U.S. Produce Market: 6 Key Trends Driving Sales of Fresh Fruits & Vegetables

6 แนวโน้มหลัก…ดันยอดขายผักและผลไม้สดในสหรัฐอเมริกา

Translated By:           Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

Full article TH-EN

ในช่วงปี 2554-2559 การบริโภคผลิตผลสดทางการเกษตรมีการเติบโตอย่างคงที่ประมาณร้อยละ 1.3 และในรายงาน “Fresh Produce: U.S. Market Trends and Opportunities” ซึ่งจัดทำโดยบริษัทวิจัยด้านการตลาด Packaged Facts ได้คาดการณ์ว่าการเติบโตของผลิตผลสดทางการเกษตรจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564

“ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผักและผลไม้จะได้รับอานิสงส์จากกลุ่มประชากรในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากประชากรในทุกช่วงอายุจะบริโภคผักและผลไม้ในอัตราที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ใหญ่เจน X” David Sprinkle ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจาก Packaged Facts กล่าว รายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคทำให้พวกเขามีกำลังซื้อผักและผลไม้เกรดพรีเมียม รวมทั้งผักและผลไม้ที่ปราศจากการดัดแปรพันธุกรรม ผักและผลไม้ออร์แกนิก ตลอดจนผักและผลไม้ที่เพาะปลูกภายในท้องถิ่น

 

Mr.Sprinkle ได้ให้ข้อมูลถึงบางแนวโน้มที่ดูจะมีอิทธิพลมากกว่าแนวโน้มอื่นๆ โดยบทความนี้จะกล่าวถึง 6 แนวโน้มหลักที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตของตลาดผักและผลไม้สดในประเทศสหรัฐอเมริกาในอนาคต

         1. การซื้อสินค้าออนไลน์และการบริการจัดส่งผลักดันยอดซื้อผลิตผลสดทางการเกษตร: คนยุคมิลเลนเนียลและครอบครัวที่มีเด็กเล็กมักจะมีตารางเวลาที่วุ่นวาย ทั้งยังไม่ค่อยมีเวลาในการวางแผนและซื้ออาหารเพื่อสุขภาพเท่าไรนัก การซื้อสินค้าของชำทางออนไลน์จะดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความสะดวกสบาย และผู้บริโภคยังได้รับผลิตผลสดทางการเกษตรและอาหารประเภทอื่นๆ โดยไม่ต้องออกไปซื้อตามร้านค้าและห้างสรรพสินค้า

         2. ความสะดวกสบายกับเซ็ตวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร: เซ็ตปรุงอาหารพร้อมส่งโดนใจคนยุคมิลเลนเนียล และเจน X เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนโสดและผู้ชาย เนื่องจากประกอบไปด้วยวัตถุดิบและส่วนประกอบที่จำเป็นในการเตรียมอาหารในสัดส่วนที่พอเหมาะและถูกต้อง

         3. การสนับสนุนเกษตรกรและสินค้าเกษตรของชุมชน: เราเริ่มได้เห็นโครงการต่างๆ ที่ชุมชนสนับสนุนการเกษตรในบางพื้นที่กันบ้างแล้ว แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ดูเหมือนจะมีโครงการดีๆ ลักษณะนี้เพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผู้บริโภคต้องการบริโภคผลิตผลสดทางการเกษตรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพซึ่งเพาะปลูกในท้องถิ่น และเพื่อสนับสนุนการค้าในท้องถิ่นของตนเอง

          4. ความนิยมของอาหารเพื่อสุขภาพและซูเปอร์ฟู้ด: จากข้อมูลในช่วงปี 2554-2559 พบว่าผู้บริโภคที่ตระหนักในเรื่องสุขภาพจะมองหาอาหารที่พิเศษและสดใหม่ โดยส่วนมากเป็นผู้บริโภควัยหนุ่มสาว ซึ่งอาหารที่อยู่ในกระแสคือ อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก เน้นประโยชน์เต็มๆ อย่างผักและผลไม้สด

          5. สร้างสีสันให้ตลาดด้วยกลิ่นรสที่แปลกใหม่: ในสหรัฐอเมริกามีคนหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรม ส่งผลให้อาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเติบโตขึ้นมากในช่วงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา อย่าง Hot pepper ก็ได้รับความนิยมอย่างไม่น่าเชื่อ Chili pepper ก็เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 5 ต่อปีในช่วงปี 2554-2559 ทางด้าน Chili pepper ที่ให้รสเผ็ดน้อยอย่างจาลาปีโนก็อยู่ในกระแส

          6. ได้ประโยชน์จาก Flexitarian: ผู้บริโภคที่กินเนื้อสัตว์และนิยามตนเองว่าเป็น “Flexitarian” เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าจับตามอง Flexitarian เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่สามารถชักชวนให้มากินอาหารมังสวิรัติมากขึ้น ซึ่งในภาพรวมจะส่งผลให้การบริโภคผักและผลไม้สูงขึ้นนั่นเอง

ขอเชิญธุรกิจอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับรางวัล “อุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2561 ประเภทการเพิ่มผลผลิต”

สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกเพื่อรับรางวัล “อุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2561 ประเภทการเพิ่มผลผลิต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกำลังใจและประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีความคิดริเริ่มและมีความวิริยอุตสาหะในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับผู้ประกอบการ ซึ่งผู้สมัครจะต้องได้รับการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ 6 หมวด ได้แก่ ความเป็นผู้นำ การวางแผนการเพิ่มผลผลิต การตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้า การบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดการกระบวนการ และผลลัพธ์ทางธุรกิจ  ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดใบสมัครและหลักฐานในการยื่นเอกสารประกอบในการสมัครแต่ละประเภทรางวัลได้ที่ www.industry.go.th/industry_award โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ ถึง 16 มีนาคม 2561

 

ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care เดือนกุมภาพันธ์ 2561

ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care ลุ้นรับของกำนัล Gift Voucher S&P worth THB 500 จำนวน 2 รางวัล

ลุ้นรางวัลกับเราได้ตามลิงก์ด้านล่างเลย อย่าลืมกรอกให้ครบ..นะคะ

https://goo.gl/forms/R6cE8aPNlDfamCo73

Characterization of vegetable oils by DSC

การจำแนกน้ำมันพืชด้วยวิธี DSC

 

โดย:              บริษัท เมทเล่อร์-โทเลโด (ประเทศไทย) จำกัด

Mettler-Toledo (Thailand) Limited

 Full article (TH-EN)

Differential Scanning Calorimetry หรือกระบวนการ DSC เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สสารต่างๆ ในงานวิจัย การพัฒนาสินค้า และการควบคุมคุณภาพ กระบวนการตกผลึกของไขมันและน้ำมันเองก็ได้รับการศึกษาภายใต้กระบวนการ DSC มาเป็นเวลาหลายปีแล้วเช่นกัน บทความนี้จะนำเสนอกระบวนการที่น่าสนใจในการใช้กระบวนการ DSC ในการจำแนกน้ำมันพืช โดยน้ำมันพืชนั้น (หรือไขมันจากพืช ขึ้นอยู่กับความข้นของสสาร) เป็นสารประกอบจากพืชที่ได้จากการนำเมล็ดพันธุ์พืชหรือผลไม้ผ่านกระบวนการคั้น และ/หรือ สกัดด้วยตัวทำละลายแล้วนำไปกลั่นเพื่อแยกตัวทำละลายออก น้ำมันที่ได้มีส่วนประกอบหลักเป็นไตรกลีเซอไรด์ ในเชิงเคมีไตรกลีเซอไรด์เป็นสารประกอบไตร-เอสเตอร์ ที่ก่อตัวขั้นจากกระบวนการเอสเทอริฟิเคชันของกลีเซอรอลเข้ากับกรดคาร์บอกซิลิค (กรดไขมัน) ในน้ำมันธรรมชาติ ไตรกลีเซอไรด์จะประกอบไปด้วยกรดไขมันหลากหลายชนิด ซึ่งทำให้น้ำมันมีส่วนผสมของไตรกลีเซอไรด์ที่หลากหลาย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมันยังมีส่วนผสมของสารกึ่งไตรกลีเซอไรด์ (เช่น mono- และ diglycerides) และองค์ประกอบอื่นๆ (เช่น phospholipids, sterols, vitamins, ฯลฯ) ซึ่งขึ้นอยู่กับที่มาของน้ำมันและกระบวนการผลิต

 

กระบวนการตกผลึกของไขมันหรือน้ำมันนั้นถือเป็นเรื่องอ่อนไหวต่อองค์ประกอบในน้ำมัน และสามารถวัดได้ง่ายผ่านกระบวนการ DSC ซึ่งกราฟที่ได้จากตัวอย่างน้ำมันที่ผ่านการทดลองนั้นจะเป็นเสมือนลายนิ้วมือของน้ำมันแต่ละชนิด ที่จริงแล้วกระบวนการ DSC นั้นยังเป็นเครื่องมือที่ดีในการแยกความแตกต่างระหว่างน้ำมันแต่ละชนิด เช่น การแยกระหว่างน้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นและน้ำมันจากธรรมชาติ

FIRN: Food Innovation and Regulation Network

ส่งเสริมนวัตกรรมทางอาหาร เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ก้าวไกลสู่ตลาดโลก

 

โดย:    กองบรรณาธิการ

Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

Full article (TH-EN)

เป็นที่ทราบกันดีว่าอุตสาหกรรมอาหารถูกระบุให้เป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ที่จะผลักดันไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” โดยมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมเข้ามาพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มแล้ว เราสามารถนำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ในหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนากระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น

 

แต่หลายครั้งหลายคราที่ผู้ประกอบการหลายรายลงแรงทุ่มเท ทุ่มทุน ไปกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่…แต่กลับไม่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นออกสู่ตลาดได้ เนื่องด้วยขาดความรู้ความเข้าใจถึงหลักเกณฑ์และกฎระเบียบในการขออนุญาตขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหาร หรือหากมีความรู้ ความเข้าใจ ก็ยังไม่ตรงประเด็น อีกทั้งแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็มีความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกัน…เมื่อลงเรือลำเดียวกัน แต่พายไปกันคนละทิศละทาง…ก็ยากที่จะถึงฝั่ง หรือถึงฝั่งได้ แต่ก็ทุลักทุเลเต็มที…

 

การจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สุดล้ำออกสู่ตลาด จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อขออนุญาตผลิตอาหารในระดับอุตสาหกรรม ให้ตรงกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข รวมถึงวิธีการประเมินหลักฐานทางวิชาการเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องของอาหารปลอดภัย และการประเมินประสิทธิผลที่มีการกล่าวอ้างทางสุขภาพ จึงจะสามารถดำเนินการผลิตได้ อย่างไรก็ตาม ความรู้ความเข้าใจในหลักเกณฑ์และกฎระเบียบในการขออนุญาตของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนั้นมีไม่เท่าเทียมกัน จึงส่งผลให้เกิดการดำเนินงานและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

 

สองหน่วยงานผนึกกำลังซ่อมเพื่อสร้าง

ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบการสื่อสารข้อมูลให้กระจายอย่างทั่วถึง และให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ทางหน่วยงานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ผนึกกำลังความร่วมมือกับสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ขึ้น และมีการจัดตั้งหน่วยงานกลางในชื่อ Food Innovation and Regulation Network (FIRN) เพื่อทำหน้าที่ประสานงาน สื่อสาร รวมไปถึงฝึกอบรมให้แก่ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยโครงการ FIRN ได้รับทุนสนับสนุนจากเมืองนวัตกรรมอาหาร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ

 

ปฏิรูป…..ถือคัมภีร์เล่มเดียวกัน

ศูนย์กลางเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพนี้จะพร้อมตอบโจทย์การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารด้วยนวัตกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่น่าสนใจก็คือ การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์อาหาร การขออนุญาตผลิตภัณฑ์เชิงสุขภาพ กฎระเบียบและประกาศต่างๆ ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จะเป็นการบูรณาการข้อมูลสู่ทุกภาคส่วนในรูปแบบข้อมูลที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรับข้อมูลไปดำเนินการต่อได้อย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

 

นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะและขีดความสามารถของบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาหลักฐานการขออนุญาตก็มีความจำเป็นเช่นกัน เพื่อที่จะได้มีจำนวนผู้เชี่ยวชาญให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ โดยจะมีกระบวนการฝึกอบรม การจัดกิจกรรมทางวิชาการ ทั้งนี้ มีเป้าหมายร่วมกันในการปรับปรุงเกณฑ์การขออนุญาตของไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานนานาชาติ

Interroll Thailand ขยายสู่โรงงานแห่งใหม่ทีใหญ่และทันสมัยกว่า

แซนต์ แอนโตนิโอ, สวิตเซอร์แลนด์, 8 มกราคม 2561 – เนื่องด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นของระบบขนถ่ายและลำเลียงวัสดุจากกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้อินเตอร์โรลต้องเพิ่มกิจกรรมธุรกิจในประเทศไทยในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ล่าสุดอินเตอร์โรลได้ประกาศเพิ่มพื้นที่การผลิตและพื้นที่สำนักงานในประเทศไทยซึ่งมีโครงการขยายให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 15 เดือนนับจากนี้ โดยจะย้ายจากโรงงานในปัจจุบันที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เฟส 8 ไปยังสถานที่ใหม่ในเฟส 10 ซึ่งการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่จะเริ่มขึ้นในไตรมาสแรกของปี พศ.2561 และจะแล้วเสร็จในต้นไตรมาสที่สองของปี พศ.2562

“โรงงานแห่งใหม่นี้จะเป็นโรงงานที่ทันสมัย เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีระดับสูง และมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น การขยับขยายครั้งนี้จะทำให้เราสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างมากด้วยการนำระบบการผลิต One Piece Flow มาใช้” คุณไกรสร นาคะพงศ์ กรรมการผู้จัดการของ อินเตอร์โรล (ประเทศไทย) กล่าวพร้อมเสริมว่า “ตลาดที่เติบโตขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และเมียนมา ได้แสดงให้เห็นถึงความต้องการอย่างชัดเจนในผลิตภัณฑ์ของเรา สำหรับลูกค้าและผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา การขยับขยายโรงงานครั้งนี้หมายถึง การให้บริการที่ดียิ่งขึ้นและการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็วขึ้น สำหรับพนักงานของเราทั้งในปัจจุบันและในอนาคต มันคือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดียิ่งขึ้น”

ทั้งนี้ โรงงานแห่งใหม่จะประกอบไปด้วยพื้นที่การผลิตประมาณ 4,800 ตารางเมตร และพื้นที่สำหรับสำนักงานอีกราว 700 ตารางเมตร

 

www.interroll.co.th

 

อย.จับมือ ดูปองค์ เปิดตัวคลิปออนไลน์ครั้งแรกหวังส่งเสริม SMEs ไทยใช้วัตถุเจือปนอาหารอย่างถูกต้อง

กรุงเทพฯ, 10 มกราคม 2561 – สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข นำโดย ดร.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร ร่วมกับ Yongjing Li, Ph.D., Regional President, Asia Pacifc, DuPont Nutrition & Health จัดทำและเผยแพร่คลิปออนไลน์ หวังให้ SMEs ไทยใส่ใจการใช้วัตถุเจือปนอาหารอย่างเหมาะสม

ดร.ทิพย์วรรณ เปิดเผยถึงสถานการณ์การใช้วัตถุเจือปนอาหารในประเทศว่า “อย. ได้มีแผนการตรวจเฝ้าระวังคุณภาพของอาหาร ในส่วนของวัตถุกันเสียที่ใช้ในอาหาร พบว่าในปี 2556 และ 2557 จำนวนทั้งสิ้น 900 และ 825 ตัวอย่าง พบข้อบกพร่องเรื่องวัตถุกันเสียจำนวน 90 และ 88 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 10 และ 11 ตามลำดับ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการทางกฎหมายพร้อมทั้งแนะนำผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ อย. ได้อนุญาตให้มีการใช้วัตถุกันเสียในอาหารบางชนิด เพื่อป้องกันความเสื่อมเสียของอาหารเนื่องจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ยีสต์ และรา โดยผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้วัตถุกันเสียตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 281) พ.ศ. 2547 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม นอกจากนี้ อาหารทั่วไปจะต้องมีการแสดงฉลากตามประกาศ

กระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 367) พ.ศ. 2557 เรื่อง การแสดงฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ”

“เนื่องจากความปลอดภัยของอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค บริษัท ดูปองท์ จำกัด นำโดยแผนกอาหารและสุขภาพเล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ร่วมมือกับ อย. ผลิตสื่อความรู้เกี่ยวกับการใช้วัตถุเจือปนอาหารอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขยาดย่อม โดยหวังว่าสื่อคลิปออนไลน์ดังกล่าวนี้จะช่วยสร้างความตระหนักในความปลอดภัยของอาหารอันจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอาหารต่อไปในอนาคต” คุณสิทธิเดช ศรีประเทศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูปองท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

คลิปดังกล่าวได้รวบรวมประเด็นด้านความปลอดภัยที่ผู้ประกอบการควรทราบซึ่งเปิดตัวด้วยเรื่อง “การใช้วัตถุกันเสีย” และ “การแสดงฉลากของอาหาร” โดยมีแผนการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ โทรทัศน์ และสื่อนิตยสารอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนการขยายความร่วมมือไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เพื่อหวังให้เกิดความตระหนักรู้และส่งเสริมการผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่ปลอดภัยทั่วทั้งภูมิภาค

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเข้าชมคลิปทั้งสองเรื่องได้แล้วที่ YouTube โดยใส่คำค้นหาว่า “Food additive using for THAI SME”

www.fda.moph.go.th, www.dupont.co.th, www.danisco.com

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จับมือสถาบันอาหาร ติวเข้ม SMEs เพิ่มผลิตภาพ – ยกระดับมาตรฐานอาหารแปรรูป

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จัดอบรมเอสเอ็มอีอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป หวังเพิ่มผลิตภาพให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด และมีความพร้อมขอยื่นรับรองมาตรฐานด้านอาหารได้ในระดับสากล

 

นางอารยา ดำรงศักดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการจัดการธุรกิจ กองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิด “กิจกรรมการพัฒนาเอสเอ็มอีเพื่อเพิ่มผลิตภาพหรือเตรียมความพร้อมการขอการรับรองมาตรฐานสากล” ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ร่วมกับสถาบันอาหารจัดขึ้น ภายใต้โครงการเพิ่มศักยภาพและยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ปีงบประมาณ 2561 ในช่วงเช้ามีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “บทบาทของ อย. กับมาตรฐานเชิงพาณิชย์ผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคต” โดยนางสาวจิรารัตน์  เทศะศิลป์ นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการพิเศษ กลุ่มกำหนดมาตรฐานสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และชี้แจงข้อมูลรายละเอียดโครงการโดยผู้เกี่ยวข้อง มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสาขาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ทั้งในภาคการผลิต การบริการ และการค้าของไทย เข้ารับการอบรมจำนวน 92 คน โดยมี ดร.วิเชียร ฤกษ์พัฒนกิจ ที่ปรึกษาสถาบันอาหาร และคณะให้การต้อนรับ ณ ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย ถนนอรุณอมรินทร์

 

นางอารยา ดำรงศักดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการจัดการธุรกิจ กองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและสถาบันอาหาร ได้จัดทำกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเอสเอ็มอีในสาขาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ให้มีผลิตภาพเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของสถานประกอบการในการขอรับรองมาตรฐานสากลทางด้านอาหาร โดยอาศัยกระบวนการให้คำปรึกษาเชิงลึก จากทีมที่ปรึกษาที่มีความรู้และประสบการณ์เฉพาะทางจากสถาบันอาหาร  มีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพด้านการผลิต การบรรจุภัณฑ์ และการตลาด

 

กิจกรรมดังกล่าวหวังสร้างเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมโครงการให้มีผลิตภาพเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถขอรับรองมาตรฐานสากลทางด้านอาหาร อาทิ ลดของเสียไม่น้อยกว่าร้อยละ 3  ลดต้นทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 6  เพิ่มมูลค่ายอดขายไม่น้อยกว่าร้อยละ 9 และเตรียมความพร้อมให้เอสเอ็มอีในการยื่นขอการรับรองมาตรฐานสากลทางด้านอาหาร ได้แก่ GMP, HACCP, IFS, ISO 22000 หรือ FSSC 22000 เป็นต้น

 

www.nfi.or.th

10 Top Tips for Life Science Laboratory Efficiency

10 สุดยอดเทคนิคสู่การเป็นห้องปฏิบัติการชีววิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ

By: Sarah Thomas

www.selectscience.net

 

Translated by: กองบรรณาธิการ

Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

Full article (TH-EN)

 

เนื่องจากชีววิทยาศาสตร์คือการศึกษาเรื่องสิ่งมีชีวิตและระบบที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตในทุกๆ แง่มุม ถือเป็นศาสตร์ที่จะค้นพบตัวแปรได้มากที่สุดในบรรดาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ตัวแปรในการทดลองยังหมายความรวมถึงการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อการทำงานภายในห้องปฏิบัติการให้มีประสิทธิภาพ โดยปฏิบัติได้ ดังนี้

1. จัดสรรหน้าที่ให้เหมาะกับความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
ทีมที่ทำงานต้องมีความเป็นผู้นำ ศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง ฝึกฝนและมีเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถทำตามวัตถุประสงค์ได้อย่างสำเร็จ

2. ส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมทางนวัตกรรม
การกล้าที่จะตั้งคำถามและกระตุ้นคนรอบข้างให้รู้จักการถาม เช่น ทำไมจึงต้องใช้วิธีการนี้? ทำให้เกิดหลักการทดลองใหม่ๆ และควรวางแผนฝึกฝนทบทวนขั้นตอนการทดลองเสมอๆ เพื่อไม่ให้เกิดความวอกแวกในขณะปฏิบัติงานจริง

3. จัดพื้นที่การทำงานให้มีการสูญเปล่าน้อยที่สุด
เริ่มต้นจัดวางสิ่งของที่ใช้อยู่เป็นประจำให้อยู่ในที่ที่หยิบจับใช้ได้ง่าย และปฏิบัติตามขั้นตอนการทดลองใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจและเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานอย่างเป็นระบบ

4. แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
การแบ่งสรรความรับผิดชอบในการทำงานภายในห้องปฏิบัติการ ทั้งการดูแลด้านความสะอาดและการทดลองอย่างเป็นระบบ

5. ตั้งต้นทำงานจากวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
เมื่อทราบวัตถุประสงค์ของการทำงานและตั้งต้นทำย้อนจากหลังมาหน้าได้ก็จะช่วยประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการออกแบบขั้นตอนการทำงาน และยังทำให้ทราบว่าจะต้องใช้ตัวอย่างอะไรบ้าง

6. บริหารจัดการคลังสารเคมีและเวชภัณฑ์
แทนที่จะเติมพื้นที่ว่างทั้งหมดของคลังเก็บของให้เต็มไปด้วยสารเคมีหรือเวชภัณฑ์ต่างๆ ให้หันมาไตร่ตรองถึงสิ่งที่มีอยู่ก่อนเพื่อที่จะนำออกมาใช้

7. วางแผนการจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการล่วงหน้า
การจัดทำตารางการสั่งซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการจะทำให้ง่ายที่จะรู้ว่าใครต้องการอะไร และเมื่อใดที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อจะได้เกิดการวางแผนการจัดซื้อล่วงหน้าอย่างเหมาะสม

8. มองหาอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานกว่าเดิม
ในทุกๆ ปีจะเห็นว่ามีสินค้าในห้องปฏิบัติการออกมาใหม่ๆ มากมาย ลองมองหาชิ้นที่จะเข้ามาช่วยให้การทำงานในห้องปฏิบัติการรวดเร็วขึ้นและได้ผลการทดลองที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

9. ให้คิดว่าการลงทุนในอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์คือการลงทุนระยะยาว
การเลือกซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์สำหรับห้องปฏิบัติการ ตั้งแต่ปิเปตไปจนถึงเครื่องวิเคราะห์ HPLC ควรได้รับการพิจารณาให้เหมือนว่าเป็นการลงทุน หากมีงานที่ต้องวิเคราะห์ทดสอบเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในหนึ่งปี ต้องพิจารณาว่าอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ที่กำลังใช้อยู่นี้จะยังตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของเราอยู่หรือไม่?

10. บำรุงรักษาอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์
หากไม่มีการบริการบำรุงรักษาอุปกรณ์และเครื่องมือวิเคราะห์ให้เป็นปกติอาจเกิดข้อผิดพลาดและสร้างความเสียหายให้กับผลการทดลองที่ต่อเนื่องอื่นๆ ในแผนการทดลองทั้งหมดได้