- page 45

STRATEGIC
R & D
45
DEC 2017 FOOD FOCUSTHAILAND
ความไวต่
ออิ
นซู
ลิ
นได้
เป็
นอย่
างดี
กล่
าวคื
อแป้
งที่
ทนต่
อการย่
อยช่
วยให้
กลไกของ
ร่
างกายในการน�
ำน�้
ำตาลจากกระแสเลื
อดไปเก็
บไว้
ตามเซลล์
ต่
างๆ ที
ต้
องการ
พลั
งงานเกิ
ดขึ้
นได้
เป็
นอย่
างดี
และนี่
เป็
นเหตุ
ผลว่
าท�
ำไมแป้
งที่
ทนต่
อการย่
อย
จึ
งมี
ประโยชน์
ช่
วยลดระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อดหลั
งมื้
ออาหาร (1,2)
หากรั
บประทานแป้
งที่
ทนต่
อการย่
อยในมื้
อกลางวั
นจะช่
วยลดปรากฏการณ์
ที่
ระดั
บอิ
นซู
ลิ
นในร่
างกายขึ้
นและลงอย่
างรวดเร็
วในช่
วงอาหารมื้
อเย็
นหรื
อที่
เรา
เรี
ยกกั
นว่
าผลกระทบในมื้
อที่
สอง (3) อย่
างไรก็
ตาม อาหารหลายชนิ
ด เช่
มั
นฝรั่
ง ถึ
งแม้
จะประกอบไปด้
วยแป้
งที่
ทนต่
อการย่
อยในปริ
มาณสู
ง แต่
ก็
ยั
มี
คาร์
โบไฮเดรตที่
สามารถย่
อยได้
อยู
ในปริ
มาณสู
งเช่
นกั
น จึ
งมี
ค�
ำแนะน�
ำให้
รั
บประทานแป้
งที่
ทนต่
อการย่
อยในรู
ปแบบของผลิ
ตภั
ณฑ์
เสริ
มอาหารเนื่
องจาก
จะไม่
มี
คาร์
โบไฮเดรตส่
วนที่
เพิ่
มเข้
ามา
สรุ
ป:
การรั
บประทานแป้
งที่
ทนต่
อการย่
อยในรู
ปแบบผลิ
ตภั
ณฑ์
เสริ
มอาหาร
เป็
นอี
กหนึ่
งทางเลื
อกที่
น่
าสนใจส�
ำหรั
บผู
ที่
มี
ความจ�
ำเป็
นต้
องควบคุ
มน�้
ำตาล
หรื
อมี
น�้
ำตาลในเลื
อดในระดั
บที่
สู
อบเชยศรี
ลั
งกา (Ceylon Cinnamon)
อบเชยมี
ส่
วนช่
วยลดระดั
บน�้
ำตาลในผู้
ป่
วยโรคเบาหวาน
ในสมั
ยก่
อนตั้
งแต่
ยุ
คอี
ยิ
ปต์
โบราณและในประเทศจี
นมี
การน�
อบเชยมาใช้
เพื่
อการรั
กษาทางการแพทย์
สารประกอบในอบเชยหลายชนิ
ดมี
ผลในการป้
องกั
นการดู
ดซึ
มของน�้
ำตาล
เข้
าสู
กระแสเลื
อดโดยช่
วยลดปรากฏการณ์
ที่
ระดั
บอิ
นซู
ลิ
นในร่
างกายขึ้
นและลง
อย่
างรวดเร็
วและยั
งช่
วยปรั
บปรุ
งภาวะความไวต่
ออิ
นซู
ลิ
นได้
อย่
างมาก (4,5)
เมื่
อเร็
วๆนี้
มี
การศึ
กษาเชิ
งคลิ
นิ
กกั
บผู
ป่
วยโรคเบาหวานที่
ไม่
ค่
อยได้
ควบคุ
อาการของโรคจ�
ำนวน25คน โดยรั
บประทานอบเชยปริ
มาณ1กรั
มต่
อวั
นและ
อี
กกลุ่
มหนึ่
งได้
รั
บยาหลอกเป็
นเวลา 12สั
ปดาห์
ผลการตรวจระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อดหลั
งจากอดอาหาร8ชั่
วโมงหรื
อFasting
Blood Sugar (FBS) พบว่
ากลุ่
มที่
ได้
รั
บอบเชยมี
ระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อดลดลงถึ
ร้
อยละ 10 หลั
งจากรั
บประทานอบเชยไป 6 สั
ปดาห์
และร้
อยละ 17 หลั
งจาก
12สั
ปดาห์
เมื่
อเที
ยบกั
บกลุ่
มที่
ได้
รั
บยาหลอก (6)
ผลของผงอบเชย1กรั
มต่
อการลดระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อด(จากการตรวจระดั
น�้
ำตาลในเลื
อดหลั
งจากอดอาหาร 8 ชั่
วโมง) มี
ความแตกต่
างอย่
างมี
นั
ยส�
ำคั
(P<0.001)
ค่
าน�้
ำตาลสะสม (HbA1c) ซึ่
งใช้
ประเมิ
นระดั
บน�้
ำตาลเฉลี่
ยในระยะเวลา
ประมาณ 3 เดื
อน เริ่
มลดลงร้
อยละ 8 หลั
งจาก 12 สั
ปดาห์
ถึ
งแม้
ว่
าจะไม่
มี
นั
ยส�
ำคั
ญทางสถิ
ติ
อย่
างไรก็
ตาม ไม่
ใช่
ทุ
กการศึ
กษาเชิ
งคลิ
นิ
กที่
พบผลของอบเชยต่
อการลด
ระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อดดั
งนั้
นจึ
งอาจยั
งกล่
าวไม่
ได้
เต็
มที่
ว่
าเป็
นแนวทางการรั
กษา
ที่
มหั
ศจรรย์
(7)
ปริ
มาณที่
แนะน�
ำต่
อวั
น คื
อ 1-6 กรั
มต่
อวั
น โดยอบเชยศรี
ลั
งกาให้
ผลดี
กว่
อบเชยจี
น (CassiaCinnamon)
สรุ
ป:
อบเชยอาจมี
ผลช่
วยชะลอการดู
ดซึ
มน�้
ำตาลเข้
าสู
กระแสเลื
อด โดย
อบเชยศรี
ลั
งกามี
ความปลอดภั
ยกว่
าอบเชยจี
ราสเบอร์
รี
และสตรอเบอร์
รี
เบอร์
รี
มี
ส่
วนช่
วยลดระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อดในผู้
ป่
วยโรคเบาหวาน
ในเชิ
งเทคนิ
คแล้
วเบอร์
รี
ไม่
ได้
ลดระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อด แต่
จะช่
วยได้
หากเรารั
บประทานเบอร์
รี
แทนผลไม้
ทั่
วไปอื่
นๆ เนื่
องจากเบอร์
รี
เป็
นผลไม้
ที่
มี
แนวโน้
ว่
ามี
ระดั
บน�้
ำตาลต�่
ำมาก
ราสเบอร์
รี
หรื
อสตรอเบอร์
รี
1 ถ้
วยจะมี
น�้
ำตาล 5-7 กรั
ม หรื
อประมาณ 1 ช้
อนชา
เท่
านั
น เที
ยบกั
บแอปเปิ
ล 1 ถ้
วย มี
น�้
ำตาล 13 กรั
ม ส่
วนมะม่
วง 1 ถ้
วย มี
น�้
ำตาล
24กรั
ม (8)
เบอร์
รี
ยั
งอุ
ดมไปด้
วยสารต้
านอนุ
มู
ลอิ
สระที่
รู
จั
กกั
นดี
คื
อแอนโธไซยานิ
นและนั่
นเป็
เหตุ
ผลว่
าท�
ำไมเบอร์
รี
จึ
งมี
สี
แดงสดหรื
อสี
ฟ้
าสด
แอนโธไซยานิ
นมี
ส่
วนช่
วยปรั
บระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อดและลดปั
จจั
ยเสี่
ยงต่
โรคหลอดเลื
อดหั
วใจในผู้
ป่
วยโรคเบาหวานชนิ
ดที่
2 (9,10)
สรุ
ป:
เบอร์
รี
เป็
นผลไม้
ที่
มี
ปริ
มาณน�้
ำตาลต�่
ำเมื่
อเที
ยบกั
บผลไม้
ชนิ
ดอื่
นๆ และยั
อุ
ดมไปด้
วยแอนโธไซยานิ
นซึ่
งมี
ประโยชน์
ต่
อสุ
ขภาพของระบบการเผาผลาญ
เม็
ดมะม่
วงหิ
มพานต์
และอั
ลมอนด์
เม็
ดมะม่
วงหิ
มพานต์
และอั
ลมอนด์
มี
ส่
วนช่
วยปรั
บปรุ
งการควบคุ
ระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อด
แมกนี
เซี
ยมเป็
นแร่
ธาตุ
ที่
มี
ความส�
ำคั
ญกั
บกลไกต่
างๆของร่
างกายรวมถึ
งการควบคุ
ระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อด (11,12)
แม้
ว่
ากลไกจะยั
งไม่
ชั
ดเจนนั
ก แต่
ระดั
บแมกนี
เซี
ยมที่
ต�่
ำมี
ผลเกี่
ยวข้
องกั
โรคเบาหวานชนิ
ดที่
1 และ 2 โดยมี
อิ
ทธิ
พลต่
อการขั
บอิ
นซู
ลิ
นซึ่
งอาจเป็
นเหตุ
ผลว่
ร้
อยละ 25-38ของผู้
ป่
วยโรคเบาหวานชนิ
ดที่
2จะมี
ระดั
บแมกนี
เซี
ยมต�่
ำ (13)
นอกจากนี้
จากผลการศึ
กษาเชิ
งคลิ
นิ
กได้
แสดงให้
เห็
นว่
า การปรั
บแก้
ไขปริ
มาณ
แมกนี
เซี
ยมที
ต�่
ำจะช่
วยปรั
บปรุ
งกลไกการท�
ำงานของอิ
นซู
ลิ
นและลดระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อด
ได้
(13,14)
นอกจากผั
กโขมแล้
ว เม็
ดมะม่
วงหิ
มพานต์
และอั
ลมอนด์
เป็
นหนึ่
งในแหล่
งของ
แมกนี
เซี
ยมที่
ดี
ที่
สุ
ดในอาหารมี
ความสะดวกคาร์
โบไฮเดรตต�่
ำและมี
รสชาติ
อร่
อย
สรุ
ป:
เม็
ดมะม่
วงหิ
มพานต์
และอั
ลมอนด์
อุ
ดมไปด้
วยแมกนี
เซี
ยมซึ่
งเป็
นแร่
ธาตุ
ที่
มี
ส่
วนเกี่
ยวข้
องกั
บการควบคุ
มระดั
บน�้
ำตาลในเลื
อดผู
ป่
วยโรคเบาหวานชนิ
ดที่
2มากกว่
ร้
อยละ 38มั
กจะมี
แมกนี
เซี
ยมในปริ
มาณที่
ต�่
ชาเขี
ยว
ชาเขี
ยวมี
ส่
วนช่
วยปรั
บปรุ
งระดั
บน�
ำตาลในเลื
อดในผู
ป่
วยโรคเบาหวาน
มี
ค�
ำกล่
าวที่
ว่
ากาแฟดี
ต่
อสุ
ขภาพ แต่
ชาเขี
ยวดี
ต่
อสุ
ขภาพที่
สุ
ด เนื่
องจากมี
ส่
วนประกอบของสารต้
านอนุ
มู
ลอิ
สระอั
นทรงพลั
งและคาเทชิ
นซึ่
งมี
ประโยชน์
ต่
อสุ
ขภาพ
ในหลายๆด้
าน รวมทั้
งการควบคุ
มน�้
ำตาลในเลื
อด (15)
จาก 7 ผลการวิ
จั
ยโดยการสั
งเกต ซึ่
งเป็
นการศึ
กษากั
บ 286,701 คน พบว่
าผู้
ที่
ดื่
ชาเขี
ยวสามารถลดความเสี่
ยงในการเป็
นโรคเบาหวานได้
ร้
อยละ 18 (16)
ผลการศึ
กษาในญี่
ปุ
นพบว่
าผู
ที่
ชื่
นชอบชาเขี
ยวมี
ความเสี่
ยงในการเป็
นโรคเบาหวาน
ลดลงร้
อยละ 42 (17)
โดยปกติ
แล้
วผู้
เขี
ยนจะไม่
สรุ
ปจากผลการวิ
จั
ยโดยการสั
งเกตซึ่
งไม่
ได้
พิ
สู
จน์
สาเหตุ
และผลกระทบ แต่
ก็
มี
หลั
กฐานที่
ปรากฏว่
าชาเขี
ยวมี
ประโยชน์
ต่
อสุ
ขภาพของระบบ
เผาผลาญในร่
างกาย
ถ้
าคุ
ณเป็
นคอชาตั
วยง ก็
ถึ
งเวลาแล้
วที่
จะรวมเอาชาเขี
ยวเข้
าไปในช่
วงเวลาการดื่
มชา
แต่
หากคุ
ณยั
งไม่
ใช่
คอชาก็
ได้
เวลาเริ่
มแล้
สรุ
ป:
มี
หลั
กฐานที่
ชั
ดเจนว่
าสารประกอบในชาเขี
ยวมี
ประโยชน์
ต่
อระบบการ-
เผาผลาญจากผลการวิ
จั
ยโดยการสั
งเกตแนะน�
ำว่
าผู
ที่
ดื่
มชาเขี
ยวเป็
นประจ�
ำมี
แนวโน้
ที่
จะเป็
นโรคเบาหวานลดลง ร้
อยละ 18-42
1...,35,36,37,38,39,40,41,42,43,44 46,47,48,49,50,51,52,53,54,55,...76
Powered by FlippingBook