Saving Money – Reducing Environmental Impact with The New Air Recycling System

เทคโนโลยีการนำอากาศกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการเป่าขึ้นรูปขวดเพื่อการลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

Krones AG

Full article TH-EN

ระบบการนำอากาศกลับมาใช้ใหม่ที่ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุด1ขณะนี้ สำหรับการเป่าขึ้นรูปขวดถูกนำมาใช้ในเครื่องเป่าขึ้นรุปขวดในปัจุบัน โดยเมื่อนำมาใช้ร่วมกับกระบวนการ Pre-blow-moulding, Intermediate blow-moulding และการ Stretching ด้วยแล้ว จะทำให้การเป่าขึ้นรูปขวดมีประสิทธิภาพสูงและสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมาก เพราะเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าช่วยให้สามารถประหยัดพลังงานในการบีบอัดอากาศที่ใช้ในการขึ้นรูปขวดได้อย่างมีนัยสำคัญ

โดยปกติ ขวดหรือบรรจุภัณฑ์ PET จะถูกผลิตจากเครื่องเป่าขึ้นรูปขวดเทคโนโลยีล้ำสมัย2 โดยอาศัยแรงดันอากาศประมาณ 30 ถึง 35 บาร์ จนกระทั่ง อากาศอัดที่เหลืออยู่ในขวดนั้นจะถูกแรงดันภายในดันออกจนลดลงเหลือเพียง 10 บาร์ ซึ่งในระหว่างกระบวนการตรงนี้มีแรงดันที่สูญเสียไปมากถึง10 ถึง 35 บาร์ เลยทีเดียว

การสูญเสียดังกล่าวข้างต้นสามารถป้องกันได้ด้วยการติดตั้งระบบการนำอากาศกลับมาใช้ใหม่ที่คิดค้นล่าสุด1 ซึ่งก็คือการติดตั้ง วาล์วแบบ Multi-stage snifting ที่จุดขึ้นรูปขวดทั้ง 20 จุดของเครื่องเป่าขึ้นรูปขวดเทคโนโลยีล้ำสมัย2 พร้อมกับการสร้างเซอร์กิตสำหรับอากาศอัดเพิ่มอีก 2 จุด ซึ่งให้ผลดังนี้
– อากาศแรงดันสูงจากขวดอยู่จะถูกบีบอัดออกสู่ขั้นตอนของ Intermediate blow-moulding
– ขวดใหม่ที่เข้ามาจะถูกเป่าขึ้นรูปเบื้องต้นโดยใช้อากาศแรงดันต่ำที่6 ถึง 10 บาร์
– หลังจากนั้น จึงเข้าสู่ขั้นตอนของ Intermediate blow-moulding ที่คราวนี้จะใช้อากาศแรงดันสูงที่รีไซเคิลได้จากขั้นตอนการเป่าขึ้นรูปขั้นสุดท้าย
– ซึ่งจะทำให้เหลือเพียงแค่การเป่าขึ้นรูปขวดขั้นสุดท้ายเท่านั้นที่ต้องขึ้นรูปด้วยอากาศแรงดันสูงที่ 30 ถึง 35 บาร์ โดยสำหรับเครื่องเป่าขึ้นรูปขวดเทคโนโลยีล้ำสมัย2 นั้นมีความจำเป็นต้องใช้อากาศแรงดันสูงใหม่ที่ 35 บาร์ เท่านั้น ซึ่งการปรับเปลี่ยนนี้จะช่วยลดภาระงานของคอมเพรสเซอร์แรงดันสูงอย่างมาก

The new air recycling system1 prepares the final blow-moulding air inside the machine, with the aid of the additional process stages of pre-blow-moulding, intermediate blow-moulding and stretching. This verifiably reduces the consumption of highly compressed air – and thus the energy costs as well.

Usually, the PET containers are produced in the high technology blow moulding machine2 using a blowing pressure of 30 to 35 bar. Hitherto, the compressed air remaining in the bottle had been pressure-relieved into a 10-bar compressed-air network. However, this entailed losing the pressure differential between 10 and 35 bar.

This is prevented by a feature called a new air recycling system1 where a multi-stage snifting valve is installed at each of the twenty blow-moulding stations of the blow moulder2, and two additional compressed-air circuits are created
– The high-pressure air from the containers is now pressure-relieved into an intermediate blow-moulding stage.
– New bottles are pre-blow-moulded using fresh low-pressure air at six to ten bar.
– This is followed by intermediate blow-moulding using the recycled high-pressure air obtained beforehand from the final blow-moulding stage.
– Only for final blow-moulding at 30 to 35 bar does the high technology blow moulding machine2now still need new high-pressure air at 35 bar. This change-over perceptibly eases the workload of the high-pressure compressor.

#FFT April 2018

Trust the Truth Ensuring Food Safety and Quality for Today’s Demanding Consumers

คุณพชร สังข์ทอง / Mr.Potchara Sungtong
Business Manager, Microbiology Thailand
Thermo Fisher Scientific (Thailand) Co., Ltd.

Full article TH-EN

“เมื่อกล่าวถึงเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยอาหารย่อมไม่มีใครยอมประนีประนอมได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าโซลูชันทางจุลชีววิทยาทั้งหมดของบริษัท เทอร์โม ฟิชเชอร์ ไซเอนทิฟิค จำกัด ได้รับการพัฒนาขึ้นจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในด้านความต้องการของห้องปฏิบัติการทดสอบทางอาหารซึ่งมีความเฉพาะเจาะจง โซลูชันการทำงานของเราครอบคลุมตั้งแต่อาหารเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพทางจุลชีววิทยาซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทดสอบความปลอดภัยอาหาร ทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยอาหารที่เป็นเลิศสำหรับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน” คุณพชร สังข์ทอง ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ แผนกจุลชีววิทยา บริษัท เทอร์โม ฟิชเชอร์ ไซเอนทิฟิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

ถึงเวลาแล้วที่ความแม่นยำแบบ 100% จะมาพร้อมกับผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเพื่องานวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยอาหาร เช่น Salmonella และ Listeria นั้นมีการใช้ชุดทดสอบซึ่งเป็นวิธีทางเลือกที่ให้ผลที่รวดเร็วกว่าวิธีดั้งเดิม แต่ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีบางประการทำให้เกิดผลบวกเทียมและผลลบเทียม

โดยส่วนมากผลบวกเทียมและผลลบเทียมที่ได้นั้นเกิดมาจากองค์ประกอบของอาหาร เช่น เปอร์เซ็นต์เกลือ เครื่องเทศ วัตถุเจือปนอาหารชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งมีผลกระทบกับชุดทดสอบทำให้เกิดความไม่แน่นอนจากผลบวกเทียมและผลลบเทียมข้างต้น ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการออกผลดังกล่าวจากห้องปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงทางด้านโมเลกุลที่เรียกว่า “Multiplex PCR” ซึ่งเป็นการทำ PCR โดยใช้ไพรเมอร์ ทำให้เกิดการตรวจสอบว่าผลที่ออกมานั้นมีความถูกต้องว่าเป็นผลบวกจริงและผลลบจริง จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้ผู้ใช้งานเกิดความมั่นใจในการรายงานผลได้มากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของชื่อผลิตภัณฑ์ “SureTect” ทั้งยังรายงานผลได้อย่างรวดเร็วในวันถัดไป หรือที่เรียกว่า “Next Day Solution” จึงทำให้มีความนิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายในยุคดิจิทัลนี้

“When it comes to food safety and quality, no one can afford to compromise. That’s why all microbiology solutions are developed with a deep understanding of the unique needs of the food testing laboratory. From culture media to quality control organisms, our comprehensive workflow solutions are designed to bring the best in food safety testing and ensuring food safety and quality for today’s demanding consumers.” said Mr.Potchara Sungtong, Business Manager, Microbiology Thailand, Thermo Fisher Scientific (Thailand) Co., Ltd.

 

Its Time to be SureRapid Food Pathogen Detection

“Currently, detecting pathogenic bacteria such as Salmonella and Listeria for food safety is done by testing kit, which delivers the result faster than the traditional method. However, some technology limitations cause false positivity and false negativity”. said Mr.Potchara as well as revealed the new technology of SureTect™ Real-Time PCR System.

 

“Those error results are due to food ingredients such as the percentage of salt, spices, and food additives that are added to prolong the shelf life of foods. Some ingredients interact with the test kit which triggers falsely positive and falsely negative results, and later delay the issuing of the result from the lab. Nonetheless, with advanced molecular technology like “Multiplex PCR” which creates PCR process using primer instead of reaction agent, user can be more confident in the test results. This is why we named our product “SureTech”. We also deliver our test result quickly by the next day (Next Day Solution), which is why the technology is widely deployed in the digital era.”

#FFT April 2018

Marketing Strategies of Healthful Foods for Small Retail Food Stores

กลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพที่จำหน่ายในร้านค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา

Healthy Eating Research

Translated By: Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่พบได้ตามร้านค้าปลีกนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากทั่วสหรัฐ ทั้งในแง่ของสถานที่ตั้งของร้านค้า โดยชุมชนที่มีประชากรผิวขาวเป็นส่วนใหญ่มักมีซูเปอร์มาร์เกตและร้านของชำเจ้าดังรายใหญ่อยู่มาก 2 ถึง 4 เท่าของชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นคนผิวสี ในทางกลับกัน ชุมชนที่ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้น้อยหรือชุมชนคนผิวสีมักมีร้านของชำขนาดเล็ก เช่น ร้านตามหัวมุมถนนหรือร้านสะดวกซื้อ โดยร้านค้าเหล่านี้มักจะขยายสินค้าจำพวกอาหารและเครื่องดื่มที่แพ็คสำเร็จมาแล้ว ซึ่งให้พลังงานมากแต่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางอาหารเท่าใดนัก นอกจากนี้ ร้านเหล่านี้ยังไม่ค่อยจำหน่ายสินค้าอาหารที่มีประโยชน์เพื่อสุขภาพหรือเครื่องปรุงหลักในการทำอาหารต่างๆ เช่น ผลไม้ ผัก อาหารที่มีธัญพืชเป็นส่วนประกอบหลัก และนมไขมันต่ำ

 

ดังนั้น บางชุมชนจึงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงร้านค้าที่มีสินค้าเพื่อสุขภาพวางจำหน่าย และข้อจำกัดเหล่านี้มักเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในเชิงอาหารและสุขภาพ ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีการวางกลยุทธ์ต่างๆ ในหลายพื้นที่ทั่วสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ชุมชนที่ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้มากขึ้น

 

กลยุทธ์หนึ่ง คือ การเชิญชวนให้ร้านชำรายใหญ่และซูเปอร์มาร์เกตที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในชุมชนที่มีรายได้น้อยและชุมชนผิวสีเข้ามาลงทุน อย่างไรก็ตาม การเปิดสาขาใหม่ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก และไม่ชัดเจนว่ากลยุทธ์นี้จะเป็นไปได้และ/หรือเหมาะสมหรือไม่

 

กลยุทธ์ที่สอง คือ การพัฒนาอาหารและเครื่องดื่มที่จำหน่ายในร้านค้าปลีกประจำชุมชนเหล่านี้ให้มีคุณภาพด้านสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่จำหน่ายในร้านค้าปลีกทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ การประเมิน “ร้านหัวมุมเพื่อสุขภาพ” ก่อให้เกิดความสำเร็จในการเพิ่มตัวเลือกของการเข้าถึงอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางสุขภาพมากขึ้น ในราคาที่เข้าถึงได้ รวมทั้งโปรโมชันและกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นๆ ตามร้านขายของขนาดเล็ก

 

The healthfulness of foods and beverages found in retail food stores differs widely across the United States, both by location of the store as well as by store type. Communities with predominantly white residents have two to four times more supermarkets and large-chain grocery stores than communities of color. In contrast, lower-income and communities of color have more small food outlets, such as small food stores (‘corner stores’) and convenience stores. These small food stores primarily tend to sell pre-packaged foods and beverages that are high in calories and poor in nutrients. They are also less likely to sell healthy, staple foods such as fruits and vegetables, whole grain-rich foods, and low-fat dairy products.

Thus, some communities have limited access to stores that carry healthful foods, and these limitations likely contribute, at least in part, to disparities in diet and health. As such, several strategies are now being implemented in many locations across the United States to increase access to healthy foods in underserved communities.

 

One strategy is to attract grocery stores or supermarkets that currently are not located in these lower-income neighborhoods and communities of color. However, opening a new store requires substantial investments, and it is not clear that this strategy is feasible and/or appropriate in all settings.

 

A second strategy is to improve the healthfulness of foods and beverages sold by existing food retailers in underserved communities, including retailers that are both small and large in size. Evaluations of “healthy corner store” programs have demonstrated success in increasing the availability, visibility, affordability, promotion, and sales of healthy foods and beverages in small stores.

#FFT April 2018

ติดปีกแบรนด์ไทยคุณภาพ ติดตลาดโลก

กรุงเทพฯ, 15 มีนาคม 2561

จากนโยบายกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจ โดยการผลักดันสินค้าและบริการไทยให้เป็นที่นิยมในตลาดโลก รวมถึงส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนาศักยภาพการผลิต ให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ทั่วโลกไว้วางใจ ทั้งในด้านการผลิตที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีธรรมาภิบาลและมีการคุ้มครองแรงงานอย่างเป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ขานรับนโยบายดังกล่าว โดยตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อและผู้บริโภค จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมตรา Thailand Trust Mark หรืองาน “T Mark Festival 2018” เพื่อสร้างประสบการณ์โดยตรงกับนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้บริโภคชาวไทย รวมทั้งตอกย้ำการสร้างการรับรู้ในตราสัญลักษณ์ T Mark รวมถึงแบรนด์สินค้าไทยที่มีคุณภาพและได้รับเครื่องหมายการันตีมาตรฐานคุณภาพตรา T Mark กว่า 30 บริษัท

โครงการ Thailand Trust Mark เริ่มต้นเมื่อปี 2555 โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ดําเนินการตามนโยบายกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ เพื่อให้รับตราสัญลักษณ์ T Mark โดยมุ่งผลักดันและยกระดับความสามารถทางการแข่งขันด้านการค้าของผู้ประกอบการไทยให้มุ่งไปสู่ตลาดศักยภาพสูง (Dynamic Market) มากขึ้น เช่น ตลาด CLMV ตลาดจีนที่มีอิทธิพลต่อทั่วโลกในขณะนี้ ปัจจุบันการประกอบธุรกิจในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs ที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 95 ของประเทศและมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการรับรองมาตรฐานคุณภาพสินค้าของตรา T Mark นี้ จะต้องผ่านเกณฑ์เกณฑ์มาตรฐานการผลิต เกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียว ของกระทรวงอุตสาหกรรม และเกณฑ์มาตรฐานแรงงานไทย ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งนับว่าเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่าง 3 กระทรวง

ในด้านการสร้างภาพลักษณ์ประเทศในเวทีการค้าโลกนั้น กระทรวงพาณิชย์ได้ประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ T Mark อย่างเข้มข้นขึ้น โดยเจาะตลาดเป้าหมาย เน้นกลุ่มประเทศที่ให้ความสนใจในประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคมและแรงงาน อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีน โดยเน้นสื่อสารในประเด็นสำคัญ คือ มาตรฐาน คุณภาพกระบวนการผลิต และภาพลักษณ์องค์กรที่ดีทั้งในด้านการใช้แรงงานที่เป็นธรรมตามหลักมาตรฐานสากล การดำเนินงานที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้าและบริการจากประเทศไทย และปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามปฏิญญาความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐและผู้ประกอบธุรกิจในไทยเห็นประโยชน์และตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งนำไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ซึ่งนับได้ว่า ตรา T Mark เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความตระหนักรู้และการขับเคลื่อนในด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ในภาคธุรกิจอีกด้วย

ในปีนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จับมือกับบริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด จัดงาน T Mark Festival 2018 เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ Thailand Trust Mark ไปยังนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น โดยเนรมิตพื้นที่บริเวณลาน Outdoor Multi-Purpose Area ให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงสินค้า T Mark กว่า 30 บูธ ภายใต้คอนเซปต์ “ช็อปเพลิน เดินชิล สินค้าดี กิจกรรมโดน” ทั้งยังมีกิจกรรม “Heart-Made Quality Workshop” เวิร์คช้อปพิเศษสอนทําอาหาร และสินค้าที่ระลึกแบบไทยๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ในกลุ่มผู้บริโภคให้เกิดความประทับใจและจดจําตรา T Mark

สสว. สถาบันอาหาร คณะกรรมการอิสลามกรุงเทพฯ ทำ MOU พัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล

กรุงเทพฯ, 23 มีนาคม 2561

สสว. ผนึก สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)กับ สำนักงานคณะกรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร พัฒนาบุคลากรด้านวิชาการ ด้านมาตรฐานกิจการฮาลาล ด้านการวิจัยและพัฒนา ต่อยอดธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SME ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลให้เข้มแข็งและยั่งยืน สร้างความเชื่อมั่นให้เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มประเทศมุสลิมและนานาประเทศ

นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม และนายอรุณ บุญชม ประธานกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร และรองประธานกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่าง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กับสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร โดยมีคณะผู้บริหารของทุกฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมชั้น 3 ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านวิชาการ ด้านมาตรฐานกิจการฮาลาล ด้านการวิจัยและพัฒนา อันจะเสริมสร้างอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มประเทศมุสลิมและมิใช่มุสลิมทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้ขอบเขตความร่วมมือพอสังเขป ดังนี้ 1) การเผยแพร่ความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการฮาลาลแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ และพัฒนาผู้ประกอบการ รวมทั้งพัฒนาระบบการจัดการในสถานประกอบการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานฮาลาลร่วมกัน 2) การสนับสนุนการศึกษา วิจัย และการประสานความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี การวิเคราะห์ตรวจสอบ เพื่อยกระดับการผลิตให้มีมาตรฐานฮาลาล 3) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความชำนาญด้านการบริหารงานและการบริการระหว่างกัน 4) การเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงาน 5) การบริการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ฮาลาลทางด้านเคมี ชีวภาพ และกายภาพ ตามมาตรฐานสากล โดยห้องปฏิบัติการของสถาบันอาหาร และ 6) พัฒนาช่องทางการตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SME

อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภายใต้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เนื่องจากตลาดอาหารฮาลาลเป็นตลาดที่มีผู้ผลิตทั่วโลกให้ความสำคัญ เพราะมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือชาวมุสลิมกระจายอยู่มากกว่า 1,800 ล้านคนทั่วโลก สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศหนี่งในผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก แต่ยังมีผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการทางศาสนาและหลักการผลิตอาหารฮาลาล ทำให้มองไม่เห็นโอกาสของตลาดสินค้าอาหาร ฮาลาล ในการต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ให้กับธุรกิจการผลิตอาหารฮาลาล ความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) สถาบันอาหาร และสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่รับรองและควบคุมมาตรฐานฮาลาลให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้แก่ภาคอุตสาหกรรมอาหารของไทย โดยเฉพาะสถานประกอบการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งยังสนับสนุนกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการด้านมาตรฐานอาหาร เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในการยื่นขอการรับรองมาตรฐานฮาลาล ซึ่ง สสว.และสถาบันอาหารได้ร่วมกันดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้อุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดมุสลิมในประเทศและตลาดฮาลาลทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

เบอร์ทอลลี่® รับมอบรางวัล “ผลิตภัณฑ์คุณภาพแห่งชาติของประเทศอิตาลีประจำปี 2018” เป็นปีที่สามติดต่อกัน

กรุงเทพฯ, 22 มีนาคม 2561

เบอร์ทอลลี่® แบรนด์น้ำมันมะกอกอันดับหนึ่งในประเทศไทย รับมอบรางวัล “ผลิตภัณฑ์คุณภาพแห่งชาติของประเทศอิตาลีประจำปี 2018” เป็นปีที่สามติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นรางวัลอันทรงคุณค่าและเป็นรางวัลประเภทคุณภาพผลิตภัณฑ์เพียงรางวัลเดียวในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดของน้ำมันมะกอกระดับสากล โดยผลการตัดสินนั้นมาจากการชิมน้ำมันมะกอกแบบปิดตา (Blind sensory tasting)

“รางวัลผลิตภัณฑ์คุณภาพแห่งชาติของประเทศอิตาลีประจำปี 2018 นับว่าสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของ เบอร์ทอลลี่ในฐานะแบรนด์น้ำมันมะกอกอันดับหนึ่งในประเทศไทย จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนานกว่า 153 ปีของเราที่พร้อมมอบผลิตภัณฑ์เปี่ยมคุณภาพให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย” มร. อัลแบร์โต้ เปเรซ มาร์ติน ผู้อำนวยการเบอร์ทอลลี่ประเทศไทยและเอเชีย กล่าว

รางวัลนี้เป็นการตัดสินจากผู้บริโภคชาวอิตาเลียนกว่า 300 คน จากการชิมน้ำมันมะกอกแบบปิดตา เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคทราบแบรนด์ที่ตนเองชิมอยู่ ซึ่งผลการตัดสินล้วนมาจากโสตประสาทสัมผัสและความนิยมชมชอบของผู้บริโภค ทั้งด้านรสชาติ ความสม่ำเสมอ และกลิ่นหอมของน้ำมันมะกอก

“เราเข้าใจถึงความต้องการและรสชาติที่ผู้บริโภคชื่นชอบเป็นอย่างดี เราจึงสามารถผลิตน้ำมันมะกอกที่ได้รับรางวัลระดับโลกได้ โดยรางวัลนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของเบอร์ทอลลี่ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสุดแก่ผู้บริโภคชาวไทยและทั่วโลก” มร. เปเรซ มาร์ติน กล่าวสรุป

สินค้าออร์แกนิกไทยสุดฮอตในเยอรมนี

เยอรมนี, 14 มีนาคม 2561

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเผยสินค้าออร์แกนิกไทยสุดฮอต ผู้ซื้อ ผู้นำเข้าแห่ช็อป หลังนำเข้าร่วมงาน BIOFACH 2018 มียอดสั่งซื้อทันที 13 ล้านบาท และคาดว่าจะซื้อภายใน 1 ปีสูงถึง 190 ล้านบาท ระบุน้ำตาลมะพร้าว ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว พาสต้า เครื่องแกง น้ำมะพร้าวได้รับความนิยมสูง

นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการนำคณะผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน BIOFACH 2018 ครั้งที่ 29 ซึ่งเป็นแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในโลก ที่เมืองนูเรมเบิร์ก เยอรมนี เมื่อเร็วๆนี้ว่า กรมฯ ได้นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานทั้งหมด 22 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าอาหาร เครื่องดื่มอินทรีย์และผลิตภัณฑ์อินทรีย์ เช่น ข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว ผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง ผักและผลไม้ ชา กาแฟ น้ำตาลมะพร้าว เส้นก๋วยเตี๋ยวจากข้าว เป็นต้น โดยได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ ผู้นำเข้า เป็นอย่างมาก และมียอดการสั่งซื้อทันที 416,500 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 13 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดสั่งซื้อภายใน 1 ปี ประมาณ 5,792,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 190 ล้านบาท

สำหรับงาน BIOFACH 2018 เป็นงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจอินทรีย์ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในงานจะมีเฉพาะการเจรจาธุรกิจ โดยการจัดงานในปี 2561 มีผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้า2,535 บริษัท โดยร้อยละ 71 ของผู้เข้าร่วมงานมาจาก 80 ประเทศทั่วโลก และมีผู้เข้าชมงาน 51,453 คน จาก 129 ประเทศทั่วโลก ใช้พื้นที่จัดแสดงสินค้า 71,400 ตารางเมตร และมีพื้นที่จัดกิจกรรมพิเศษ 3,064ตารางเมตร ส่วนคูหาประเทศไทยมีขนาดพื้นที่ 191.93 ตารางเมตร โดยกรมฯ ได้จัดให้มีกิจกรรมพิเศษการสาธิตการทำอาหารเพื่อประชาสัมพันธ์อาหารไทย และดึงดูดความสนใจของผู้นำเข้า และผู้ชมงาน ซึ่งตลอดการจัดงานได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานเข้ามาร่วมชิมอาหารไทยกันเป็นจำนวนมาก และในพื้นที่ส่วนกลางที่กรมฯ จัดไว้สำหรับการเจรจาการค้า ก็ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อ ผู้นำเข้า มาเจรจากันเป็นจำนวนมากด้วย

เบทาโกร จับมือจุฬาฯ เปิดตัวโครงการ Social Shaker Season 1

กรุงเทพฯ

สำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเปิดตัวโครงการ “Social Shaker Season 1” พร้อมจัดเสวนาในหัวข้อ “ความร่วมมือในรูปแบบ U-I-G (University, Industry, Government) สู่ผลกระทบที่มากขึ้นในการพัฒนาสังคม” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือเบทาโกร มณีรัตน์ อนุโลมสมัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (Thailand) ต้องใจ ธนะชานันท์ กรรมการผู้จัดการประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) และ ชยุตม์ สกุลคู ประธานบริษัท Tact Social Enterprise ณ หอประชุมอาคารเจริญวิศวกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

U-I-G คือความร่วมมือภายใต้ความสัมพันธ์ของ 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคมหาวิทยาลัย (University) ภาคธุรกิจ (Industry) และ ภาครัฐบาล (Government) เพื่อร่วมกันพัฒนาชุมชนแนวใหม่ที่หลุดออกจากกรอบเดิม โดยมีบริษัท Tact Social Enterprise ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามกลุ่ม STEPS ภายใต้การดูแลของสำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการสนับสนุนจากเครือเบทาโกร เข้ามาดำเนินงานเชื่อมโยงระหว่าง 3 ภาคส่วน ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม ผลักดันให้นิสิตนักศึกษาได้พัฒนาทักษะของตนเองผ่านการทำกิจกรรมเพื่อสังคม โดยบริหารจัดการงบประมาณด้านซีเอสอาร์ของบริษัทเอกชน ให้ตอบโจทย์ความต้องการจริงของชุมชน เพื่อให้เกิดเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน

สำหรับ Social Shaker Season 1 ในปีพ.ศ.2561 นี้ จะดำเนินโครงการพัฒนาสังคม ด้วยกัน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนานักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ในอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ให้เกิดการพัฒนาจุดแข็ง มีการวางแผนชีวิต และเกิดความตระหนักถึงสังคมส่วนรวม ผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียน โครงการพัฒนาร้านอาหารให้มีคุณภาพ ทั้งในมิติของ ความปลอดภัยและคุณภาพ (Safety & Quality) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ประสบการณ์ร่วมของลูกค้า (Customer Experience) เพื่อแก้ไขปัญหาของร้านอาหารในสังคมเมือง และโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-based Tourism) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ และออกแบบเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการกระจายรายได้สู่ชุมชน

DKSH expands and upgrades to state-of-the-art food and beverage innovation center in Thailand

DKSH ทุ่มทุนขยายและปรับปรุงศูนย์นวัตกรรมด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ทันสมัยในประเทศไทย

 

กรุงเทพฯ, 19 มกราคม 2561 – กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอุตสาหกรรม บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ลงทุนขยายและปรับปรุงศูนย์นวัตกรรมในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจอุตสาหกรรมและเครื่องดื่ม โดยมุ่งเน้นในด้านการพัฒนาสูตรและสนับสนุนข้อมูลเชิงเทคนิคให้กับคู่ค้าในประเทศไทย ศูนย์นวัตกรรมพื้นที่ 130 ตารางเมตร ที่ปรับปรุงใหม่นี้เปรียบเสมือนทั้งสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของบริษัทฯ และเป็นการตอกย้ำการให้บริการที่เป็นเลิศกับกลุ่มลูกค้า แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ ห้องปฏิบัติการพัฒนาสูตรสำหรับผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่ม ห้องปฏิบัติการสำหรับอาหารแปรรูปและกลุ่มธุรกิจฟู้ดเซอร์วิส และห้องปฏิบัติการผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ โดยในแต่ละปีได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต้นแบบออกมาถึง 150 ผลิตภัณฑ์ กว่า 200 สูตร อาทิ เบเกอรี่ (เค้กมาม่อน มัฟฟินสูตรน้ำตาลต่ำ และครัวซองต์ปราศจากไขมันทรานส์) นมและเครื่องดื่ม (เครื่องดื่มฟังก์ชันนัล น้ำผักและผลไม้ และกรีกโยเกิร์ต) และผลิตภัณฑ์อาหารคาว (ไส้กรอกไขมันต่ำ มายองเนสปราศจากไข่ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสูตรลดเกลือ)

 

ทั้งนี้ ดีเคเอสเอชมีศูนย์นวัตกรรมสำหรับอาหารและเครื่องดื่มอยู่ 7 แห่ง และห้องปฏิบัติการด้านการประยุกต์ใช้อีก 14 แห่งในภูมิภาคเอเชียและยุโรป พรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือทันสมัย เพื่อให้บริการในด้านการพัฒนาสูตร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ การประเมินทางประสาทสัมผัส การทดลองผลิต ตลอดจนการฝึกอบรมเชิงเทคนิค นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์นวัตกรรมจะทำงานร่วมกับลูกค้าในการให้คำปรึกษาและสนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหารอีกด้วย

 

Mr.Thomas Sul, DKSH’s Co-Head Business Unit Performance Materials ระบุว่า “ด้วยเครือข่ายในการจัดหาวัตถุดิบที่มีอยู่ทั่วโลกของดีเคเอสเอช ศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้จะช่วยให้เราสามารถนำเสนอเทรนด์นวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ จากประเทศอื่นๆ มาสู่ประเทศไทย โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของท้องถิ่น ประกอบกับการสนับสนุนในด้านการพัฒนาสูตรจากดีเคเอสเอช ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของไทยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ในเชิงสุขภาพ สูตรน้ำตาลน้อย สูตรไขมันต่ำ และสูตรลดเค็ม เป็นต้น”

 

สอดคล้องกับนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ของรัฐบาลไทย ศูนย์วิจัยนี้ยังช่วยเอื้อประโยชน์ให้ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มของไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ คุณทรงสิน สังขเวทัย ผู้จัดการทั่วไป – อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอุตสาหกรรม บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า “เราสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน เนื่องจากศูนย์นวัตกรรมของเราทำงานร่วมกับศูนย์นวัตกรรมอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ศึกษาเรื่องการปรับปรุงสูตรอย่างเชื่อมโยงและใกล้ชิด เราสามารถปรับใช้ข้อมูลการปรับปรุงสูตรจากหลายประเทศเข้ากับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการส่งออกสินค้าอาหารและเครื่องดื่มไปยังประเทศต่างๆ ที่ต้องการ”

 

“จากเจ้าหน้าที่ 1,000 คนในกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอุตสาหกรรม เรามีเจ้าหน้าที่กว่า 50 คนที่ทำงานในศูนย์นวัตกรรมและค้นคว้าสูตรอาหารใหม่ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 5 ของพนักงานทั้งหมด พวกเขาร่วมระดมสมองเพื่อค้นหาความคิดใหม่ สูตรใหม่ แนวคิดใหม่ วิจัยตลาดและเก็บข้อมูลตลาด รวมทั้งการดูแลในเรื่องกฎหมายต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น” Dr.Natale Capri, DKSH’s Co-Head Business Unit Performance Materials กล่าวเสริม “เราลงทุนอย่างเต็มที่ในด้านการบริการเพื่อเพิ่มมูลค่า ข้อมูล องค์ความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ให้กับคู่ค้าทางธุรกิจของเรา”

 

เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนาสูตร ดีเคเอสเอชได้นำเสนอส่วนผสมอาหารหลายรายการ ซึ่งมีการพัฒนาและปรับปรุงอยู่เสมอ “เราต้องสร้างความมั่นใจตั้งแต่ต้นว่า ส่วนผสมอาหารที่เรานำเสนอนั้นมีพร้อมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้เรายังช่วยสรรหาบริษัทผู้รับจ้างผลิต (OEM) และให้คำแนะนำในเรื่องการขึ้นทะเบียนและการกล่าวอ้าง เหล่านี้เป็นการเพิ่มมูลค่าในบริการของเราให้กับลูกค้าอีกด้วย” คุณทรงสิน กล่าว

 

Dr.Capri เสริมว่า “ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรายังดูแลคู่ค้าในประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา โดยในปี 2561 นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตถึงร้อยละ 5 และเราหวังที่จะเติบโตขึ้นเช่นกันจากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นในประเทศไทย”

 

ด้าน Mr.Sul ประเมินว่า ในปี 2561 ตลาดในประเทศไทยน่าจะมองหาสินค้าที่ลดน้ำตาล ลดเค็ม ปราศจากไขมันทรานส์ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทดแทนเนื้อสัตว์สำหรับผู้ที่รับประทานทานเจหรือมังสวิรัติ ตลอดจนผลิตภัณฑ์นูทราซูติคัล “เราสามารถช่วยเหลือคู่ค้าโดยทำงานร่วมกันเพื่อมองหาเทรนด์ใหม่ๆ สรรหาผู้จำหน่ายส่วนผสมอาหารที่ใช่ และพัฒนาปรับปรุงสูตรเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ของผู้บริโภคในประเทศไทย”

 

DKSH expands and upgrades to state-of-the-art food and beverage innovation center in Thailand

Bangkok, 19 January 2018 – DKSH’s Business Unit Performance Materials has made a major investment in its food and beverage business by expanding and upgrading its innovation center in Thailand. The innovation center, which is both a symbol of the company’s achievements to date and represents its commitment to providing continued operational excellence to clients, specializes in developing food and beverage formulations and provides expert technical support to its business partners in Thailand. The center has a capacity of 130 sq. m. and caters for three segments of the food and beverage industry: beverage and dairy (for formulations), processed food and food service (for savory applications) and bakery (for bakery applications). Currently, it develops over 150 prototypes and 200 formulations per year including: unique bakery products such as mamon cakes, low sugar muffins and transfat-free croissants; beverage and dairy products such as functional drinks, fruits and vegetable drinks and greek yoghurt; and savory products such as low-fat sausages, egg-free mayonnaise and low sodium instant noodles.

 

Joining a network of seven DKSH food and beverage innovation centers (with 14 application laboratories) in Asia and Europe, the center houses some of the industry’s most advanced development and analysis equipment. It provides a broad range of specialized services including: formulation application, product ideation and development support, stability testing, sensory evaluation, pilot trials and technical training. In addition, its specialists work closely with a dedicated regulatory team to provide consultation and support for the complex regulatory environment of the food and beverage industry in Thailand.

 

DKSH’s Co-Head Business Unit Performance Materials, Mr.Thomas Sul, stated that “Together with our global sourcing network, this innovation center enables us to introduce, to Thailand, the latest innovative food and beverage trends from the other markets and custom them to local needs.” This will allow Thai food and beverage businesses to develop new products that are “more healthy, low in sugar, low in fat and low in salt” thanks to our performance-enhancing formulations.

 

Conforming with Industry 4.0 policy implemented by the Thai government, the innovation center can support Thai food and beverage producers export their products to other markets. “We can leverage each other”, said Mr.Songsin Sungkhawaetai, DKSH’s General Manager – Food & Beverage Industry, Business Unit Performance Materials, “We work in close collaboration with our network of innovation centers in Asia Pacific, all of which produce food formulations. This allows us to introduce innovative formulations across the region to business partners that export food and beverage products”.

 

“There are over 1,000 specialists in DKSH Business Unit Performance Materials globally and we count more than 50 people who are based in innovation centers. This means that more than 5% of the workforce develops new ideas, new formulations and new concepts and undertakes market research and market intelligence activities. To support our innovation specialists, we have a regulatory team who ensure that we comply with all existing, new and upcoming laws and legislations”, added Dr.Natale Capri, DKSH’s Co-Head Business Unit Performance Materials. “We are investing a lot in our value-added services to ensure that our excellence in innovation, sourcing, regulatory and information allows us to develop exciting new products for our business partners.”

 

In order to help customers with formulations, DKSH provides a comprehensive portfolio of specialist food ingredients, which is regularly updated with new sources. “We ensure that a wide range of innovative ingredients are available to our business partners, as well helping them to find suitable OEM companies. We also provide consultation regarding FDA registration and health claims, bringing added valued to our service offerings”, said Mr.Sungkhawaetai.

 

Dr.Capri later added that “Thailand is the hub for Southeast Asia. Our business partners in Cambodia, Lao PDR and Myanmar also benefit from the advancements we make in Thailand and throughout the region.” and that “In 2018, we have high expectations. The Thai economy is expected to increase by 5% – this boom will provide us with some good market opportunities.”

 

The prediction for 2018 as viewed by Mr.Sul is that Thailand will yearn for products that offer sugar reduction, salt reduction, trans-fat free, meat replacement (for vegan and vegetarian) and nutraceutical benefits. “We work hand-in-hand with our business partners to identify trends, secure the right ingredient suppliers and produce formulations that fit to Thai tastes.”, said Mr.Sul.

www.dksh.co.th

 

 

(From left to right)

  1. 1. Mr.Mathias Greger, Vice President, Business Unit Performance Materials, DKSH Thailand
  2. 2. Dr.Natale Capri, Co-Head Business Unit Performance Materials, DKSH
  3. 3. Mr.Stefan P. Butz, Chief Executive Officer, DKSH
  4. 4. Mr.Thomas Sul, Co-Head Business Unit Performance Materials, DKSH
  5. 5. Mr.Ben Hopkins, Vice President, Global Food & Beverage Industry, Business Unit Performance Materials, DKSH
  6. 6. Mr.Douglas Humphrey, Head Country Management, DKSH Thailand

Internet of Things (IoT) for the Food & Beverage Industry

Internet of Things (IoT) อาวุธลับอัจฉริยะในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

Compiled and Translated By:

Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine

Full article TH-EN

เราเคยได้ยินเกี่ยวกับแนวคิด Internet of Things (IoT) หรือเครือข่ายของสิ่งที่เป็นตัวตนจับต้องได้กันมาแล้ว และรู้ดีว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการทางด้านดิจิทัล แนวคิดดังกล่าวนี้มีผลกระทบอย่างไรต่ออุตสาหกรรมอาหาร

IoT คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในแต่ละวัน รวมถึงสินค้าต่างๆ ที่ถูกเชื่อมโยงสู่อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและระบบซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน โดยที่มีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย

ดังนั้น IoT จึงครอบคลุมเทคโนโลยีหลากหลายประเภท ได้แก่ เทคโนโลยีการระบุสิ่งต่างๆ โดยอาศัยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency Identification; RFID) เทคโนโลยีการส่งข้อมูลผ่านการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยคลื่นวิทยุ (Near Field Communication; NFC) เทคโนโลยี Wi-Fi ระบบข้อมูลเซลลูลาร์ และบลูทูธ ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายที่โดยปกติแล้วใช้รูปแบบของการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต

บทบาทของ Internet of Things ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่าอุตสาหกรรมอาหารมีความพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆ ตามแนวคิด IoT ซึ่งมีความสามารถที่จะพัฒนาการตรวจสอบย้อนกลับ ลดปัญหาอาหารที่ถูกทิ้ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและจัดการกับผลิตภัณฑ์อาหารได้อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยี RFID ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแก้ไขปัญหาทั้งปัญหาทางเทคนิคและเรื่องทั่วไปที่อุตสาหกรรมอาหารเผชิญ

บริษัทด้านเทคโนโลยีหลายรายเริ่มค้นหาศักยภาพในการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้กับอุตสาหกรรมอาหารและร้านค้าปลีก โดยเลือกผู้แทนจัดจำหน่ายสินค้าอาหารในยุโรปและติดแท็ก RFID บนบรรจุภัณฑ์ขนส่งสำหรับขนส่งอาหารไปยังร้านค้าปลีกเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการขนส่งสินค้าที่แม่นยำและสามารถติดตามข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์ได้โดยตลอดซัพพลายเชน

Many of us will have heard of the Internet of Things (IoT) and recognize it as part of the digital revolution, but it may be unclear what it really means and how it is likely to impact the food industry.

IoT is about everyday objects and products becoming associated with electronic devices that network together, and with software systems to collect and exchange data with little or no human intervention.

The IoT embraces a wide range of technologies, including Radio Frequency Identification (RFID), Near Field Communication (NFC), Wi-Fi, Cellular and Bluetooth all linked to networks that normally use the Internet as a form of communication.

How will the Internet of Things Impact on Food & Beverage Industry?
Many experts believe the food industry is ready to benefit from these new IoT technologies that have the ability to improve traceability, reduce food waste and increase efficiencies in transport and handling of food products. In particular one technology- RFID holds potential to address both the unique and not-so-unique issues faced by the food industry.

Select food distributors in Europe have begun attaching RFID tags to reusable totes used to deliver food to grocery stores to ensure accurate delivery and to track the totes through the supply chain.