พาณิชย์ เล็งอินเดียแหล่งลงทุนและฐานการส่งออกของไทย

กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธ์ 2561-

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแนะนักลงทุนไทยศึกษาลู่ทางในการเข้าไปลงทุนในอินเดีย และใช้อินเดียเป็นฐานการส่งออก หลังอินเดียมีแผนขยายตลาดการค้าไปยังกลุ่มประเทศแอฟริกาและลาตินอเมริกา โดยเตรียมนัดรัฐมนตรีพาณิชย์สมาชิก WTO ราว 40 ประเทศหารือเพื่อสร้างพันธมิตรทางการค้า คาดเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมนี้

นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายในการขยายการค้ากับหุ้นส่วนทางการค้าและพันธมิตรทางการค้า โดยอินเดียกำลังอยู่ระหว่างการจัดประชุมรัฐมนตรีพาณิชย์ของประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 40 ประเทศ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางในการขยายการค้าระหว่างกัน โดยคาดว่าจะมีการจัดประชุมขึ้นในราวเดือนมีนาคม 2561 ที่จะถึงนี้

“อินเดียตั้งเป้าหมายที่จะเชิญคู่ค้าที่เป็นพันธมิตร ทั้งสหรัฐฯ ประเทศในกลุ่มแอฟริกาและลาตินอเมริกา ซึ่งมีมากถึง 30-40 ประเทศ มาหารือถึงแนวทางในการขยายการค้าระหว่างกัน เพื่อสร้างตลาดให้ ใหญ่ขึ้น แทนที่จะมาค้นหาประเด็นปัญหาทางการค้าระหว่างประเทศที่มีต่อกันและกัน และจะร่วมมือกัน
ในการขยายการค้า”

ทั้งนี้ ผลจากการที่รัฐบาลอินเดียมีแผนและความพยายามในการส่งเสริมและขยายตลาดการค้าระหว่างประเทศไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มแอฟริกาและลาตินอเมริกานั้น ถือเป็นโอกาสดีต่อนักลงทุนไทยที่กำลังสนใจจะเข้าไปลงทุนในอินเดีย โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นแบรนด์ไทย เพื่อใช้อินเดียเป็นฐาน ในการส่งออกไปยังตลาดเป้าหมายที่อินเดียต้องการขยายการค้า ซึ่งกรมฯ พร้อมที่จะให้คำแนะนำและให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างเต็มที่

สำหรับสถิติการส่งออกปี 2560 ไปยังตลาดอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดหลักอันดับที่ 11 ของไทย มีมูลค่า 2.2 แสนล้านบาท (โดยตลาดส่งออกหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เวียดนาม และมาเลเซีย) สูงขึ้น 21% จากปี 2559 มีสินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก น้ำมันพืช รถยนต์และอุปกรณ์ เครื่องจักรกล เหล็กและผลิตภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ ยางพารา เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2561 กรมฯจะได้จัดงานแสดงสินค้า Thailand Week 2018 ที่เมือง
มุมไบ ระหว่างวันที่ 7-9 มิถุนายน 2561 จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการ ผู้ผลิต เข้าร่วมงานในครั้งนี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 โทรศัพท์ 0 2507 8225 หรือสายด่วน 1169

กรรมการผู้จัดการใหญ่เบทาโกรรับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

เชียงใหม่, 18 กุมภาพันธ์ 2561 –

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในการนี้ นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร เข้ารับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ (การจัดการ) คณะบริหารธุรกิจ ณ อาคารศูนย์กีฬากาญจนาภิเษก รัชกาลที่ ๙ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้

ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care เดือนมีนาคม 2561

ร่วมแสดงความคิดเห็น U share V care ลุ้นรับของกำนัล Rocky Tumbler by Food Focus Thailand จำนวน 2 รางวัล

ลุ้นรางวัลกับเราได้ตามลิงก์ด้านล่างเลย อย่าลืมกรอกให้ครบ..นะคะ

https://goo.gl/forms/R6cE8aPNlDfamCo73

Winner of U Share V Care January 2018

 

The Winner of U Share V Care January 2018
Flashlight – Make Your Life Shine! (only 3 Lucky Winners)
1.Duangmanee Wijitsak
R&D
Chaiyaphum Plant Products Co., Ltd.

2. Prueksa Angsrisuraporn
QA Department Manager
Sunfood International Co., Ltd.

3. Suradate Yenteerajit
Asst. Production Manager
Berli Jucker Foods Ltd.

Bluetooth Speakers – Happy Sound in a Box (only 2 Lucky Winners)
1.Thanate Yaowapongaree
Quality Assurance Manager
Tropical Canning(Thailand) PCL.

2.Usa Wuttisilp
Business Owner/Marketer
The Health Food Products (Organic Food and Beverage Industry)

Food&HotelAsia 2018 Returns even Bigger and Better in its 40th Year

Food&HotelAsia 2018
กลับมาอีกครั้ง ยิ่งใหญ่กว่า และก้าวไกลกว่าในปีที่ 40

Translated By:
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine

Full article TH-EN

ฉลองครบรอบ 40 ปี แห่งความเป็นเลิศทางธุรกิจของ Food & HotelAsia (FHA) งานแสดงสินค้าระดับนานาชาติที่ตอบโจทย์นักอุตสาหกรรมในกลุ่มธุรกิจสินค้าอาหารและบริการ ตลอดจนเครื่องมือ อุปกรณ์ และโซลูชันที่เกี่ยวข้อง โดยในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 24-27 เมษายน 2561 ณ Singapore Expo และ Suntec Singapore

งาน FHA ในครั้งนี้จัดเต็มพื้นที่กว่า 119,500 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากเดิม 97,000 ตารางเมตร โดยจะเป็นจุดนัดพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าทุกครั้งของเหล่าผู้ร่วมแสดงสินค้าระดับนานาชาติกว่า 4,000 ราย จากกว่า 70 ประเทศและภูมิภาค ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับงานในครั้งที่ผ่านมา ขณะนี้ผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศถึง 68 กลุ่ม ได้ยืนยันเข้าร่วมจัดแสดงสินค้า ครอบคลุมสถานที่จัดงานทั้ง 2 แห่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับ 2 ประเทศน้องใหม่ คือ อาร์เมเนีย และกาตาร์ ด้านผู้เข้าเยี่ยมชมงานคาดว่าจะแตะยอด 78,000 ราย จากกว่า 100 ประเทศและในภูมิภาค

นอกเหนือจากการเป็นจุดนัดพบเพื่อสรรหาสินค้าและบริการที่น่าสนใจแล้ว FHA ยังมีเครือข่ายต่างๆ มากมาย โดยเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้ทั้งส่วนจัดแสดงสินค้าโซนใหม่ และโซนพิเศษที่ปรับปรุงขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันระดับอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน อาทิ FHA Culinary Challenge (FCC) 2018 และ Asian Pastry Cup 2018 ผู้เข้าร่วมแข่งขันนำโดย Thailand Culinary Academy ซึ่งเข้าร่วมแข่งขันในประเภท Gourmet Team และ National Team Challenges ในรายการ FHA Culinary Challenge อีกด้วย

การประชุมนานาชาติ FHA2018 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 24-26 เมษายน 2561 ในสถานที่จัดงานทั้ง 2 แห่ง โดยมีผู้เชี่ยวชาญในวงการและผู้นำด้านความคิดทางธุรกิจมาแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์ และข้อแนะนำต่างๆ อีกด้วย

Celebrating 40 years of business excellence, Food&HotelAsia (FHA) is the preferred choice for industry professionals to access an international showcase of food and hospitality products, equipment and solutions. The 21st edition of the mega food and hospitality showcase returns from 24 to 27 April 2018 to two venues – Singapore Expo and Suntec Singapore.

It will house its biggest-ever industry congregation with 4,000 international exhibitors from more than 70 countries and regions, an increase of 25% compared to its last edition. The event’s total floor area spans 119,500 sqm, 23% increase from 97,000 sqm. 68 international groups are confirmed and spread across the two venues, with Armenia and Qatar being the newest countries to participate. 78,000 trade attendees from over 100 countries and regions are expected at the 2018 edition.

Beyond the traditional sourcing ground, FHA also offers many experiential networking and learning opportunities through new and improved speciality zones and industry-renowned competitions such as the FHA Culinary Challenge (FCC) 2018 and Asian Pastry Cup 2018. Competitors led by Thailand Culinary Academy will be participating in the Gourmet Team and National Team Challenges in the FCC.

The three-day FHA2018 International Conference, also held in two venues from 24 to 26 April, will feature industry experts and business thought-leaders, sharing perspectives, as well as tips and strategies.

Dietary Supplement in Thailand and the AEC

สถานการณ์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเสริมสุขภาพในประเทศไทยและตลาด AEC

Compiled By:
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine

Full article TH-EN

สถานการณ์ธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย
สถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยในปัจจุบันยังคงเติบโตได้ดี เนื่องจากผู้บริโภคต่างหันมารักษาสุขภาพกันมากขึ้น

แนวโน้มและการเติบโตของธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย
แนวโน้มตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในอนาคต คาดว่าไม่แตกต่างไปจากเมื่อ 10 ปีที่แล้วมากนัก ประเภทของสารสกัดและตัวผลิตภัณฑ์ยังคงไม่มีอะไรใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นไปในทิศทางที่พัฒนาสารให้มีความบริสุทธิ์มากขึ้น โดยในอนาคตการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะเป็นรูปแบบที่ผู้บริโภคสามารถเข้ามามีส่วนร่วม (Create) ด้วยการนำผลิตภัณฑ์มาปรุงรสชาติได้เอง แทนที่จะใช้สูตรสำเร็จรูปจากการพัฒนาของโรงงานผู้ผลิต

เทรนด์ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในอนาคตอาจจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่ผู้บริโภคสามารถซื้อวิตามินบริสุทธิ์ มาผสมเป็นเครื่องดื่มทานเองได้ โดยใช้แอพพลิเคชันเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และแสดงผลว่าร่างกายเราขาดวิตามินชนิดไหน ต้องการเพิ่มปริมาณมากน้อยเท่าไร ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดจะอยู่ในรูปของสารสกัดผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น คอลลาเจนบำรุงผิวพรรณ แคลเซียมบำรุงกระดูก และวิตามินบำรุงสมอง
มุมมองต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยในตลาดอาเซียน
สำหรับในช่วงเวลาที่ผ่านมา ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบริการสุขภาพของโลก ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำแผนโครงการนำร่องเพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งหนึ่งในโครงการนำร่องที่ได้มีการจัดทำ คือ โครงการพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไทย ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ และสร้างมาตรฐานให้แก่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเพิ่มการส่งออกไปยังต่างประเทศ

Dietary Supplement in Thailand
Dietary supplement in Thailand is still growing competently as consumers are shifting towards healthy trend.

Trends and Business Expansion for Thai Dietary Supplement Market
Future food supplement market will not be much different from the past 10 years in terms of varieties of extract substances and products, but the change could take place in the purity of the substances which is continually improving. Also, consumers will have more chance to participate in creating the products that fit their demands instead of relying only on the instant formula from manufacturers.

Dietary supplement trend in the future may allow consumers to purchase purified vitamin to mix in beverages via an application that can analyze the consumer’s vitamin and mineral need, and to what extent they need it. Nonetheless, most products sold in the market will be extracts with specific qualities such as skin care collagen, bone nourishment calcium, and brain booster vitamins.

Prospects of the Development of the Thai Food Supplement in ASEAN Market
So far, the Thai government has highlighted the significance and potential of Thailand’s dietary supplement industry in pushing Thailand towards becoming the “Medical Hub” of the world. The Ministry of Industry (MOI) has conducted a flagship project to prepare enterprises for the AEC. Among many projects, the ministry offered supports for enterprises to develop its dietary supplement products to lift the country’s products standard, promote the use of domestic raw materials, and create new standards to boost exports to foreign market.

Dietary supplement industry also benefits from the Thai government’s aim to become a Medical Hub that provides excellent health services and produces universally accepted health products. According to the 10-year National Strategic Plan to Develop Thailand into a Medical Hub (2016- 2025), dietary supplement is among many products which will be promoted to push Thailand into the hub for medical and wellness products and services. Therefore, enterprises in the industry must get themselves ready in order to be able to respond to the demand for supplements from within and outside Thailand.

 

Factory and Warehouse Management in 4.0 Era

การบริหารจัดการพื้นที่โรงงาน และคลังสินค้า ยุค 4.0

Material World Co., Ltd.

Full article TH-EN

ปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยขณะนี้โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) หรือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตมาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้า และมีจุดเด่นคือสามารถเชื่อมความต้องการของผู้บริโภครายบุคคลเข้ากับกระบวนการผลิตสินค้าได้โดยตรง ผ่านการใช้กระบวนการผลิตที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลครบวงจรแบบ “Smart Factory”
สำหรับประเทศไทย การเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 จำเป็นต้องขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกๆด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับความเป็นดิจิทัล โดยเน้นการบูรณาการเชื่อมต่อเครือข่าย (Internet of Things : IoT) เพื่อรองรับเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่เข้ามา เพิ่มประสิทธิภาพเริ่มแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นการวางฐานสำคัญให้ประเทศไทยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันกับประเทศต่างๆได้
สำหรับการบริหารจัดการพื้นที่และคลังสินค้าในยุค 4.0 นั้น เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีที่มีอยู่นำมาประยุกต์ใช้ตั้งแต่กระบวนการผลิต จัดเก็บสินค้า ไปจนถึงขนส่งสินค้า ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเทคโนโลยี และอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงาน และคลังสินค้า ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งนี้สามารถแยกพื้นที่ภายในคลังสินค้า ออกเป็น 2พื้นที่หลัก ได้แก่พื้นที่รับสินค้าเข้าคลัง (Loading) และ พื้นที่การจัดการภายในอาคาร
1. พื้นที่รับสินค้าเข้าคลัง (Loading Area)
การขนส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค รวมถึงการกระจายสินค้า เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง การมีอุปกรณ์ที่สามารถช่วยให้การขนถ่ายสินค้าอย่างถูกต้องจะเป็นการช่วยการถนอมสินค้า และประหยัดค่าใช้จ่าย ตัวอย่างอุปกรณ์ เช่น สะพานปรับระดับแบบฝังพื้น (Dock leveler) และ อุโมงค์ป้องกันฝุ่นและแมลง (Dock shelter) ใช้ในการโหลดสินค้า เข้า-ออก จากรถขนส่งสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโหลด โดยเชื่อมต่อระหว่างรถที่ใช้กับแพลตฟอร์มหรือท่าโหลด ประตูคลังสินค้า (Sectional door) เหมาะสำหรับโรงงานที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิ ป้องกันฝุ่นและแมลงเช่นโรงงานอาหาร นอกจากนี้ในกรณีที่คลังสินค้าที่ไม่มีท่าโหลด และมีพื้นที่มาก สะพานโหลดสินค้าแบบเคลื่อนที่ได้ (Mobile ramp) สามารถโหลดขึ้นตู้คอนเทนเนอร์ ช่วยในการขนย้ายสินค้าได้ง่ายด้วยรถฟอล์คลิฟท์
Nowadays, technology plays greater role in many industries. And as the world is approaching Industry 4.0 era, digital technology and internet are being applied to goods manufacturing. The key ability to connect the demand of individual consumers directly to the production chain can be utilised through economical and efficient production process of the complete digital technology, “Smart Factory”.
For Thailand, approaching Industry 4.0 requires development in every aspect, especially digitisation and Internet of Things (IoT), to support technology and machineries to optimise the supply chain in response to the variety demands of customers. These things will lay a crucial groundwork to enhance Thailand’s competitiveness with other countries.
Factory and warehouse management in 4.0 era is to apply existing technology into production process to storage and shipping to be more effective. Technology and tools used in factory and inventory in Industry 4.0 era can be divided into 2 scopes; loading area and indoor management.
1. Loading Area
Transporting goods from manufacturers to consumers, including distribution, is a very crucial step. Having the appropriate tools for this process will help preserve the goods and even save cost. Some equipments such as dock leveller and dock shelter, which are used in products loading from and to vehicles, can increase loading efficiency by connecting the vehicle to a platform or a dock. Sectional door is also suitable for a factory that needs to control temperature and detect dust and insects like food factory. Moreover, in a case where the inventory does not have a dock but wide area, mobile ramp that can load goods into container can also help making things easier with forklift.

 

Which trends offer opportunities on the European market for natural ingredients for health products?

เจาะตลาดยุโรป: ส่องเทรนด์ที่เปิดโอกาสให้กับสารผสมอาหารจากธรรมชาติสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

By: CBI*
Centre for the Promotion of Imports from Developing Countries

Translated By:
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine

Full article TH-EN

การรับรู้และความเข้าใจในเรื่องสุขภาพของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และภัยคุกคามของการดื้อยาต้านจุลชีพ ล้วนผลักดันให้เกิดความต้องการสารผสมอาหารจากธรรมชาติสำหรับการผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพขึ้นในตลาดในยุโรป

1. มุมมองเรื่องสุขภาพที่เปลี่ยนไป
ทางยูโรมอนิเตอร์ได้คาดการณ์ว่าในปี 2556-2561 ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในยุโรปจะเติบโตถึงร้อยละ 28 โดยเฉพาะในยุโรปตะวันตก ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในยุโรปจะแตะยอด 3.2 พันล้านยูโรในปี 2561 โดยรัสเซียประเทศเดียวก็มีสัดส่วนเกือบร้อยละ 67

2. ตลาดกีฬาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ในช่วงปี 2557-2563 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วโลกที่เจาะกลุ่มกีฬาจะเติบโตถึงร้อยละ 9.1 ต่อปี ตัวเลขนี้เป็นผลมาจากมุมมองเรื่องสุขภาพของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้บริโภคต่างมีความตระหนักในเรื่องสุขภาพทางกายและการออกกำลังกาย ซึ่งนำไปสู่การมีสุขภาพดี

3. ออร์แกนิคก็มาแรง
ผู้ซื้อสารผสมอาหารในยุโรปเริ่มคาดหวังกับสารผสมอาหารที่ได้มาตรฐานออร์แกนิค เช่น ปราศจากสารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง ตัวอย่างเช่น ฝรั่งเศสได้พัฒนาแผน Ecophyto Plan ขึ้นในปี 2561 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้สารกำจัดศัตรูพืชลงร้อยละ 50 จากปี 2551-2561

4. ละเอียดอ่อนกับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
สินค้าที่ทำการค้าอย่างเป็นธรรม หรือ Fair Trade ได้รับความสนใจมากขึ้น รวมทั้งสินค้าในกลุ่มสารผสมอาหารด้วย กระแสนี้เป็นที่โด่งดังในสหราชอาณาจักร ซึ่งผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พวกเขาอยากรู้ลึกไปถึงว่าคนที่เก็บเกี่ยววัตถุดิบคือใคร นี่เป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ผลิตจะเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์โดยเลือกใช้สารผสมอาหารที่ผ่านการรับรอง

5. ต้อนรับเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย
ภายในปี 2593 ประชากรชาวยุโรปประมาณร้อยละ 30 จะเป็นกลุ่มผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไป นับว่าก้าวกระโดดจากปี 2556 ซึ่งมีอยู่เพียงร้อยละ 17 กลุ่มผู้สูงอายุจึงเป็นเป้าหมายที่น่าจับตามองของผู้ผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ

นอกจากนี้ยังมีเทรนด์ของความเครียดที่มีมากขึ้น ความชื่นชอบชาเพื่อสุขภาพ ความกังวลกับการดื้อยาต้านจุลชีพ การบำบัดด้วยกลิ่นหอม ความสนใจต่อยาสัตว์จากสมุนไพร ความต้องการผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาสมุนไพรที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น

A changing perception of health, the ageing population and the threat of antimicrobial resistance drive European demand for natural ingredients for health products.

1. Changing Perception of Health
Euromonitor expects the European food supplements market to grow by 28% from 2013 to 2018. Demand for food supplements is strongest in Western Europe. In 2018, the region is expected to reach a market size of €3.2 billion. Russia makes up around two thirds of that.

2. Growing Demand for Sports Supplements
Globally, the market for sports supplements is expected to grow by 9.1% annually from 2014 to 2020. This growing demand is another result of the changing perception of health. Consumers are increasingly aware that physical health and fitness help to be healthy.

3. Growing Demand for Organic Ingredients
More and more European buyers of conventional ingredient are starting to expect ingredients that meet standards for organic. For example, France has developed the Ecophyto plan 2018 to reduce pesticides by 50% from 2008 to 2018.

4. Consumer Interest in People-Helping-People
Demand for fair trade ingredients in food supplements is growing. This trend is especially strong in the UK. Consumers are interested in ‘people helping people’. They want to hear stories about the people who harvest and produce the ingredients used in their health products. This offers opportunities for you to add value by marketing certified ingredients.

5. Marketing Products to an Ageing Population
By 2050, around 30% of the European population is estimated to be 65 and older. This is opposed to 17% in 2013. The elderly are an important market for natural healthcare manufacturers.

Moreover, there are rising stress levels, growing popularity of herbal teas for health, concern over antimicrobial resistance, growing popularity of aromatherapy, the interest in herbal veterinary medicine, the increased world demand for European herbal medicinal products, etc.

“Pook Coconut Chips” wins the 2018 FRUIT LOGISTICA Innovation Award

Berlin, 9 February 2018 – This year’s FRUIT LOGISTICA Innovation Award (FLIA) goes to “Pook Coconut Chips” from PookSpaFoods in Germany. That is what the trade visitors, who voted over a two-day period at FRUIT LOGISTICA 2018, decided. Three new products made it to the podium in Berlin this afternoon.

Pook Coconut Chips, the crispy crisps, made from Thai coconut without any oil or fat, are available in Original Sea Salt, Mango Sea Salt and Chocolate Sea Salt flavours. They are vegan, gluten-free and free from preservatives. The manufacturer recommends them as a snack or as a topping for salads, cereal, yogurt, ice cream, and much more.

“We are a small company which set up only recently in September 2016. This award is a big surprise and especially important for us“, said the company’s founder and managing director Kanokporn Holtsch.

Silver went to the dark brown tomato “Adora” from HM Clause from Spain. This tomato is a variant of the variety Marmande, a particularly robust old ribbed beef tomato variety that ripens very early. What sets the new Adora apart is its balanced, intensely sweet and sour taste, excellent shelf-life, firmness and good nutritional values.

The bronze FLIA went to the grass paper from the German paper mill Scheufelen. This organic packaging material consists of up to 50 percent fresh grass fibre and is completely recyclable and biodegradable. The use of grass fibres, a renewable raw material, should help reduce energy and water consumption. Conventional pulp fibres require 30,000 litres of water and 6,000 kW/h of energy per tonne – compared to zero litres and 150 kW/h for grass fibres.

FRUIT LOGISTICA is the leading trade fair for the global fruit trade and has been held annually since 1993. In 2018, over 3,100 exhibitors from more than 80 countries and more than 75,000 buyers and trade visitors from 130 countries attended. The FRUIT LOGISTICA Innovation Award (FLIA) was presented for the thirteenth time in 2018. It is the most important award in the industry.

www.fruitlogistica.com

DITP จัดตั้งศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการครบวงจร Start Up complex เชียงใหม่ พร้อมยกระดับสินค้ามาตรฐานออร์แกนิคสู่ตลาดไฮเอนด์

ศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการครบวงจร Start Up complex ณ จังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งขึ้นโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนแนวคิดการดำเนินธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการ Start Up เน้นการให้บริการเชิงสร้างสรรค์ (Creative Service) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ ให้มีจุดขายในการเป็น One-Stop Integrated Exhibition and Business Destination ที่สามารถรวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ผู้ประกอบการส่งออก 17 จังหวัดภาคเหนือและผู้ประกอบการจากประเทศอาเซียน มานำเสนอในที่เดียว ตลอดจนผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และอำนวยความสะดวกทางการค้าและการตลาดให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจ และเกิดการขับเคลื่อนผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ ผู้มาใช้บริการสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว ในการสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งจะก่อให้การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และอำนวยความสะดวกทางการค้าและการตลาดอย่างเป็นรูปธรรมตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ

โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้กำหนดจัดกิจกรรมพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาค ภายใต้โครงการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการครบวงจร Start Up complex ดังกล่าว เพื่อยกระดับสินค้ามาตรฐานออร์แกนิคภาคเหนือ โดยการต่อยอด สินค้าเกษตรอินทรีย์ สู่ตลาดไฮเอนด์ เพื่อเป็นการจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือ ได้พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และแบบบรรจุภัณฑ์ของตนเอง สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรอินทรีย์จากภาคเหนือ และยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าออร์แกนิคของประเทศไทย หลังจากผ่านความสำเร็จอย่างดีไปเมื่อปลายปีที่แล้ว กับโครงการ Organic Lanna : From Organic Farms to Organic Foods โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานพันธมิตร ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ โครงการเกษตรเพื่ออาหารสุขภาพดีวิถีล้านนา โครงการที่คัดเลือกผู้ประกอบการสินค้าเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือที่ได้รับมาตรฐานเพื่อรับการพัฒนาแบบบรรจุภัณฑ์ ที่ส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าเกษตรอินทรีย์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

โดยในครั้งนี้โครงการได้เริ่มดำเนินการพัฒนาผู้ประกอบการโดยจัดกิจกรรมมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการสัมมนา สินค้าเกษตรอินทรีย์ สู่ตลาดไฮเอนด์ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด – ECOTOPIA ห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ โดยคุณชัยโรจน์ ศรีเดชะรินทร์กุล Managing Director International Brand Retail พร้อมด้วยคุณณฐมน ตัณฑ์เกยูร Assistant Vice President และคุณอำพร ภูธรรม Department Manager ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง แนวทางการเตรียมตัวของผู้ประกอบการเพื่อนำสินค้าเกษตรอินทรีย์ออกสู่ตลาดระดับประเทศและนานาชาติโดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการสินค้าเกษตรอินทรีย์กว่า 20 แบรนด์ มารับฟังข้อคิดเห็น การแนะแนวทาง และร่วมแลกเปลี่ยนทรรศนะในการนำสินค้าจากท้องถิ่นก้าวเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดและตลาดโลกไปพร้อมกับการเจรจาธุรกิจเพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางธุรกิจโดยตรงระหว่างผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ผลิตและบริษัทธุรกิจค้าปลีกผู้นำด้านกิจการศูนย์การค้าชั้นนำใจกลางกรุงเทพมหานคร และได้รับการยอมรับในตลาดระดับนานาชาติ

ครั้งที่ 2 เป็นกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ การพัฒนารูปแบบการนำเสนอบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาด โดยวิทยากร คุณพัทธมน นิศาบดี Creative Director จาก PASSA มาเป็นผู้อำนวยการหลักสูตรและกิจกรรม เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในการเพิ่มมูลค่าของสินค้าเกษตรอินทรีย์ในเชิงสร้างสรรค์ต่อไปในตลาดโลก

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะมีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องในอนาคตโดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้เข้าใจวิธีการทำการค้าขายยุคใหม่ในด้านดิจิทัล ด้านบริหารจัดการธุรกิจสู่สากล และความรู้เฉพาะทางด้านการตลาดระหว่างประเทศต่างๆ โดยสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ ศูนย์กลางการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและอาเซียน (ASEAN DESIGN & BUSINESS CENTER) สำนักพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ สาขาถนนสิงหราช โทร. 053 112 668 หรือ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์