ปัจจุบันสามารถสกัดโปรตีนจากเมล็ดเชียได้สูงถึงร้อยละ 40 ทั้งนี้ คุณภาพของโปรตีนที่ได้ยังมีคุณภาพใกล้เคียงกับโปรตีนที่สกัดมาจากสัตว์ เช่น นม เป็นต้น

 

คุณค่าทางโภชนาการของโปรตีนจากเมล็ดเชีย พบว่าเป็นแหล่งของกรดอะมิโนจำเป็นและประกอบด้วยโปรตีนที่สามารถย่อยได้ดีสูง หากเปรียบเทียบ ค่า PDCAAS (Protein Digestibility-Corrected Amino Acid Score) และค่า AA score (Amino Acid score) กับโปรตีนประเภทต่างๆ พบว่าโปรตีนจากเมล็ดเชียมีค่าใกล้เคียงกับโปรตีนที่ได้จากสัตว์ และสูงกว่าโปรตีนจากพืชชนิดอื่นที่ให้ปริมาณโปรตีนมากกว่า เช่น โปรตีนถั่ว และโปรตีนจากถั่วเหลืองเข้มข้น

 

โปรตีนจากเมล็ดเชียมีคุณสมบัติกระจายตัวได้ดีในน้ำและน้ำมัน ช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัส แทบไม่มีกลิ่นรส ทนความร้อนและกรดด่าง มีปริมาณไขมันอิ่มตัวต่ำ เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้แพ้อาหาร อีกทั้งไม่มีส่วนผสมของพืชดัดแปรพันธุกรรม โดยโปรตีนจากเมล็ดเชียนำมาประยุกต์ใช้ในอาหารได้หลายหลายชนิด เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารเช้า สินค้าเพื่อนักกีฬาและผู้ออกกำลังกาย กลุ่มสินค้าเบเกอรี อาหารเฉพาะสำหรับผู้แพ้อาหาร อาหารเจ ขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น

China: What consumers really want

รู้ใจ รู้วัย ผู้บริโภค…แดนมังกร

 

โดย:    Liat Simha

Marketing Communications Professional

NutriPR

Full article TH-EN

ในช่วงเวลาเพียง 2 ทศวรรษ ผู้บริโภคชาวจีนได้แสดงแสนยานุภาพให้ทั้งโลกได้เห็นว่าจีนมีพลังมากขนาดไหน ตลาดจีนถือเป็นตลาดที่สำคัญของสินค้าเพื่อสุขภาพไม่ต่างจากตลาดอื่น และการบริโภคสินค้าในประเภทดังกล่าวขยายตัวขึ้นถึง 2 เท่า จากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 30 ในช่วงประมาณ 20 ปีมานี้นี่เอง

 

แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นย่อมไม่หลุดรอดจากสายตาของบริษัทผู้ผลิตที่เน้นด้านสุขภาพและความสุขยักษ์ใหญ่ทั่วโลก Innova Market Insights มองว่าในขณะที่ภาคธุรกิจด้านสุขภาพกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เทรนด์ที่จะเข้ามามีความสำคัญในตลาดจีนในอนาคต ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับทารก ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ และความผาสุกในภาพรวม

 

ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับทารก: ยุค “เบบี้บูม” ของอาหารเด็ก

ในปี 2558 จีนยกเลิกนโยบายลูกคนเดียว ทำให้ในช่วงปีต่อมามีจำนวนประชากรเกิดใหม่มากกว่าปีก่อนหน้าสูงถึง 1.31 ล้านคน ด้วยจำนวนเด็กแรกคลอดที่สูงขนาดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอาหารเด็กถึงได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน

 

ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ: ยาอายุวัฒนะของชาวจีนผู้สูงวัย

แม้ว่าสภาวะเบบี้บูมในประเทศจีนจะยังเดินหน้าต่อไป แต่จีนก็ยังเป็นประเทศหนึ่งที่กำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2593 ประชากรจีนราว 1 ใน 4 จะมีอายุ 65 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุชาวจีนส่วนใหญ่จะไม่ยอมเกษียณอายุง่ายๆ เช่นเดียวกับผู้สูงอายุทั่วโลก ซึ่งการมีชีวิตที่มีคุณภาพถือเป็นเรื่องสำคัญกับพวกเขา เช่นเดียวกับการมีอายุยืนยาว

 

ความสุขในภาพรวม: ดื่มนมเพื่อประโยชน์ที่มากกว่า

ในวัฒนธรรมจีนการดื่มนมไม่ใช่สิ่งที่ได้รับความนิยมมากนัก ที่จริงแล้วยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่าผู้ใหญ่ชาวจีนจำนวนมากมีปัญหาแพ้แลคโตสในนม แต่ด้วยการเติบโตขึ้นของจำนวนชนชั้นกลาง การเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก และความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของนมที่แพร่หลายมากขึ้นในจีน ทำให้นมถูกมองว่าเป็นสินค้าที่ “ดีสำหรับคุณ” ในปัจจุบัน

Consuming At Least 400 Grams of Fruits and Vegetables for Your Health

บริโภคผักผลไม้ อย่างน้อย 400 กรัมต่อวันเพื่อสุขภาพ

โดย:    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่

Asst. Prof.Chaniphun Butryee, Ph.D.

Institute of Nutrition, Mahidol University

Full article TH-EN

การบริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน เป็นคำแนะนำขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติร่วมกับองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ที่มีรายงานการวิจัยโดยทำการวิเคราะห์แบบ Meta-analysis และกำหนดเกณฑ์การบริโภคผัก ผลไม้ วันละ 400-600 กรัมเป็นปริมาณการบริโภคที่สามารถลดภาระโรคต่างๆ ได้แก่ หัวใจขาดเลือด (ร้อยละ 31) เส้นเลือดในสมองตีบ (ร้อยละ 19) ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร (ร้อยละ 19) มะเร็งปอด (ร้อยละ 12) มะเร็งลำไส้ใหญ่ (ร้อยละ 2) FAO/WHO จึงกำหนดการบริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อคนต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ (WHO, 2003) ทั้งนี้ ปริมาณ 400 กรัม ไม่นับรวมผักกลุ่มที่ให้แป้ง (Starchy vegetables) ควรมีธัญพืชทั้งเมล็ด (Whole grain) และถั่วชนิดต่างๆ (Legumes) ไม่น้อยกว่า 20 กรัม จะทำให้ได้รับใยอาหารมากกว่า 25 กรัม ในขณะที่ควบคุมสารอาหารประเภทอื่นร่วมด้วย ได้แก่ ไขมัน เกลือ/โซเดียม และน้ำตาล มีรายงานว่าการบริโภคผักและผลไม้เพิ่มขึ้น 1 หน่วยบริโภค (80 กรัม หรือ 0.8 ขีด) ต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมองได้ร้อยละ 10 และ ร้อยละ 6 ตามลำดับ และลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งบางชนิด (กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ปอด และลำไส้ใหญ่และทวารหนัก) ร้อยละ 1-6 (Lock et.al, 2005)

Thermal Processing of Foods

การแปรรูปอาหารโดยการใช้ความร้อน

โดย: นัทธมน ไชยธงรัตน์

Natthamon Chaithongrat

Client Manager/Food Division

British Standards Institution (BSI)

Full article TH-EN

การแปรรูปอาหารโดยการใช้ความร้อนมีหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีจุดมุ่งหมายจำเพาะเจาะจง ดังนั้น ระดับความมากน้อยของความร้อนจึงขึ้นกับวัตถุประสงค์ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของอาหาร และระยะเวลาการถนอมรักษาอาหาร เช่น การลวก การพาสเจอไรซ์ การแช่แข็ง การอบ การย่าง การทอด การต้ม การสเตอริไลซ์ ฯลฯ

 

ประเภทของการแปรรูปด้วยความร้อน

 

  1. 1. การลวก

คือการให้ความร้อนวัตถุดิบก่อนการแปรรูป โดยให้อาหารสัมผัสกับน้ำร้อน ไอน้ำร้อน ไมโครเวฟ หรือแหล่งความร้อนใดๆ โดยอุณหภูมิที่ใช้ลวกอยู่ระหว่าง 70-105 องศาเซลเซียส ใช้ระยะเวลาสั้นๆ ที่เหมาะสมกับอาหารแต่ละชนิด การลวกมักใช้เพื่อเตรียมวัตถุดิบจากพืช เช่น ผัก ผลไม้ ก่อนจะนำไปแปรรูปด้วยวิธีต่างๆ เช่น การแช่เยือกแข็ง การทำแห้ง การผลิตอาหารกระป๋อง เพื่อทำลายเอนไซม์ โดยความร้อนจากการลวกจะทำลายเอนไซม์ที่เป็นสาเหตุของการเสื่อมเสีย เช่น เกิดปฏิกิริยาสีน้ำตาลที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ การหืนจากปฏิกิริยา Hydrolytic rancidity การลวกผักผลไม้ด้วยน้ำอาจเติมเกลือแคลเซียม ซึ่งไปรวมตัวกับเพกทินในเซลล์พืช เพื่อช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัสทำให้ผักผลไม้มีเนื้อสัมผัส แน่น แข็ง กรอบ

 

  1. 2. การพาสเจอไรซ์

มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำลายจุลินทรีย์ก่อโรค รวมทั้งจุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสีย เป็นวิธีการฆ่าเชื้อโรคซึ่งใช้ความร้อนไม่สูงมาก (ไม่ถึง 100 องศาเซลเซียส) ในระยะเวลาเหมาะสมขึ้นกับประเภทของอาหาร โดยใช้เวลาและอุณหภูมิที่แตกต่างกัน เช่น อุณหภูมิ 62.8 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 นาที หรือ 77 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 นาที การใช้อุณหภูมิและเวลานี้ยังไม่สามารถทำลายแบคทีเรียที่ทนร้อนอีกหลายชนิด จึงต้องเก็บผลิตภัณฑ์พาสเจอไรซ์ไว้ที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อป้องกันการเจริญของเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น และต้องบริโภคให้หมดภายใน 3 วัน – 1 สัปดาห์หลังเปิดใช้ วิธีนี้ใช้ได้กับอาหารหลายชนิดทั้งของแข็ง ของเหลว ของข้น หรือมีชิ้นเนื้อผสม ใช้ได้กับอาหารก่อนบรรจุและอาหารในภาชนะบรรจุปิดสนิท

 

  1. 3. การทำให้ปลอดเชื้อเพื่อการค้า

มีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสียและจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค การทำให้ปลอดเชื้อเพื่อการค้าไม่ได้เป็นการทำให้ปลอดเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมด เพื่อคงรักษาคุณภาพของอาหารไว้ แต่ยังคงเหลือจุลินทรีย์บางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทนความร้อนสูง รวมทั้งสปอร์ของแบคทีเรียที่ทนร้อน ซึ่งจุลินทรีย์ที่เหลือรอดนี้จะไม่สามารถเจริญได้ภายใต้สภาวะการเก็บรักษาและขนส่งปกติ ทำให้อาหารเก็บรักษาได้นานที่อุณหภูมิห้อง และปลอดภัยต่อการบริโภค มีอายุการเก็บไม่ต่ำกว่า 6 เดือนที่อุณหภูมิห้อง และสะดวกในการขนส่งและเก็บรักษา

 

ทั้งนี้ ผู้ผลิตอาหารที่ใช้กระบวนการให้ความร้อนจะต้องศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเรื่องการแปรรูปอาหารโดยการใช้ความร้อน อาทิเช่น พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 พร้อมกฎกระทรวง และประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560  และประกาศกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องที่เกี่ยวข้อง

U.S. Produce Market: 6 Key Trends Driving Sales of Fresh Fruits & Vegetables

6 แนวโน้มหลัก…ดันยอดขายผักและผลไม้สดในสหรัฐอเมริกา

Translated By:           Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

Full article TH-EN

ในช่วงปี 2554-2559 การบริโภคผลิตผลสดทางการเกษตรมีการเติบโตอย่างคงที่ประมาณร้อยละ 1.3 และในรายงาน “Fresh Produce: U.S. Market Trends and Opportunities” ซึ่งจัดทำโดยบริษัทวิจัยด้านการตลาด Packaged Facts ได้คาดการณ์ว่าการเติบโตของผลิตผลสดทางการเกษตรจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564

“ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผักและผลไม้จะได้รับอานิสงส์จากกลุ่มประชากรในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากประชากรในทุกช่วงอายุจะบริโภคผักและผลไม้ในอัตราที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ใหญ่เจน X” David Sprinkle ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจาก Packaged Facts กล่าว รายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคทำให้พวกเขามีกำลังซื้อผักและผลไม้เกรดพรีเมียม รวมทั้งผักและผลไม้ที่ปราศจากการดัดแปรพันธุกรรม ผักและผลไม้ออร์แกนิก ตลอดจนผักและผลไม้ที่เพาะปลูกภายในท้องถิ่น

 

Mr.Sprinkle ได้ให้ข้อมูลถึงบางแนวโน้มที่ดูจะมีอิทธิพลมากกว่าแนวโน้มอื่นๆ โดยบทความนี้จะกล่าวถึง 6 แนวโน้มหลักที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตของตลาดผักและผลไม้สดในประเทศสหรัฐอเมริกาในอนาคต

         1. การซื้อสินค้าออนไลน์และการบริการจัดส่งผลักดันยอดซื้อผลิตผลสดทางการเกษตร: คนยุคมิลเลนเนียลและครอบครัวที่มีเด็กเล็กมักจะมีตารางเวลาที่วุ่นวาย ทั้งยังไม่ค่อยมีเวลาในการวางแผนและซื้ออาหารเพื่อสุขภาพเท่าไรนัก การซื้อสินค้าของชำทางออนไลน์จะดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความสะดวกสบาย และผู้บริโภคยังได้รับผลิตผลสดทางการเกษตรและอาหารประเภทอื่นๆ โดยไม่ต้องออกไปซื้อตามร้านค้าและห้างสรรพสินค้า

         2. ความสะดวกสบายกับเซ็ตวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร: เซ็ตปรุงอาหารพร้อมส่งโดนใจคนยุคมิลเลนเนียล และเจน X เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนโสดและผู้ชาย เนื่องจากประกอบไปด้วยวัตถุดิบและส่วนประกอบที่จำเป็นในการเตรียมอาหารในสัดส่วนที่พอเหมาะและถูกต้อง

         3. การสนับสนุนเกษตรกรและสินค้าเกษตรของชุมชน: เราเริ่มได้เห็นโครงการต่างๆ ที่ชุมชนสนับสนุนการเกษตรในบางพื้นที่กันบ้างแล้ว แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ดูเหมือนจะมีโครงการดีๆ ลักษณะนี้เพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผู้บริโภคต้องการบริโภคผลิตผลสดทางการเกษตรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพซึ่งเพาะปลูกในท้องถิ่น และเพื่อสนับสนุนการค้าในท้องถิ่นของตนเอง

          4. ความนิยมของอาหารเพื่อสุขภาพและซูเปอร์ฟู้ด: จากข้อมูลในช่วงปี 2554-2559 พบว่าผู้บริโภคที่ตระหนักในเรื่องสุขภาพจะมองหาอาหารที่พิเศษและสดใหม่ โดยส่วนมากเป็นผู้บริโภควัยหนุ่มสาว ซึ่งอาหารที่อยู่ในกระแสคือ อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก เน้นประโยชน์เต็มๆ อย่างผักและผลไม้สด

          5. สร้างสีสันให้ตลาดด้วยกลิ่นรสที่แปลกใหม่: ในสหรัฐอเมริกามีคนหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรม ส่งผลให้อาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเติบโตขึ้นมากในช่วงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา อย่าง Hot pepper ก็ได้รับความนิยมอย่างไม่น่าเชื่อ Chili pepper ก็เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 5 ต่อปีในช่วงปี 2554-2559 ทางด้าน Chili pepper ที่ให้รสเผ็ดน้อยอย่างจาลาปีโนก็อยู่ในกระแส

          6. ได้ประโยชน์จาก Flexitarian: ผู้บริโภคที่กินเนื้อสัตว์และนิยามตนเองว่าเป็น “Flexitarian” เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าจับตามอง Flexitarian เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่สามารถชักชวนให้มากินอาหารมังสวิรัติมากขึ้น ซึ่งในภาพรวมจะส่งผลให้การบริโภคผักและผลไม้สูงขึ้นนั่นเอง

Characterization of vegetable oils by DSC

การจำแนกน้ำมันพืชด้วยวิธี DSC

 

โดย:              บริษัท เมทเล่อร์-โทเลโด (ประเทศไทย) จำกัด

Mettler-Toledo (Thailand) Limited

 Full article (TH-EN)

Differential Scanning Calorimetry หรือกระบวนการ DSC เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สสารต่างๆ ในงานวิจัย การพัฒนาสินค้า และการควบคุมคุณภาพ กระบวนการตกผลึกของไขมันและน้ำมันเองก็ได้รับการศึกษาภายใต้กระบวนการ DSC มาเป็นเวลาหลายปีแล้วเช่นกัน บทความนี้จะนำเสนอกระบวนการที่น่าสนใจในการใช้กระบวนการ DSC ในการจำแนกน้ำมันพืช โดยน้ำมันพืชนั้น (หรือไขมันจากพืช ขึ้นอยู่กับความข้นของสสาร) เป็นสารประกอบจากพืชที่ได้จากการนำเมล็ดพันธุ์พืชหรือผลไม้ผ่านกระบวนการคั้น และ/หรือ สกัดด้วยตัวทำละลายแล้วนำไปกลั่นเพื่อแยกตัวทำละลายออก น้ำมันที่ได้มีส่วนประกอบหลักเป็นไตรกลีเซอไรด์ ในเชิงเคมีไตรกลีเซอไรด์เป็นสารประกอบไตร-เอสเตอร์ ที่ก่อตัวขั้นจากกระบวนการเอสเทอริฟิเคชันของกลีเซอรอลเข้ากับกรดคาร์บอกซิลิค (กรดไขมัน) ในน้ำมันธรรมชาติ ไตรกลีเซอไรด์จะประกอบไปด้วยกรดไขมันหลากหลายชนิด ซึ่งทำให้น้ำมันมีส่วนผสมของไตรกลีเซอไรด์ที่หลากหลาย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมันยังมีส่วนผสมของสารกึ่งไตรกลีเซอไรด์ (เช่น mono- และ diglycerides) และองค์ประกอบอื่นๆ (เช่น phospholipids, sterols, vitamins, ฯลฯ) ซึ่งขึ้นอยู่กับที่มาของน้ำมันและกระบวนการผลิต

 

กระบวนการตกผลึกของไขมันหรือน้ำมันนั้นถือเป็นเรื่องอ่อนไหวต่อองค์ประกอบในน้ำมัน และสามารถวัดได้ง่ายผ่านกระบวนการ DSC ซึ่งกราฟที่ได้จากตัวอย่างน้ำมันที่ผ่านการทดลองนั้นจะเป็นเสมือนลายนิ้วมือของน้ำมันแต่ละชนิด ที่จริงแล้วกระบวนการ DSC นั้นยังเป็นเครื่องมือที่ดีในการแยกความแตกต่างระหว่างน้ำมันแต่ละชนิด เช่น การแยกระหว่างน้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นและน้ำมันจากธรรมชาติ

FIRN: Food Innovation and Regulation Network

ส่งเสริมนวัตกรรมทางอาหาร เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ก้าวไกลสู่ตลาดโลก

 

โดย:    กองบรรณาธิการ

Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

Full article (TH-EN)

เป็นที่ทราบกันดีว่าอุตสาหกรรมอาหารถูกระบุให้เป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ที่จะผลักดันไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” โดยมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมเข้ามาพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มแล้ว เราสามารถนำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ในหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนากระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น

 

แต่หลายครั้งหลายคราที่ผู้ประกอบการหลายรายลงแรงทุ่มเท ทุ่มทุน ไปกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่…แต่กลับไม่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นออกสู่ตลาดได้ เนื่องด้วยขาดความรู้ความเข้าใจถึงหลักเกณฑ์และกฎระเบียบในการขออนุญาตขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหาร หรือหากมีความรู้ ความเข้าใจ ก็ยังไม่ตรงประเด็น อีกทั้งแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็มีความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกัน…เมื่อลงเรือลำเดียวกัน แต่พายไปกันคนละทิศละทาง…ก็ยากที่จะถึงฝั่ง หรือถึงฝั่งได้ แต่ก็ทุลักทุเลเต็มที…

 

การจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สุดล้ำออกสู่ตลาด จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อขออนุญาตผลิตอาหารในระดับอุตสาหกรรม ให้ตรงกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข รวมถึงวิธีการประเมินหลักฐานทางวิชาการเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องของอาหารปลอดภัย และการประเมินประสิทธิผลที่มีการกล่าวอ้างทางสุขภาพ จึงจะสามารถดำเนินการผลิตได้ อย่างไรก็ตาม ความรู้ความเข้าใจในหลักเกณฑ์และกฎระเบียบในการขออนุญาตของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนั้นมีไม่เท่าเทียมกัน จึงส่งผลให้เกิดการดำเนินงานและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

 

สองหน่วยงานผนึกกำลังซ่อมเพื่อสร้าง

ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบการสื่อสารข้อมูลให้กระจายอย่างทั่วถึง และให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ทางหน่วยงานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ผนึกกำลังความร่วมมือกับสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ขึ้น และมีการจัดตั้งหน่วยงานกลางในชื่อ Food Innovation and Regulation Network (FIRN) เพื่อทำหน้าที่ประสานงาน สื่อสาร รวมไปถึงฝึกอบรมให้แก่ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยโครงการ FIRN ได้รับทุนสนับสนุนจากเมืองนวัตกรรมอาหาร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ

 

ปฏิรูป…..ถือคัมภีร์เล่มเดียวกัน

ศูนย์กลางเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพนี้จะพร้อมตอบโจทย์การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารด้วยนวัตกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่น่าสนใจก็คือ การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์อาหาร การขออนุญาตผลิตภัณฑ์เชิงสุขภาพ กฎระเบียบและประกาศต่างๆ ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จะเป็นการบูรณาการข้อมูลสู่ทุกภาคส่วนในรูปแบบข้อมูลที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรับข้อมูลไปดำเนินการต่อได้อย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

 

นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะและขีดความสามารถของบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาหลักฐานการขออนุญาตก็มีความจำเป็นเช่นกัน เพื่อที่จะได้มีจำนวนผู้เชี่ยวชาญให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ โดยจะมีกระบวนการฝึกอบรม การจัดกิจกรรมทางวิชาการ ทั้งนี้ มีเป้าหมายร่วมกันในการปรับปรุงเกณฑ์การขออนุญาตของไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานนานาชาติ

10 Top Tips for Life Science Laboratory Efficiency

10 สุดยอดเทคนิคสู่การเป็นห้องปฏิบัติการชีววิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ

By: Sarah Thomas

www.selectscience.net

 

Translated by: กองบรรณาธิการ

Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

Full article (TH-EN)

 

เนื่องจากชีววิทยาศาสตร์คือการศึกษาเรื่องสิ่งมีชีวิตและระบบที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตในทุกๆ แง่มุม ถือเป็นศาสตร์ที่จะค้นพบตัวแปรได้มากที่สุดในบรรดาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ตัวแปรในการทดลองยังหมายความรวมถึงการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อการทำงานภายในห้องปฏิบัติการให้มีประสิทธิภาพ โดยปฏิบัติได้ ดังนี้

1. จัดสรรหน้าที่ให้เหมาะกับความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
ทีมที่ทำงานต้องมีความเป็นผู้นำ ศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง ฝึกฝนและมีเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถทำตามวัตถุประสงค์ได้อย่างสำเร็จ

2. ส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมทางนวัตกรรม
การกล้าที่จะตั้งคำถามและกระตุ้นคนรอบข้างให้รู้จักการถาม เช่น ทำไมจึงต้องใช้วิธีการนี้? ทำให้เกิดหลักการทดลองใหม่ๆ และควรวางแผนฝึกฝนทบทวนขั้นตอนการทดลองเสมอๆ เพื่อไม่ให้เกิดความวอกแวกในขณะปฏิบัติงานจริง

3. จัดพื้นที่การทำงานให้มีการสูญเปล่าน้อยที่สุด
เริ่มต้นจัดวางสิ่งของที่ใช้อยู่เป็นประจำให้อยู่ในที่ที่หยิบจับใช้ได้ง่าย และปฏิบัติตามขั้นตอนการทดลองใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจและเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานอย่างเป็นระบบ

4. แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
การแบ่งสรรความรับผิดชอบในการทำงานภายในห้องปฏิบัติการ ทั้งการดูแลด้านความสะอาดและการทดลองอย่างเป็นระบบ

5. ตั้งต้นทำงานจากวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
เมื่อทราบวัตถุประสงค์ของการทำงานและตั้งต้นทำย้อนจากหลังมาหน้าได้ก็จะช่วยประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการออกแบบขั้นตอนการทำงาน และยังทำให้ทราบว่าจะต้องใช้ตัวอย่างอะไรบ้าง

6. บริหารจัดการคลังสารเคมีและเวชภัณฑ์
แทนที่จะเติมพื้นที่ว่างทั้งหมดของคลังเก็บของให้เต็มไปด้วยสารเคมีหรือเวชภัณฑ์ต่างๆ ให้หันมาไตร่ตรองถึงสิ่งที่มีอยู่ก่อนเพื่อที่จะนำออกมาใช้

7. วางแผนการจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการล่วงหน้า
การจัดทำตารางการสั่งซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการจะทำให้ง่ายที่จะรู้ว่าใครต้องการอะไร และเมื่อใดที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อจะได้เกิดการวางแผนการจัดซื้อล่วงหน้าอย่างเหมาะสม

8. มองหาอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานกว่าเดิม
ในทุกๆ ปีจะเห็นว่ามีสินค้าในห้องปฏิบัติการออกมาใหม่ๆ มากมาย ลองมองหาชิ้นที่จะเข้ามาช่วยให้การทำงานในห้องปฏิบัติการรวดเร็วขึ้นและได้ผลการทดลองที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

9. ให้คิดว่าการลงทุนในอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์คือการลงทุนระยะยาว
การเลือกซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์สำหรับห้องปฏิบัติการ ตั้งแต่ปิเปตไปจนถึงเครื่องวิเคราะห์ HPLC ควรได้รับการพิจารณาให้เหมือนว่าเป็นการลงทุน หากมีงานที่ต้องวิเคราะห์ทดสอบเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในหนึ่งปี ต้องพิจารณาว่าอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ที่กำลังใช้อยู่นี้จะยังตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของเราอยู่หรือไม่?

10. บำรุงรักษาอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์
หากไม่มีการบริการบำรุงรักษาอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ให้เป็นปกติอาจเกิดข้อผิดพลาดและสร้างความเสียหายให้กับผลการทดลองที่ต่อเนื่องอื่นๆ ในแผนการทดลองทั้งหมดได้

Food Industry Outlook 2018

สถานการณ์ธุรกิจเกษตรและอาหารในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต

 

By:  สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม

        National Food Institute, Ministry of Industry

Full article TH-EN

มีรายงานฉบับล่าสุด Food Industry Outlook 2018 จากการแถลงข่าวร่วม 3 องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร โดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันอาหาร ได้เปิดเผยข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารของไทยปี 2560 และแนวโน้มปี 2561

 

สถานการณ์ธุรกิจเกษตรและอาหาร ปี 2560

ภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี 2560 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 สำหรับการส่งออกคาดว่าจะมีปริมาณ 32.5 ล้านตัน มีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 4.5 และร้อยละ 5.3 ตามลำดับ ลดลงเล็กน้อยจากตัวเลขประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะส่งออกได้ 33.0 ล้านตัน มูลค่า 1.03 ล้านบาท เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักหลายรายการลดลงกว่าที่คาด

 

กลุ่มประเทศ CLMV ยังคงเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับ 1 ของไทย มีสัดส่วนร้อยละ 16.6 รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่นร้อยละ 13.5 อาเซียนเดิมร้อยละ 11.6 สหรัฐอเมริการ้อยละ 10.6 แอฟริการ้อยละ 9.3 จีนร้อยละ 9.0 สหภาพยุโรปร้อยละ 6.0 ตะวันออกกลางร้อยละ 4.2 โอเชียเนียร้อยละ 3.3 สหราชอาณาจักรร้อยละ 3.0 และเอเชียใต้ร้อยละ 1.6 โดยตลาดส่งออกหลักของไทยส่วนใหญ่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า ยกเว้นตลาดอาเซียนเดิม (ASEAN-5) ลดลงร้อยละ 10.7 ตามปริมาณการส่งออกสินค้าหลัก อาทิ น้ำตาลทราย และแป้งมันสำปะหลังที่ลดลง สหรัฐอเมริกาลดลงร้อยละ 2.3 จากการส่งออกสับปะรดกระป๋องและปลาทะเลแช่แข็งที่หดตัวลง และสหราชอาณาจักรลดลงร้อยละ 10.9 จากการเผชิญภาวการณ์ชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการแข็งค่าของค่าเงินปอนด์เทียบบาท

 

กลุ่มสินค้าดาวเด่นของไทยในอนาคต

คุณยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า “แม้ว่าสินค้าส่งออกหลักหลายรายการจะชะลอตัวลง แต่ก็มีสินค้าส่งออกกลุ่มใหม่ๆ ที่ขยายตัวสูงและคาดว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าดาวเด่นของไทยในอนาคต ได้แก่ กลุ่มผลไม้สดไม่รวมผลิตภัณฑ์มะพร้าว ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด 72,340 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 ปีล่าสุด (เพิ่มขึ้นร้อยละ 23) เครื่องดื่มชูกำลัง 22,520 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10) ผลิตภัณฑ์เบเกอรี 13,533 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11) นม 10,469 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่รวมวิตามิน 3,201 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6) และไอศกรีม 2,122 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5) โดยสินค้าส่วนใหญ่มีตลาดหลักอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน”

แนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทย ปี 2561

แนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2560 ในอัตราร้อยละ 7.0 มีมูลค่าส่งออก 1.07 ล้านล้านบาท โดยสินค้าที่คาดว่าจะมีมูลค่าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ข้าว ไก่ น้ำตาลทราย กุ้ง และทูน่ากระป๋อง ส่วนสินค้าที่คาดว่าจะมีมูลค่าขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มะพร้าว (เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.6) อาหารพร้อมรับประทาน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0) กุ้ง (เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3) น้ำตาลทราย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8) เครื่องปรุงรส (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8) ไก่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6) และน้ำผลไม้ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6)

 

ทั้งนี้ ในก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมอาหาร คือการผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรมตามนโยบายของรัฐ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่ภาครัฐ สถาบันอาหาร รวมทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกันผลักดันให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อผลสำเร็จเป็นรูปธรรม