เศรษฐจีนไตรมาสที่ 1/2563 หดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่จัดเก็บข้อมูล คาดทั้งปี 2563 โตได้ในกรอบร้อยละ 1-3
เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 หดตัวถึงร้อยละ 6.8 (YoY) อันเป็นผลจากมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของจีนที่เข้มข้น ซึ่งมีส่วนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนในไตรมาสที่ 1/2563 ต้องชะงักงัน อย่างไรก็ดี ถึงแม้ทางการจีนจะเริ่มสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศได้ แต่ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2563 ยังคงไม่ค่อยสดใส ทั้งจากภาพรวมการส่งออกจีนที่ยังถูกกดดันจากการที่หลายประเทศอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างพร้อมเพรียงกัน การบริโภคภาคเอกชนที่อาจยังไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้เหมือนช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด รวมทั้งการลงทุนที่อาจรอความชัดเจนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนี้แล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2563 จากเดิมในเดือน ม.ค. 2563 ที่คาดว่าจะโตได้ร้อยละ 5.7 ลงมาอยู่ในกรอบร้อยละ 1-3 ด้วยมุมมองที่ระมัดระวัง
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในไตรมาสที่ 1/2563 หดตัวร้อยละ 6.8 (YoY) ซึ่งนับเป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจครั้งแรกในรอบ 28 ปี นับตั้งแต่ที่จีนเริ่มเก็บสถิติในปี 2535 โดยสาเหตุสำคัญมาจากมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของทางการจีนที่เข้มข้น นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ม.ค. 2563 เป็ นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งปิดเมืองในมณฑลหูเป่ย รวมถึงเมืองไท่โจวและบางส่วนของหางโจวในมณฑลเจ้อเจียงที่ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ข้างต้น นอกจากนี้ คำสั่งของทางการจีนให้บริษัทนำเที่ยวทั่วประเทศหยุดจำหน่ายแพ็คเกจท่องเที่ยวก็ย่อมกระทบภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศของจีนที่มีมูลค่าถึงราว 1.6 ล้านล้านหยวนใน 1 ไตรมาส โดยผลกระทบบางส่วนได้สะท้อนผ่านตัวเลขการค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1/2563 ที่หดตัวร้อยละ 19.64 (YTD, YoY) และร้อยละ 8.4 (YTD, YoY) ตามลาดับ ขณะที่ การส่งออกของจีนในไตรมาสที่ 1/2563 ก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดนี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยหดตัวกว่าร้อยละ 13.4 (YoY)
มาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจจีนที่ส่งผลกระทบรุนแรงในไตรมาสที่ 1/2563 นั้นคาดว่าจะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวที่กดดันภาพรวมเศรษฐกิจจีนทั้งปี 2563 อย่างไรก็ดี ทิศทางการฟื้ นตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่เหลือของปี 2563 จะยังคงต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ในช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่แต่ละไตรมาสสามารถโตได้ราวร้อยละ 6 (YoY) อันเนื่องมาจาก 3 ปัจจัยท้าทายสำคัญ ได้แก่
o การส่งออกของจีนในช่วงที่เหลือของปี 2563 ยังถูกกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่หลายประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย (Economic recession) อย่างพร้อมเพรียง อันจะส่งผลทำให้ความต้องการสินค้าจากจีนลดลง โดยมุมมองการส่งออกสินค้าจากจีนไปยังตลาดโลก โดยเฉพาะไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จะดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี 2563 แต่จะยังไม่สามารถฟื้นตัวจนทำให้การส่งออกของจีนทั้งปี 2563 พลิกกลับมาเป็นบวกได้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การส่งออกของจีนในปี 2563 อาจจะหดตัวในกรอบร้อยละ -7 ถึง -11 อย่างไรก็ดี การส่งออกของจีนบางส่วนยังสามารถประคองตัวไว้ได้จากการส่งออกเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จีนเป็นผ้เูดียวที่มีศักยภาพเพียงพอจะผลิตให้ตลาดโลกได้ในเวลานี้
o การบริโภคภาคเอกชนที่อาจจะเริ่มฟื้ นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 แต่อัตราการขยายตัวอาจไม่สูงเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด อันเนื่องมาจากแนวโน้มการว่างงานของตลาดแรงงานจีนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการที่หลายธุรกิจอาจยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการเป็นปกติได้เต็มศักยภาพ โดยอัตราการว่างงานของ 31 เมืองที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนได้ทำการสำรวจพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 5.7 ในเดือน มี.ค. 2563 นอกจากนี้ พฤติกรรมการบริโภคของประชาชนอาจมีความระมัดระวังมากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย
o การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) อาจจะฟื้นตัวล่าช้าอันเป็นผลจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยมูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนในไตรมาสที่ 1/2563 หดตัวถึงร้อยละ 16.1 (YoY) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตที่หดตัวกว่าร้อยละ 21.9 (YoY) ซึ่งนับเป็นสัญญาณทางเศรษฐกิจที่อาจบ่งชี้ได้ว่า ภาคธุรกิจจีนอาจยังไม่พร้อมลงทุนเพิ่มในปี นี้จนกว่าความชัดเจนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นที่ประจักษ์
จากประเด็นท้าทายข้างต้น ประกอบกับอัตราการขยายตัวของ GDP จีนในไตรมาสที่ 1/2563 ที่หดตัวอย่างมาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนทั้งปี 2563 ลงมาอยู่ในกรอบร้อยละ 1-3 โดยมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่เศรษฐกิจจีนจะเติบโตไม่เกินร้อยละ 2 ซึ่งชะลอลงจากปี 2562 ที่ GDP จีนขยายตัวได้ร้อยละ 6.1 ทั้งนี้ จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจจีนในระดับที่สูง ทางการจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายการคลังและการเงิน เพื่อบรรเทาภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 เป็นต้นมา
ทางการจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายขนาน โดยเฉพาะนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ
จากภาวะเศรษฐกิจจีนในปี 2563 ที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำมากจนอาจส่งผลให้ทางการจีนยากที่จะบรรลุเป้าหมายการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2563 นี้ ให้ขยายตัวเป็น 2 เท่าจากปี 2553 นอกจากนี้ ทางการจีนอาจจะประสบความท้าทายในการรักษาอัตราการจ้างงานให้มั่นคง ดั่งที่ได้เคยระบุไว้ในการประชุมงานด้านเศรษฐกิจส่วนกลางของจีนเมื่อช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา ดังนั้น ทางการจีนอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งมาตรการทางการเงินและการคลังเพิ่มเติม เพื่อประคองสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเด็นด้านภาระหนี้ของภาคเอกชนจีนที่อยู่ในระดับสูง
แม้จะดูเหมือนว่า จีนจะผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ได้ก่อนประเทศอื่นๆ แต่การที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยส่งผลให้ทางการจีนคงจะไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากที่จะต้องดาเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งผ่านมาตรการด้านการเงินและการคลัง ต่อเนื่องอย่างน้อยก็ในระยะสั้น จนกว่าจะแน่ใจว่าความเสี่ยงของการถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจะลดลง ซึ่งคาดว่า ทางการจีนคงจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเมื่อมั่นใจแล้วว่า เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้แล้ว ทางการจีนคงจะทยอยปรับนโยบายการเงินและการคลังให้เข้าสู่ภาวะปกติตามเดิม ทั้งนี้ เพื่อมิให้นโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายมากเกินไป นำมาสู่ปัญหาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจจีนในระยะยาว
ทั้งนี้ ความเปราะบางของเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันที่ทางการเร่งสะสางอยู่นั้น นอกเหนือจากระดับหนี้ของจีนที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะภาระหนี้ภาคธุรกิจ (ไม่รวมสถาบันการเงิน) ที่อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 150.3 ต่อ GDP ณ สิ้นปี 2562 แล้ว สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจากการที่ทางการจีนหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น อาจเป็นความท้าทายใหม่ของทางการจีนในระยะข้างหน้า โดยหากทางการจีนปรับใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ผ่านการเร่งการบริโภคภาคเอกชนให้กลับมาฟื้นตัว อาจจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงของระบบการเงินอย่างเหมาะสม เพื่อควบคุมคุณภาพสินเชื่อภาคครัวเรือนไม่ให้ถดถอย ท่ามกลางรายได้ของครัวเรือนและการจ้างงานที่ซบเซาจากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
The Chinese economy contracted by 6.8 percent (YoY) in 1Q20, marking the first time that the Chinese economy has experienced a contraction since statistical reports began in 1992. The main reason for this phenomenon is the stringent COVID-19 disease control and prevention measures issued by the Chinese authorities, including lockdown orders and orders for domestic tour operators to cease tour package sales. Such measures have caused a partial stagnation of economic activity throughout China. Some of the impacts can be seen in retail sales and industrial production figures in 1Q20, which declined by 19.64 percent (YTD, YoY) and 8.4 percent (YTD, YoY), respectively.
Although the Chinese authorities have started to gain control of their outbreak situation, the prospects for immediate recovery of the Chinese economy are not so bright, based on the overall picture of Chinese exports, which continue to face pressure from the sheer number of countries that may simultaneously enter recession. Likewise, private consumption might then be unable to return to the level it held prior to the pandemic, in the same way as investments are being held back in anticipation of a clear revival of the world economy. KResearch has readjusted its projection for economic expansion in 2020, from a previous projection made in January 2020: the new figure is a cautious expectation of growth in the range of 1-3 percent, compared to the original projection of 5.7 percent.
With China’s economic conditions set on a trajectory of very low growth, to the extent that the Chinese authorities will be hard-pressed to fulfill their goal of doubling the amount of gross domestic product (GDP) from 2010, more stimulus packages may be issued in the form of monetary and fiscal policies to help sustain the economy. Monetary and fiscal policy normalization can be expected once the Chinese economy begins to show signs of recovery, to ensure that such policies are not too relaxed which might lead to stability issues for the Chinese economy in the long term.