ชูธงอีอีซี…นำไทยสู่เวทีโลก
โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor; EEC) มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เมื่อญี่ปุ่น จีน รัสเซีย และสิงคโปร์ ต่างให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนใน EEC เป็นอย่างมาก เพื่อเป็นฐานการผลิตป้อนตลาดเอเชียและตลาดโลก
ญี่ปุ่นแสดงความสนใจอย่างชัดเจนเป็นพิเศษ โดยเมื่อวันที่ 11-13 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ได้มีคณะผู้บริหารระดับสูงและซีอีโอจากบริษัทแม่ รวมทั้งเจโทร ฟูกูโอกะ และนิเคอิ กว่า 570 คน นำโดยนายฮิโรชิเกะ เซโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ-การค้าและอุตสาหกรรม (METI) ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยมีเป้าหมายหลักเป็นการศึกษาความพร้อมของโครงการ EEC ในภาคตะวันออกของไทย ทางคณะให้ความสนใจลงทุนใน 4 สาขาอุตสาหกรรม คือ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์ การบิน ศูนย์ซ่อมอากาศยาน 2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์ 3. อุตสาหกรรมการแพทย์ การเกษตร อาหาร เป็นต้น 4. อุตสาหกรรมบริการ การค้า ค้าปลีก โลจิสติกส์ เป็นต้น
ความสนใจอย่างกระตือรือร้นของนักลงทุนญี่ปุ่นเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่จีนเปิดเกมรุกในการลงนามทำความตกลงด้านการลงทุนรถไฟความเร็วสูงกับ สปป.ลาว อินโดนีเซีย และประเทศไทย ภายใต้อภิมหาโปรเจคท์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ที่ครอบคลุมไปทั่วโลก ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือระเบียงเศรษฐกิจตามแนวเส้นทางดังกล่าว และจะมาเชื่อมกับระเบียงเศรษฐกิจ EEC เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชาวจีนโพ้นทะเลมากเป็นอันดับ 1 ของโลกจำนวน 9.39 ล้านคน รองลงมาเป็นมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และอินโดนีเซีย จำนวน 6.65, 4.95 และ 2.83 ล้านคน ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของประเทศไทยที่มีต่อคนจีน
ในอีกด้านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงด้านภาวะโลกร้อนกลับกลายเป็นโอกาสใหม่ที่จะช่วยให้รัสเซียกลายเป็นคู่ค้าสำคัญรายใหม่ของไทย การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือเป็นผลให้เกิดเส้นทางเดินเรือเส้นใหม่ ซึ่งก็คือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของรัสเซีย พาดผ่านขั้วโลกเหนือเชื่อมรัสเซีย-อาเซียนที่ใช้เวลาน้อยลงมากถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเส้นทางอื่น และไม่ต้องใช้เรือตัดน้ำแข็งนำร่องทำให้ต้นทุนลดลงด้วย ล่าสุดเมื่อกลางปี 2560 บริษัทซอฟคอมฟลอต (Sovcomflot) ของรัสเซียได้ประเดิมเดินเรือในเส้นทางนี้เป็นรายแรกด้วยเรือคริสทอฟ เดอ มาร์เจอรีบรรทุกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มายังเกาหลีใต้
ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจไทย-รัสเซียได้พัฒนามากขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันรัสเซียมีนโยบายหันหน้าสู่ตะวันออก (Turn to the East) ที่ต้องการพัฒนาภาคตะวันออกไกลของรัสเซียเชื่อมโยงกับอาเซียนและเอเชียแปซิฟิกที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ความสนใจของทั้ง 3 ประเทศในการเข้ามาลงทุนในไทยแสดงให้เห็นในแง่มุมหนึ่งว่า พลวัตรของเศรษฐกิจโลกกำลังเคลื่อนตัวสู่อาเซียนและเอเชียมากยิ่งขึ้น โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียได้ระบุว่า GDP ของอาเซียนจะมีสัดส่วนร้อยละ 40 และร้อยละ 52 ของ GDP โลกในปี 2573 และ 2593 ตามลำดับ โดยแนวโน้มดังกล่าวมีความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจของอาเซียน +4 (รวมญี่ปุ่น จีน อินเดีย และเกาหลีใต้) มีสัดส่วนใน GDP โลกถึงร้อยละ 30 เข้าไปแล้ว









