ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากการร่วมสนุกกับกิจกรรมเปิดตัวเว็บไซต์โฉมใหม่
www.foodfocusthailand.com
Your Gut Health in 2018
การดูแลสุขภาพทางเดินอาหารรับปี 2018
By: Yella Hewings–Martin Ph.D.
www.medicalnewstoday.com
Translated by: กองบรรณาธิการ
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com
จุลินทรีย์ในลำไส้มีการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติตลอดช่วงชีวิตของมนุษย์ ได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยทางด้านการรับประทานอาหาร การใช้ชีวิต ฮอร์โมน และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้น หากเกิดความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ก็จะนำไปสู่การเกิดสภาวะเรื้อรังต่างๆ ตามมา เช่น การแพ้อาหาร ผิวหนังอักเสบ โรคหืดหอบ กลุ่มโรคออทิสติก โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง (โรค CFS) ภาวะลำไส้แปรปรวน และมะเร็ง ดังนั้น มาดูวิธีที่จะดูและรักษาจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เราจะมีแคลอรีเกินๆ อย่างในช่วงวันหยุด ดังนี้
- อย่าลืมไฟเบอร์
ในขณะที่ไฟเบอร์นั้นไม่อาจถูกย่อยในระบบทางเดินอาหารของร่างกายได้ แต่กลับเป็นที่ชื่นชอบของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่จะนำมาใช้เป็นแหล่งอาหาร ถ้าเราไม่ได้รับไฟเบอร์จากการรับประทานอาหารอย่างเพียงพอ จุลินทรีย์เหล่านั้นก็จะไปดึงเมือกที่เซลล์เยื่อบุผิวลำไส้มาเป็นแหล่งอาหารแทน ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดภาวะลำไส้ดูดซึมผิดปกติ อันเป็นสาเหตุให้ผนังลำไส้รั่วซึมอย่างรุนแรงนั่นเอง และยังเสี่ยงที่จะเกิดภาวะลำไส้ใหญ่อักเสบ หรือเกิดการอักเสบของร่างกายและนำไปสู่ความผิดปกติของไขมันในเลือด ตลอดจนความดัน และระดับน้ำตาล ซึ่งล้วนเป็นสภาวะความเสี่ยงของโรคทางเมทาบอลิกที่พบร่วมกัน
- รักษาลำไส้ด้วยช็อกโกแลต
โกโก้มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและไฟเบอร์สูงมากและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ทั้งลดปริมาณคอเลสเทอรอลไปจนถึงการเสริมสร้างทารกในครรภ์ การรับประทานโกโก้นั้นช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการของโรคลำไส้อักเสบ (IBD) ทั้งชนิดที่เกิดเฉพาะบริเวณลำไส้ใหญ่เท่านั้น (Ulcerative colitis) และชนิดที่พบได้ในทุกส่วนของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเริ่มจากช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และทวาร (Crohn’s disease)
- หมั่นออกกำลังกายกันหน่อย
มีการรายงานจาก Medical News Today เกี่ยวกับการศึกษาผลของการออกกำลังกายซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณจุลินทรีย์ในลำไส้หลากหลายสายพันธุ์ โดยหนึ่งในการศึกษาเน้นไปที่ผลที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายของหนูไมค์ โดยกลุ่มหนึ่งมีการเคลื่อนไหว อีกกลุ่มหนึ่งให้อยู่กับที่ นักวิจัยได้ทำการปลูกถ่ายเชื้อจุลินทรีย์ในอุจจาระจากทั้งสองกลุ่มทดลองไปยังลำไส้หนูไมค์ที่เลี้ยงภายใต้สภาวะปลอดเชื้อ พบว่าหนูไมค์ที่ได้รับการปลูกถ่ายเชื้อจุลินทรีย์ในอุจจาระจากกลุ่มทดลองที่ให้ออกกำลังกายมีปริมาณแบคทีเรียในลำไส้มากขึ้น ซึ่งสามารถเผาผลาญเส้นใยและได้กรดไขมันสายสั้น เป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และยังพบระดับการอักเสบลดลง
- อย่าปล่อยให้เครียด
ในวารสาร Scientific Reports ได้ค้นพบว่าเมื่อหนูไมค์เพศเมียเกิดความเครียดที่ไม่ทราบสาเหตุ ส่งผลให้จุลินทรีย์ในลำไส้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจน เมื่อความหลากหลายของแบคทีเรียในกลุ่ม Lachnospiraceae, Ruminococcaceae และ Peptococcaceae ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการมีสุขภาพแข็งแรงของร่างกายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะการได้รับอาหาร ซึ่งเหมือนกับการทดลองของหนูไมค์ที่ให้กินอาหารที่มีไขมันสูงมากๆ ดังนั้น แม้จะมีอาหารที่ดีที่สุดในโลกแล้ว แต่หากมีความเครียดนั่นอาจส่งผลไปยังจุลินทรีย์ในลำไส้ของร่างกายได้
Know Your Food Industry Mechanical Conveyors
กลไกการลำเลียงในอุตสาหกรรมอาหาร
แปลและเรียบเรียบโดย: กองบรรณาธิการ
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
โรงงานผลิตอาหารทุกแห่งย่อมต้องมีระบบลำเลียงเพื่อใช้เคลื่อนย้ายวัตถุดิบจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอย่างมีประสิทธิภาพ คนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับการตั้งระบบสายพานแบบดั้งเดิมที่เคลื่อนย้ายสินค้าอย่างมีแบบแผนไปทั่วโรงงาน อย่างไรก็ตาม ระบบลำเลียงในปัจจุบันได้ถูกนำไปควบรวมกับเทคโนโลยีอื่นๆ มากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโรงงานแปรรูปอาหาร และตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากที่เครื่องมือทุกอย่างถูกออกแบบมาสำหรับการใช้อย่างมีสุขอนามัย และยังได้รับการรับรองโดยมาตรฐาน USDA หรือ FDA
กลไกระบบลำเลียงและเครื่องกลที่นิยมใช้ในโรงงานผลิตอาหาร
สายพาน – สายพานน่าจะเป็นระบบเคลื่อนย้ายสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยใช้กันในกระบวนการแปรรูปและบรรจุอาหาร เนื่องมาจากผิวหน้าของสายพานที่ราบเรียบและต่อเนื่อง สายพานสำหรับอุตสาหกรรมอาหารต้องมีความแข็งแรง คงทน และผลิตจากวัตถุดิบที่ได้รับการยอมรับให้ใช้กับสินค้าอาหารและสามารถเช็ดล้างทำความสะอาดได้ เช่น ไนลอน ยาง โพลิเอสเตอร์และอื่นๆ ระบบสายพานประกอบไปด้วยรอกอย่างน้อย 2 ตัว ที่ทำให้เกิดลูปต่อเนื่องในการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ สายพานสามารถปรับให้เอนขึ้น ลาดลง หรือปรับเป็นแนวราบเพื่อรองรับกระบวนการตรวจสอบ แช่เย็น และเคลื่อนย้ายสินค้า
ระบบลำเลียงแบบสั่น ระบบสกรูลำเลียง ระบบสกรูลำเลียงแบบยืดหยุ่น ระบบลำเลียงแบบแอโรเมคานิค (Aero-Mechanical Conveyors; AMC) – หรือในบางครั้งเรียกกันว่าระบบการลำเลียงแบบ “เชือกและถาด” เป็นต้น
10 ข้อต้องพิจารณาที่เมื่อเลือกระบบลำเลียงสินค้า
เพื่อให้การพูดคุยกับซัพพลายเออร์และเลือกระบบลำเลียงสินค้าที่ถูกต้องกับการใช้งาน ผู้ซื้อควรพิจารณาประเด็นเหล่านี้ก่อนการตัดสินใจ เช่น ระบบลำเลียงจะใช้กับสินค้าอะไร? สิ่งที่ต้องพิจารณา: ความหนาแน่นและขนาดของผลิตภัณฑ์ คุณสมบัติต่างๆ เช่น การกัดกร่อน ปริมาณความชื้น ความคล่องตัวในการเคลื่อนที่หรือไหลของสินค้า ความละเอียด (ฝุ่น) ติดไฟ หรือระเบิดได้หรือไม่ สินค้าจะเคลื่อนที่มาจากไหน? (เช่น ไซโล กระสอบ ฯลฯ) สินค้าจะเคลื่อนที่ไปไหน? (เช่น เครื่องผสม ตัวป้อน เครื่องบด ฯลฯ) เป็นต้น
ด้วยเทคโนโลยีที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ระบบลำเลียงในปัจจุบันจึงมีการติดตั้งเครื่องมือการทำงานต่างๆ ให้ดีขึ้น กระบวนการควบคุมคุณภาพที่จากเดิมเคยเป็นคอขวดที่ชะลอกระบวนการผลิต กลับได้รับการพัฒนา หลังมีการติดตั้งเครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องตรวจจับโลหะ และเครื่องชั่งน้ำหนัก เข้ากับระบบการเคลื่อนย้ายสินค้า เครื่องมือเหล่านี้ทำให้การจัดการสินค้าในปริมาณมากเป็นเรื่องง่าย และยังทำให้ระบบดังกล่าวถือเป็นระบบควบคุมคุณภาพที่มีศักยภาพมากที่สุดในตลาด ณ ขณะนี้
Put Ourselves in our Customers’ Shoes
ขอให้คำนึงถึงผู้บริโภคเทียบเท่าตัวเรา
โดย:
สหัส รัตนะโสภณชัย
Sahas Ratanasoponchai
Assistant Vice President: Hygiene Business
Betagro Group
หากมีกรณีการจับกุมผู้ผลิตเนื้อสัตว์ที่ปลอมแปลงเอกสาร และนำเนื้อสัตว์ด้อยคุณภาพที่มีประเด็นทั้งทางด้านปนเปื้อนเชื้อ ปลอมปนเนื้อ และตกสเป็ค (Specification) ซึ่งมีผลต่อผู้บริโภคโดยตรงเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อผู้ผลิต รวมทั้งต่อประเทศผู้ผลิต โดยมีการสั่งห้ามเนื้อสัตว์จากผู้ผลิตรายดังกล่าวเข้าประเทศผู้นำเข้า ในกรณีเช่นนี้ควรทำอย่างไรและรับผิดชอบเพียงใด
แม้จะมีบทลงโทษในกรณีดังกล่าวก็ตามในทางกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ จริยธรรม ใครในหน่วยงานของบริษัทต้องรับผิดชอบ และใส่ใจเพียงใดที่จะไม่ทำอะไรที่ผิดจรรยาบรรณและจริยธรรม หากเรามองปัญหานั้นว่าสุดท้ายเราเองที่เป็นผู้บริโภค…“ขอให้คำนึงถึงผู้บริโภคเทียบเท่าตัวเรา”…เราเองจะซื้อสินค้าด้อยคุณภาพนั้นหรือ คำตอบคือไม่ซื้อแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้การสร้างคุณค่าของสินค้าคงไม่ใช่การผลิตอย่างเดียวแล้วตรงตามสเป็ค แต่รวมถึงการสร้างจิตสำนึกให้พนักงานทุกคนที่ต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า หากบริโภคสินค้านั้นแล้วมีอันตรายต่อผู้บริโภค
เราควรจะเริ่มกันอย่างไร?
- 1.ปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด หากพบประเด็นที่ดูแล้วมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพ ต้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบทันที และกักสินค้า (Quarantine) ช่วงดังกล่าวไว้ก่อน
- 2.สร้างจิตสำนึกร่วมทั้งองค์กรโดยปฏิบัติให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บังคับบัญชาหรือตัวบริษัทเอง การสร้าง “Quality Mind” ให้เกิดขึ้นทั่วองค์กรจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะตอกย้ำว่าเราใส่ใจจริง ไม่ใช่เพียงคำโฆษณาเท่านั้น การอบรมเป็นหนึ่งในมาตรการในการสร้าง แต่การสร้างให้เป็นวัฒนธรรมขององค์กรต้องใส่ความตั้งใจจริงลงไปให้เห็น ซึ่งผู้ที่จะรับรู้ได้คือตัวพนักงานและผู้บริโภค ซึ่งนั่นก็คือตัวเราเอง
- 3.สร้าง KPI (Key Performance Index) ร่วมกันในเรื่องดังกล่าว โดยที่ไม่นำประเด็น KPI ของแต่ละคนมาทำให้ภาพรวมเสียไป ซึ่งมักพบเห็นในองค์กรไทยที่ต่างคนต่างสนใจในตัวเอง ขอให้ตัวเองได้ KPI แต่ภาพรวมเป็นเช่นไรไม่ใส่ใจ
- 4.ให้คำนึงถึง “Quality” ก่อนทำ “Productivity” หลายครั้งที่เราพบเห็นว่าการสร้าง “Productivity” ทำให้องค์กรมีกำไรทันที แต่หลายครั้งเช่นกันที่ถูกมองข้ามเรื่อง “Quality” ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจยังมองไม่เห็นในวันนี้ ดังนั้น “Quality Mind” จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ลดปัญหาในการผลิตได้
เราคงไม่อยากได้ยินข่าวสินค้าของเราที่ด้อยคุณภาพออกไปสู่ท้องตลาด ไม่อยากได้ยินว่าสินค้าของเราไม่ใส่ใจผู้บริโภค และยิ่งในปัจจุบันโซเชียลมีเดียมาเร็วและแรงมากกว่าที่คิด เพียงครู่เดียวข่าวคราวในด้านลบมักไปเร็วและกระทบอย่างรุนแรงเสมอ หากในวงการทั้งผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ประกอบวิชาชีพ ได้ตระหนักถึงผู้บริโภคก่อนมากกว่าผลประกอบการจะเป็นการสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง
เรามาเปลี่ยนแปลงแนวคิดกันใหม่ให้สมกับที่เราจะเป็นครัวของโลกที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง และจะเป็นการตอกย้ำว่าเราจะนึกถึงประโยคนี้ตลอดไป… “ขอให้คำนึงถึงผู้บริโภคเทียบเท่าตัวเรา”…
The Technology of Thermal Processed, Shelf Stable Foods
กระบวนการแปรรูปทางความร้อนเพื่อเก็บรักษาอาหารไว้ได้นาน
โดย: Ellab A/S
แปลโดย: บริษัท พามาลิน มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
Pamalyne Marketing Co., Ltd.
อาหารถือเป็นหัวข้อหลักในบทสนทนาของคนไทย ซึ่งถือว่าประเทศไทยในขณะนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารแปรรูปมากมาย เนื่องด้วยความอุดมสมบูรณ์ทางด้านเกษตรกรรมและทรัพยากร ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ในเอเชียและติดหนึ่งในกลุ่มผู้ส่งออกระดับโลก
การคิดค้นและพัฒนากระบวนการแปรรูปทางความร้อนเพื่อเก็บรักษาอาหารไว้ได้นานสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้การฆ่าเชื้อทางความร้อนจึงเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกมาอย่างยาวนานกว่า 300 ปี อาหารที่ใช้การแปรรูปด้วยความร้อนจะเป็นกลุ่ม ผัก เนื้อ หรือ ปลา โดยอาศัยเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์แบบไม่ให้อากาศเข้า และใช้กรรมวิธีทางความร้อนเพื่อทำลายและยับยั้งเอนไซม์ เชื้อจุลินทรีย์ สารพิษต่างๆ เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการและลักษณะด้านประสาทสัมผัสเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
การควบคุมกระบวนการผลิตทั้ง Process Control Procedure (PCP) และ Process Control Equipment (PCE) ถือเป็นข้อกำหนดที่สำคัญสำหรับโรงงานแปรรูปทางความร้อนที่ได้มาตรฐาน ดังนั้นผู้ผลิตจึงต้องศึกษาการแทรกผ่านความร้อน (Heat Penetration) เพื่อให้ได้รูปแบบที่ถูกต้อง รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และกระบวนการที่ส่งผลกระทบต่ออัตราความร้อน ก่อนการศึกษาและทดสอบการแทรกผ่านความร้อนนั้น ผู้ผลิตจำเป็นต้องวัดอุณหภูมิของหม้อนึ่งฆ่าเชื้อ (Retort) และทราบรูปแบบการถ่ายเทความร้อน (Heat Transfer Uniformity) ของอาหาร เพื่อระบุถึงจุดตำแหน่งอุณหภูมิที่ร้อนช้าที่สุดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเชิงอุตสาหกรรม
การวัดค่าอุณหภูมิ การเก็บรวบรวมข้อมูล และการคำนวณค่า F0
ความแม่นยำและความถูกต้องของระบบการรวบรวมข้อมูลในการศึกษาการแทรกผ่านความร้อนเกี่ยวข้องกับการอ่านค่าของอุณหภูมิ สิ่งสำคัญที่ควรจะตระหนักไว้ก็คือ ค่าความคลาดเคลื่อนทั้งระบบ (Systematic Error) ของอุณหภูมิการวัดเพียง 1 องศาเซลเซียส จะมีผลทำให้ความแม่นยำของค่าการคำนวณ F0 ที่ 120 องศาเซลเซียส ผิดเพี้ยนไป (Inaccuracy) ถึงร้อยละ 26 โดยวิธีการวัดค่าอุณหภูมินั้นควรทำในหลายบรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างกัน และสามารถคำนวณค่า F0 ในบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการได้อย่างอัตโนมัติ สามารถให้เอกสารประกอบที่เหมาะสม (ผ่านเครื่องพิมพ์หรือคอมพิวเตอร์) และระบบสามารถยอมรับค่า F0 ที่กำหนดไว้โดยจะมีการส่งสัญญาณจากระบบเพื่อสามารถทำงานไปได้อย่างสอดคล้องกัน
Fruit and Vegetable Ingredients Market: Global Industry Analysis and Opportunity Assessment 2015-2025
ตลาดส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้:
วิเคราะห์อุตสาหกรรมทั่วโลก และประเมินโอกาสในช่วงปี 2558–2568
Translated By: Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
ผักและผลไม้ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็งบางชนิด ผักและผลไม้มีองค์ประกอบของวิตามินและเกลือแร่หลายชนิดซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น วิตามินเอ ซี และอี สังกะสี ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และกรดโฟลิก
สาเหตุการเสียชีวิตของคนทั่วโลกกว่า 1.7 ล้านราย พบว่าเกิดจากการบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณที่น้อยเกินไป การบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณมากสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าส่วนผสมอาหารหลายชนิดที่ได้มาจากผักและผลไม้มีผลต่อการป้องกันโรคที่หลากหลาย รวมทั้งโรคมะเร็ง ส่วนผสมอาหารที่ได้จากผักและผลไม้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อร่างกายมนุษย์ เนื่องจากไม่เพียงแต่มีความบริสุทธิ์สูง แต่ยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ทั่วโลกจึงมีความต้องการผักและผลไม้เพิ่มขึ้น อีกทั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดของส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ก็เติบโตสูงขึ้นทั่วโลกอีกด้วย และยังมีการคาดการณ์ว่าส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้สามารถนำมาทดแทนผักและผลไม้สดในการป้องกันมะเร็งในอนาคต
ตลาดส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้: แนวโน้มของภูมิภาค
จากการศึกษาในตลาดใหญ่ๆ อย่างอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา ยุโรปตะวันตก ยุโรปตะวันออก เอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และแอฟริกา พบว่าตลาดยุโรปครองส่วนแบ่งตลาดหลักในปี 2557 เนื่องจากมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมซึ่งได้จากผักและผลไม้สูงขึ้นนั่นเอง สำหรับในตลาดเอเชียแปซิฟิกก็เติบโตสูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมลูกอม ขนมหวาน และผลิตภัณฑ์จากนมเติบโตมากขึ้น มีการคาดการณ์ว่าส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ในเอเชียแปซิฟิกและตลาดเกิดใหม่อื่นๆ จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดของประเทศที่พัฒนาแล้ว
ตลาดส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้: แรงขับเคลื่อนการเติบโต
การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ตลอดจนปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์ลูกอม ขนมหวาน เบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์จากนมที่เพิ่มขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ล้วนมีส่วนผลักดันให้ตลาดของส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้เติบโตเพิ่มขึ้นทั่วโลก ความตระหนักในเรื่องสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภค ตลอดจนรายได้ที่เพิ่มขึ้น ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างยอดขายส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ โดยนำมาใช้เป็นสารเพิ่มกลิ่นรสและตกแต่งให้อาหารมีสีสัน นอกจากนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มประชากรที่มีรายได้ปานกลางในประเทศกำลังพัฒนาก็มีส่วนช่วยขับเคลื่อนความต้องการส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ให้เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากปัจจัยดังกล่าวนี้ ทั้งประโยชน์ของส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ และความต้องการผลิตภัณฑ์จากผักและผลไม้ธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลในแต่ละประเทศให้การส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมส่วนผสมอาหารจากผักและผลไม้ ซึ่งแน่นอนว่าจะผลักดันให้ตลาดในภาพรวม เติบโตขึ้นอย่างแน่นอนใน 2-3 ปีข้างหน้านี้
Chia Protein…The New Multifunctional Plant-based Protein
โปรตีนจากเมล็ดเชีย ทางเลือกใหม่ของแหล่งโปรตีนคุณภาพจากพืช
โดย: ศศิกานต์ สุทธมนัสวงษ์
Sasikarn Suthamanusvong
Senior Product Executive
june.s@dpointernational.com
ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาสนใจและใส่ใจที่จะดูแลและรักษาสุขภาพมากขึ้น สังเกตได้จากการเติบโตของสินค้าเพื่อสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นและเพิ่มตัวเลือกให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ ประกอบกับสังคมในปัจจุบันมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ผู้บริโภคจึงต้องการสินค้าที่ตอบสนองวิถีชีวิตที่เร่งรีบและมีคุณประโยชน์มาเป็นอาหาร
โปรตีนเป็นสารอาหารหลักและเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย มีหน้าที่เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ โปรตีนที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่เป็นชนิดที่มีแหล่งที่มาจากสัตว์ แต่ในปัจจุบันความนิยมในการบริโภคโปรตีนจากแหล่งอื่นๆ ทดแทนโปรตีนจากสัตว์ เช่น ถั่ว หรือจากพืชเพิ่มสูงขึ้น โดยเป็นตัวเลือกหนึ่งที่สำคัญของแหล่งโปรตีนและยังเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพที่ให้คุณค่าทางโภชนาการได้ใกล้เคียงจากโปรตีนสัตว์
เมล็ดเชียเป็นเมล็ดเล็กๆ จากพืชท้องถิ่นแถบเม็กซิโกใต้และอเมริกากลาง ซึ่งคนท้องถิ่นบริโภคเมล็ดเชียมาหลายศตวรรษในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจะได้ยินถึงกระแสความนิยมของเมล็ดเชียในฐานะซูเปอร์ฟู้ด (Superfoods) จากกลุ่มผู้รักสุขภาพ จากงานวิจัยของ Mintel ในปี ค.ศ. 2013 พบว่าสินค้าใหม่ในตลาดเครื่องดื่มทั่วโลก จะประกอบด้วยสินค้าที่มีส่วนผสมของเมล็ดเชียเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับในปี ค.ศ. 2009 ที่ยังไม่มีสินค้าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากเมล็ดเชีย
สารสกัดจากเมล็ดเชียประกอบด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะโปรตีน ใยอาหาร สารป้องกันอนุมูลอิสระ กรดไขมันโอเมก้า-3 และแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ ช่วยในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ควบคุมน้ำหนัก ป้องกันความเสี่ยงโรคหัวใจ รวมถึงใช้เพื่อให้พลังงานสำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย ปัจจุบันสามารถสกัดโปรตีนจากเมล็ดเชียได้สูงถึงร้อยละ 40 ทั้งนี้ คุณภาพของโปรตีนที่ได้ยังมีคุณภาพใกล้เคียงกับโปรตีนที่สกัดมาจากสัตว์ เช่น นม เป็นต้น
คุณค่าทางโภชนาการของโปรตีนจากเมล็ดเชีย พบว่าเป็นแหล่งของกรดอะมิโนจำเป็นและประกอบด้วยโปรตีนที่สามารถย่อยได้ดีสูง หากเปรียบเทียบ ค่า PDCAAS (Protein Digestibility-Corrected Amino Acid Score) และค่า AA score (Amino Acid score) กับโปรตีนประเภทต่างๆ พบว่าโปรตีนจากเมล็ดเชียมีค่าใกล้เคียงกับโปรตีนที่ได้จากสัตว์ และสูงกว่าโปรตีนจากพืชชนิดอื่นที่ให้ปริมาณโปรตีนมากกว่า เช่น โปรตีนถั่ว และโปรตีนจากถั่วเหลืองเข้มข้น
โปรตีนจากเมล็ดเชียมีคุณสมบัติกระจายตัวได้ดีในน้ำและน้ำมัน ช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัส แทบไม่มีกลิ่นรส ทนความร้อนและกรดด่าง มีปริมาณไขมันอิ่มตัวต่ำ เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้แพ้อาหาร อีกทั้งไม่มีส่วนผสมของพืชดัดแปรพันธุกรรม โดยโปรตีนจากเมล็ดเชียนำมาประยุกต์ใช้ในอาหารได้หลายหลายชนิด เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารเช้า สินค้าเพื่อนักกีฬาและผู้ออกกำลังกาย กลุ่มสินค้าเบเกอรี อาหารเฉพาะสำหรับผู้แพ้อาหาร อาหารเจ ขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น
China: What consumers really want
รู้ใจ รู้วัย ผู้บริโภค…แดนมังกร
โดย: Liat Simha
Marketing Communications Professional
NutriPR
ในช่วงเวลาเพียง 2 ทศวรรษ ผู้บริโภคชาวจีนได้แสดงแสนยานุภาพให้ทั้งโลกได้เห็นว่าจีนมีพลังมากขนาดไหน ตลาดจีนถือเป็นตลาดที่สำคัญของสินค้าเพื่อสุขภาพไม่ต่างจากตลาดอื่น และการบริโภคสินค้าในประเภทดังกล่าวขยายตัวขึ้นถึง 2 เท่า จากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 30 ในช่วงประมาณ 20 ปีมานี้นี่เอง
แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นย่อมไม่หลุดรอดจากสายตาของบริษัทผู้ผลิตที่เน้นด้านสุขภาพและความสุขยักษ์ใหญ่ทั่วโลก Innova Market Insights มองว่าในขณะที่ภาคธุรกิจด้านสุขภาพกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เทรนด์ที่จะเข้ามามีความสำคัญในตลาดจีนในอนาคต ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับทารก ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ และความผาสุกในภาพรวม
ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับทารก: ยุค “เบบี้บูม” ของอาหารเด็ก
ในปี 2558 จีนยกเลิกนโยบายลูกคนเดียว ทำให้ในช่วงปีต่อมามีจำนวนประชากรเกิดใหม่มากกว่าปีก่อนหน้าสูงถึง 1.31 ล้านคน ด้วยจำนวนเด็กแรกคลอดที่สูงขนาดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอาหารเด็กถึงได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน
ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ: ยาอายุวัฒนะของชาวจีนผู้สูงวัย
แม้ว่าสภาวะเบบี้บูมในประเทศจีนจะยังเดินหน้าต่อไป แต่จีนก็ยังเป็นประเทศหนึ่งที่กำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2593 ประชากรจีนราว 1 ใน 4 จะมีอายุ 65 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุชาวจีนส่วนใหญ่จะไม่ยอมเกษียณอายุง่ายๆ เช่นเดียวกับผู้สูงอายุทั่วโลก ซึ่งการมีชีวิตที่มีคุณภาพถือเป็นเรื่องสำคัญกับพวกเขา เช่นเดียวกับการมีอายุยืนยาว
ความสุขในภาพรวม: ดื่มนมเพื่อประโยชน์ที่มากกว่า
ในวัฒนธรรมจีนการดื่มนมไม่ใช่สิ่งที่ได้รับความนิยมมากนัก ที่จริงแล้วยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่าผู้ใหญ่ชาวจีนจำนวนมากมีปัญหาแพ้แลคโตสในนม แต่ด้วยการเติบโตขึ้นของจำนวนชนชั้นกลาง การเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก และความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของนมที่แพร่หลายมากขึ้นในจีน ทำให้นมถูกมองว่าเป็นสินค้าที่ “ดีสำหรับคุณ” ในปัจจุบัน
Consuming At Least 400 Grams of Fruits and Vegetables for Your Health
บริโภคผักผลไม้ อย่างน้อย 400 กรัมต่อวันเพื่อสุขภาพ
โดย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่
Asst. Prof.Chaniphun Butryee, Ph.D.
Institute of Nutrition, Mahidol University
การบริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน เป็นคำแนะนำขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติร่วมกับองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ที่มีรายงานการวิจัยโดยทำการวิเคราะห์แบบ Meta-analysis และกำหนดเกณฑ์การบริโภคผัก ผลไม้ วันละ 400-600 กรัมเป็นปริมาณการบริโภคที่สามารถลดภาระโรคต่างๆ ได้แก่ หัวใจขาดเลือด (ร้อยละ 31) เส้นเลือดในสมองตีบ (ร้อยละ 19) ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร (ร้อยละ 19) มะเร็งปอด (ร้อยละ 12) มะเร็งลำไส้ใหญ่ (ร้อยละ 2) FAO/WHO จึงกำหนดการบริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อคนต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ (WHO, 2003) ทั้งนี้ ปริมาณ 400 กรัม ไม่นับรวมผักกลุ่มที่ให้แป้ง (Starchy vegetables) ควรมีธัญพืชทั้งเมล็ด (Whole grain) และถั่วชนิดต่างๆ (Legumes) ไม่น้อยกว่า 20 กรัม จะทำให้ได้รับใยอาหารมากกว่า 25 กรัม ในขณะที่ควบคุมสารอาหารประเภทอื่นร่วมด้วย ได้แก่ ไขมัน เกลือ/โซเดียม และน้ำตาล มีรายงานว่าการบริโภคผักและผลไม้เพิ่มขึ้น 1 หน่วยบริโภค (80 กรัม หรือ 0.8 ขีด) ต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมองได้ร้อยละ 10 และ ร้อยละ 6 ตามลำดับ และลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งบางชนิด (กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ปอด และลำไส้ใหญ่และทวารหนัก) ร้อยละ 1-6 (Lock et.al, 2005)
Thermal Processing of Foods
การแปรรูปอาหารโดยการใช้ความร้อน
โดย: นัทธมน ไชยธงรัตน์
Natthamon Chaithongrat
Client Manager/Food Division
British Standards Institution (BSI)
การแปรรูปอาหารโดยการใช้ความร้อนมีหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีจุดมุ่งหมายจำเพาะเจาะจง ดังนั้น ระดับความมากน้อยของความร้อนจึงขึ้นกับวัตถุประสงค์ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของอาหาร และระยะเวลาการถนอมรักษาอาหาร เช่น การลวก การพาสเจอไรซ์ การแช่แข็ง การอบ การย่าง การทอด การต้ม การสเตอริไลซ์ ฯลฯ
ประเภทของการแปรรูปด้วยความร้อน
- 1. การลวก
คือการให้ความร้อนวัตถุดิบก่อนการแปรรูป โดยให้อาหารสัมผัสกับน้ำร้อน ไอน้ำร้อน ไมโครเวฟ หรือแหล่งความร้อนใดๆ โดยอุณหภูมิที่ใช้ลวกอยู่ระหว่าง 70-105 องศาเซลเซียส ใช้ระยะเวลาสั้นๆ ที่เหมาะสมกับอาหารแต่ละชนิด การลวกมักใช้เพื่อเตรียมวัตถุดิบจากพืช เช่น ผัก ผลไม้ ก่อนจะนำไปแปรรูปด้วยวิธีต่างๆ เช่น การแช่เยือกแข็ง การทำแห้ง การผลิตอาหารกระป๋อง เพื่อทำลายเอนไซม์ โดยความร้อนจากการลวกจะทำลายเอนไซม์ที่เป็นสาเหตุของการเสื่อมเสีย เช่น เกิดปฏิกิริยาสีน้ำตาลที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ การหืนจากปฏิกิริยา Hydrolytic rancidity การลวกผักผลไม้ด้วยน้ำอาจเติมเกลือแคลเซียม ซึ่งไปรวมตัวกับเพกทินในเซลล์พืช เพื่อช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัสทำให้ผักผลไม้มีเนื้อสัมผัส แน่น แข็ง กรอบ
- 2. การพาสเจอไรซ์
มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำลายจุลินทรีย์ก่อโรค รวมทั้งจุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสีย เป็นวิธีการฆ่าเชื้อโรคซึ่งใช้ความร้อนไม่สูงมาก (ไม่ถึง 100 องศาเซลเซียส) ในระยะเวลาเหมาะสมขึ้นกับประเภทของอาหาร โดยใช้เวลาและอุณหภูมิที่แตกต่างกัน เช่น อุณหภูมิ 62.8 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 นาที หรือ 77 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 นาที การใช้อุณหภูมิและเวลานี้ยังไม่สามารถทำลายแบคทีเรียที่ทนร้อนอีกหลายชนิด จึงต้องเก็บผลิตภัณฑ์พาสเจอไรซ์ไว้ที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อป้องกันการเจริญของเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น และต้องบริโภคให้หมดภายใน 3 วัน – 1 สัปดาห์หลังเปิดใช้ วิธีนี้ใช้ได้กับอาหารหลายชนิดทั้งของแข็ง ของเหลว ของข้น หรือมีชิ้นเนื้อผสม ใช้ได้กับอาหารก่อนบรรจุและอาหารในภาชนะบรรจุปิดสนิท
- 3. การทำให้ปลอดเชื้อเพื่อการค้า
มีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสียและจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค การทำให้ปลอดเชื้อเพื่อการค้าไม่ได้เป็นการทำให้ปลอดเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมด เพื่อคงรักษาคุณภาพของอาหารไว้ แต่ยังคงเหลือจุลินทรีย์บางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทนความร้อนสูง รวมทั้งสปอร์ของแบคทีเรียที่ทนร้อน ซึ่งจุลินทรีย์ที่เหลือรอดนี้จะไม่สามารถเจริญได้ภายใต้สภาวะการเก็บรักษาและขนส่งปกติ ทำให้อาหารเก็บรักษาได้นานที่อุณหภูมิห้อง และปลอดภัยต่อการบริโภค มีอายุการเก็บไม่ต่ำกว่า 6 เดือนที่อุณหภูมิห้อง และสะดวกในการขนส่งและเก็บรักษา
ทั้งนี้ ผู้ผลิตอาหารที่ใช้กระบวนการให้ความร้อนจะต้องศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเรื่องการแปรรูปอาหารโดยการใช้ความร้อน อาทิเช่น พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 พร้อมกฎกระทรวง และประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องที่เกี่ยวข้อง