Targeting Productivity. Don’t forget Quality

ทำ Productivity อย่าลืมพื้นฐาน Quality

โดย: สหัส รัตนะโสภณชัย
Sahas Ratanasoponchai
Assistant Vice President: Hygiene Business
Betagro Group

Full article TH-EN

ในโลกของการแข่งขันทางด้านธุรกิจที่ต้องแสวงหากำไรให้กับองค์กรนั้น นอกจากยอดขายตามเป้าหมายแล้ว ยังรวมถึงการลดต้นทุนในทุกๆ ด้าน และการเพิ่มผลิตภาพหรือที่เรามักเรียกกันว่า Productivity

โดยทั่วไปการเพิ่มผลิตภาพมักจัดทำเป็นโครงการ มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน และทั้งแข่งขันกันว่าใครเป็นเลิศมากกว่ากัน ซึ่งในหลักการถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ควรปฏิบัติ…เพียงแต่เรามักมองข้ามบางอย่างที่เป็นหลักการสำคัญสำหรับวงการอาหาร นั่นคือเรื่องคุณภาพ (Quality) และอาหารปลอดภัย (Food safety)
หลายครั้งที่เราทำเรื่อง Productivity โดยใช้หัวเรื่องเน้นการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต โดยยังคงคุณภาพไว้เป็นข้ออ้างอิง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ นำ Productivity อยู่เหนือ Quality หรือ Food Safety กรณีนี้เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็จะแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ส่งผลให้ปัญหายืดเยื้อ หาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้

คุณเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้ในโรงงานหรือไม่?
1. ใช้วัตถุดิบ (Raw material) ราคาถูก แต่ไม่ตรวจสอบคุณภาพให้ครอบคลุมว่าได้ตามสเป็ค (Specification) ที่กำหนดหรือไม่ บางครั้งอาจเกิดจากความไม่รู้ของทั้งเราและซัพพลายเออร์ ยกตัวอย่างเช่น น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีปริมาณครบตามกำหนด แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ อันเนื่องจากโครงสร้างโมเลกุลเปลี่ยนแปลงไป โดยที่เราไม่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติการฆ่าเชื้อนั้นๆ

2. ลดหรือเลิกใส่สารกันเสียเพื่อลดต้นทุน โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงว่าสินค้าจะหมดอายุ เพียงแค่มั่นใจว่าสินค้าจะขายได้ตามกำหนด ซึ่งกรณีนี้อาจอนุโลมให้ในกรณีที่เรามีนวัตกรรมในการถนอมสินค้านั้นอย่างมั่นใจ

In the competitive world of business, where profitability is the main objective, achieving targeted sales is not the only aspiration, but also reducing overall costs and increasing output; or what is collectively known as “Productivity”.

Increasing productivity is usually carried out as a planned project where experiences are exchanged and positive competitions are made among players in the same industry. This competition, by principle, is a good and beneficial practice, yet some important things usually get overlooked, such as the issue of quality and food safety.

Evidently, times and times again, productivity was expected to be achieved mainly through cost reduction, while maintaining food quality was considered of lesser priority. Simply speaking, we put the productivity issue above Quality and Food safety. As a result, when problems arose, the true causes were masked and the problems were not straightened, perpetuating the vicious loop of finding and fixing the wrong thing.

Have any of the following scenarios occurred in your plant?
1. Low-priced raw materials were mindlessly picked without a proper quality check or specification assurance; which sometimes was just a result of both manufacturers and suppliers’ ignorance. Disinfectant solution, for example, that was quantity-sufficient but not efficient enough to sterilize or kill germs due to the change in the molecular structure of the solution itself, which should be but was neglected to be tested for its quality.

2. Amount of preservative agents was reduced or cut completely for cost reduction reason, without taking into account the risk of the products’ expiration; with the confident that the products would be sold out by the time they expires. This case could be passable, at best, given that there should be a good enough innovation in preserving and storing goods.

Innovation for Rapid Method of UHT Products Inspection

นวัตกรรมในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มด้วยวิธีรวดเร็ว

คุณวนิดา มรรคณา
Wanida Mukkana
Senior Clinical Specialist
3M Food Safety
3M Thailand Limited

Full article TH-EN

ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 349) พ.ศ.2556 เรื่อง วิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิตและการเก็บรักษาอาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทชนิดที่มีความเป็นกรดตํ่า และชนิดที่ปรับกรดนั้น ได้กำหนดให้มีสาระสำคัญที่ต้องควบคุมสำหรับการผลิตแบบ UHT ด้านผลิตภัณฑ์ซึ่งต้องตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์สุดท้าย และเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการผลิตให้มากขึ้น โดยมีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อเฝ้าระวังตนเองตามความถี่ที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดและขจัดอันตรายที่ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

หน่วยงานประกันและควบคุมคุณภาพจึงมีบทบาทหน้าที่อันสำคัญยิ่งในการตรวจวิเคราะห์และเฝ้าระวังเพื่อให้เกิดความปลอดภัยดังกล่าว และเนื่องจากผลิตภัณฑ์ UHT เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคสามารถบริโภคได้ทันที ทำให้หน่วยงานดังกล่าวจะต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อให้สินค้าส่งถึงมือลูกค้าได้ทันกับความต้องการแต่ยังคงไว้ซึ่งความถูกต้องแม่นยำของผลการตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนออกสู่ลูกค้าหรือผู้บริโภค ซึ่งการรายงานผลการทดสอบที่รวดเร็วนั้น นอกจากจะทำให้ผู้ผลิตสามารถเพิ่มโอกาสทางธุรกิจจากการปล่อยสินค้าได้เร็ว ยังทำให้สามารถลดพื้นที่ในการจัดเก็บและจำนวนสินค้าคงคลัง ซึ่งทำให้เป็นการลดค่าใช้จ่ายโดยรวม (ค่าแรง ค่าบริหารสินค้าคงคลัง ค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ ฯลฯ) ได้อีกทางหนึ่งด้วย

วิธีการตรวจวิเคราะห์เชื้อจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์ UHT
โดยทั่วไปวิธีการตรวจวิเคราะห์เชื้อจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์ UHT นั้น จะมีการแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรก คือ การเพาะเชื้อจุลินทรีย์ (Pre-Incubation) เป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการ UHT เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวสามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคและเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสียที่อุณหภูมิห้องได้ทุกชนิด จึงทำให้ไม่มีจุลินทรีย์หลงเหลืออยู่ แต่อาจมีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์กลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง จึงต้องมีขั้นตอนนี้เพื่อเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ให้มากขึ้นพอที่จะสามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีทางจุลชีววิทยา โดยการนำผลิตภัณฑ์ UHT บ่มใน Incubator เป็นเวลาตามกฎหมายกำหนด (อย่างน้อย 5 วัน) จากนั้น มาสู่ขั้นตอนที่สอง คือ การทดสอบทางจุลชีววิทยา (Microbiological test) โดยปัจจุบันวิธีแบบดั้งเดิมเพื่อทดสอบดังกล่าวมี 2 เทคนิควิธี คือ Pour plate และ Streak plate โดยขั้นตอนนี้จะใช้เวลาทั้งสิ้นกว่า 2 วันตั้งแต่การเตรียมตัวอย่าง การลงตัวอย่างในอาหารเลี้ยงเชื้อ และขั้นตอนสุดท้ายคือการบ่มเชื้อ ทำให้ต้องใช้เวลารวมกว่า 7 วัน เพื่อที่จะสามารถรายงานผลเชื้อจุลินทรีย์ดังกล่าวได้

The Notification of the Ministry of Public Health (No. 349), B.E. 2556, Re: Methods, Equipment and Storages for Manufacturing of Thermally Processed Low-acid Foods and Acidified Foods Packaged in Hermetically Sealed Containers has regulated a control of UHT processing and finished products, while also stringently controlled of the production quality under suitable self-monitoring system in order to help reduce and eliminate the hazards that contaminated to consumers.

The quality assurance plays a significant role in analyzing and monitoring of such safety for consumers. And since UHT products can consume whenever they want, the inspection agency need to work against time to ensure that UHT products will be delivered to customers in time, but still maintain the good quality inspection before the products are handed to customers or consumers. However, rapidly testing report not only helps manufacturers have greater business opportunities by releasing products to the market, but it can also reduce the storage space and amount of inventory. This also helps reduce cost in overall including labor cost, inventory management cost, and business opportunity cost, and etc.

The Microorganism Analysis Method for UHT Products
In general, the method of microorganism analysis in UHT products is divided into two steps. The first step is the pre-incubation. It is an important step for UHT-based products because this system can destroy microorganisms, pathogens and food spoilage microorganisms that grow rapidly at room temperature. As a result, event there is no microorganisms left, but there may be a contamination revert back to the products. Therefore, there is required to increase the number of microbes that can be detected by microbiology method. Under the method, microorganism in UHT products will be incubated at least 5 days. The second step is the microbiological testing. Currently, there are two isolation methods including pour plate and streak plate. The methods take more than two days for examination; start with preparation, inoculation and dilution as well as incubation, which will need more than 7 days to report the microbiological testing.

A Real Labor Saver…Unattended Weighing Cuts Operating Costs

ระบบชั่งน้ำหนักอัตโนมัติ…ลดแรงงานคน ลดต้นทุนแรงงาน

โดย: บริษัท เมทเล่อร์-โทเลโด (ประเทศไทย) จำกัด
Mettler-Toledo (Thailand) Limited

Full article TH-EN

การให้บริการด้วยตนเองกำลังปฏิวัติรูปแบบการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ซึ่งนับเป็นลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลในการลดต้นทุนดำเนินการและเพิ่มอัตราผลผลิต การเพิ่มหน้าจอแบบที่งายในการทำงานด้วยตนเองเป็นวิธีการง่ายๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการบริการตนเองในขั้นตอนการชั่งน้ำหนักยานพาหนะ

เครื่องชั่งที่มีหน้าจอแบบทำงานด้วยตนเองทำให้คนขับรถสามารถประมวลผลธุรกรรมการชั่งน้ำหนักของตนเองได้ ซึ่งลดความจำเป็นในการใช้ผู้ปฏิบัติงานประจำเครื่องชั่งเพื่อทำงานง่ายๆ ในการทำรายการธุรกรรม ทั้งนี้ แม้ว่าระบบชั่งน้ำหนักแบบทำงานด้วยตนเองสามารถนำไปใช้ที่ได้ในหลากหลายสถานที่ แต่การประยุกต์ระบบนี้เข้ากับโรงงานที่มีการใช้งานหลายเครื่องชั่งดูจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงคุณสมบัติของระบบนี้

ประโยชน์ของการทำงานด้วยตนเอง
การชั่งน้ำหนักแบบทำงานด้วยตนเองให้ประโยชน์มากมาย เช่น :
• ช่วยให้ไม่ต้องมีผู้ปฏิบัติงานประจำเครื่องชั่ง
• สามารถยกเลิกด่านชั่งน้ำหนัก
• ชั่งน้ำหนักรถบรรทุกได้อย่างรวดเร็ว
• ทำงานได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

Self-service is revolutionizing the way we do business. It offers an effective strategy for reducing operating costs and increasing productivity. Adding unattended terminals is a simple way to introduce self-service efficiency to your vehicle-weighing operation.

A scale with an unattended terminal allows drivers to process their own weighing transactions. It eliminates the need to have a scale operator perform the simple tasks required to complete a transaction. Although unattended weighing systems can be used anywhere, they are especially valuable to facilities that operate multiple scales.

Unattended benefits
Unattended weighing offers a number of potential benefits:
• It eliminates the need to keep a scale operator on duty
• It eliminates the need for a scale house
• It processes trucks quickly
• It allows 24/7 operation
Your ability to realize these benefits depends on the unattended system that you buy and how it is set up. If an unattended terminal is unreliable or hard to use, it can turn into a costly bottleneck.

Maintenance costs and risks of the operator

งานบำรุงรักษากับต้นทุนและความเสี่ยงของผู้ประกอบการ

โดย: ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC)
Design & Engineering Consulting Service Center (DECC)
National Science and Technology Development Agency (NSTDA)

Full article TH-EN

เมื่อพูดถึงงานบำรุงรักษา ก็ทำให้นึกถึงงานช่างที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน การถอดประกอบที่ยุ่งยาก ซับซ้อน การแก้ปัญหาที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น การเลือกอะไหล่ทดแทนต่างๆ ให้เหมาะสม การลงทุนมากหรือน้อยที่จะเกิดขึ้น เวลาที่ต้องหยุดการผลิตและใช้บำรุงรักษา ประสบการณ์ที่มีมาจะช่วยแก้ปัญหาที่เจอได้มากน้อยแค่ไหน แล้วจะหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแก้ปัญหายากๆ นี้ได้จากที่ไหน

ความคิดเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทีมงานบำรุงรักษาจะต้องเผชิญและต้องทำให้รวดเร็ว ไม่เช่นนั้นเครื่องจักรจะไม่สามารถผลิตชิ้นงานได้ หรือทำให้ต้นทุนการผลิตสูง ธุรกิจก็จะเดินต่อไม่ได้ งานบำรุงรักษาจึงเปรียบเสมือนกับงานปิดทองหลังพระ ทำดีก็แค่เสมอตัว หากทำไม่ดีก็โดนตำหนิ

ปัญหาเรื่องเครื่องจักรที่ทุกโรงงานมีประสบการณ์
หากมองตั้งแต่ต้นกระบวนการตั้งโรงงาน คงต้องเริ่มจากการวางเป้าหมายผลิตภัณฑ์ที่จะผลิต การออกแบบกระบวนการผลิตทั้งหมด การเลือกซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ส่วนการวางแผนบำรุงรักษามักจะมาเริ่มต้นหลังจากสั่งซื้อเครื่องจักรแล้ว เปรียบแล้วเหมือนคนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ แถมหากคนออกแบบเครื่องจักรไม่มีประสบการณ์การผลิตจริงที่มากพอ การออกแบบจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคำนวณอย่างง่ายร่วมกับประสบการณ์ที่มีมา ยิ่งทำให้เมื่อมีการใช้งานเครื่องจักรก็จะเกิดปัญหาหลายอย่างตามมา อันอาจจะเป็นผลให้ทีมงานบำรุงรักษาต้องซ่อมเครื่องจักรดังกล่าวแทบจะทุกวันจนเครื่องพังไปเลยก็เคยมีมาแล้ว คงไม่มีใครอยากเจอสภาวะแบบนี้ เพราะจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายแอบแฝงจำนวนมาก เสียเวลามาก และมีความเสี่ยงทางธุรกิจสูง

When it comes to maintenance work, it calls attention to a job that is full of oil stains, burdensome and complicated assembly, problem solving endlessly, then single out the right replacement parts. It is also getting to consider more or less of an investment, length of time to shut down for maintenance. How much of an available experience can solve the problem facing? Where can we find an expertise to help solve difficult problems?

These ideas are just a part that the maintenance team will have to face and act immediately, otherwise, the machine will not be able to manufacture a workpiece. Or else, the cost of production is so high that the business will not be able to go on. Maintenance work, therefore, is like a thankless job. No praiseful if you do it, blamed if you don’t!

Machinery problems experienced by every factory
If you look at the factory process from the beginning, it has to start with the targeted products for manufacturing, the design of all production process, the machinery and equipment required. Maintenance planning usually starts after the machine is ordered. It seems like the buyer is not the one who operates the machine, whereas the operator is not the one who decides what to buy. Plus, if the machine designer does not have enough experience on actual productions, the design herein is based only on simple calculations, combined with an earning experience. As a result, many problems will be followed when the machine is running. Subsequently, the maintenance team has to repair the machine almost every day until it breaks down. Surely, no one wants to meet this situation which will cause many hidden costs, time consuming and high business risk.

“HiSo” Insects From Folk Snack to New Gen’s Snack

แมลงไฮโซ…จากสแน็กพื้นบ้านสู่อาหารว่างคนรุ่นใหม่

คุณทัดณัฐ ฉันทธรรม์
ผู้บริหารระดับสูง
บริษัท สไมล์ บูล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
Tudnat Chantathan
Chief Executive Officer
Smile Bull Marketing Co., Ltd.

Full article TH-EN

ผู้ผลิตแมลงขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์อาหารแมลงแปรรูปเชิงนวัตกรรม “แมลงอบกรอบ ตรา ไฮโซ” สไมล์ บูล มาร์เก็ตติ้ง เผยถึงโอกาสของธุรกิจและเทรนด์สแน็กในประเทศไทย โดยเฉพาะแมลงแปรรูปว่าสแน็กประเภทแมลงยังมีโอกาสเติบโตอีกมากทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

จากการที่ FAO ประกาศให้แมลงเป็นโปรตีนทางเลือกได้สร้างปรากฏการณ์ผลิตภัณฑ์อาหารจากแมลงออกสู่ตลาดในหลายประเทศ สำหรับประเทศไทยนั้นเป็นทั้งแหล่งผลิตและมีผู้บริโภคแมลงมานาน ประกอบกับปัจจุบันเทรนด์การบริโภคโปรตีนจากธรมชาติกำลังมาแรง บริษัทฯ จึงได้เห็นโอกาสและพัฒนาแมลงแปรรูปโดยเพิ่มมูลค่าสินค้าในกลุ่มนี้ให้หลากหลายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่

หนทางของแมลงจากรถเข็นสู่ซองสวย
คนไทยบางกลุ่มชอบกินแมลงทอด แต่มักเจอปัญหาคือ หาซื้อยาก ขณะเดียวกัน แมลงทอดที่ขายตามรถเข็นส่วนใหญ่มักไม่ค่อยสะอาด มีฝุ่น และใช้น้ำมันทอด คุณภาพแย่ เลยเกิดไอเดียในการทำธุรกิจแมลงทอดบรรจุซองสีสันสดใส เน้นความสะดวก พกพาง่าย สะอาด รสชาติอร่อย เน้นเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่กินแมลงทอดและกลุ่มคนที่อยากลองกินของแปลกใหม่

ในช่วงเริ่มต้นได้ใช้วิธีการทอดแมลงแบบง่ายๆ คือนำแมลงมาทอดในกระทะ ใช้น้ำมันปาล์ม จากนั้นบรรจุลงกระป๋องพลาสติก ปิดฝาอะลูมิเนียม โดยผลิตขนาด 50 กรัม และ 100 กรัม ส่งจำหน่ายตามร้านขายของฝาก ในช่วงแรกได้รับผลตอบรับไม่ค่อยดีนัก ต่อมาได้สังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่าราคาขายในปริมาณที่บรรจุนั้นสูงไปสำหรับการซื้อสแน็กกินเล่นของคนรุ่นใหม่ ภายหลังจึงได้ปรับลดขนาดจำหน่ายลง และเปลี่ยนรูปแบบบรรจุภัณฑ์กระป๋องมาเป็นซองสุญญากาศสีสันสวยงาม พกพาสะดวก เปลี่ยนกระบวนการผลิตจากห้องธรรมดาให้อยู่ภายในห้องปลอดเชื้อตามมาตรฐานการผลิต GMP ใช้เทคโนโลยีการทอดด้วยเครื่องทอดอินฟาเรด และปรับราคาให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้กระแสการตอบรับดีขึ้นจึงมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเท่าตัว

Smile Blue Marketing, the new Gen SMEs of foods and innovative snack products – edible insect snack under the brand “HiSo” revealed about the business opportunity and snack trend in Thailand in particular fried insects that this a kind of traditional snack has greater chance to grow in both domestic and overseas markets.

Following to the Food and Agriculture Organization of the United Nations (FAO)’s announcement that edible insects contain high quality protein and can be choices for human consumption. This has created new phenomena for edible insect products as many countries have launched insect-based on foods to the markets. For Thailand, it has long been a source for insect production, while people have eaten insects for so long. With rising trend that people are favor natural protein, the company has taken this opportunity to develop edible insect snack with adding value into variety products in order to meet demand of modern consumers.

A Route from Street Food to Well-packed Snack
Some Thai people like to eat fried insects, but we rarely found it. Moreover, some fried insects, which have been sold on street, are not clean, may combine with some dust, and use low quality cooking oil. Thus, I have initiated an idea to do deep-fried insects in the well-package as a business. It is portable, clean, and has good taste. Targeted markets are consumers, who like fried insects, and people who want to try something new.

How food and beverage makers can better monitor water quality Ensuring safety and quality of a facility’s water is crucial to meeting processing performance goals

ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสามารถตรวจสอบคุณภาพน้ำได้ดีขึ้นได้อย่างไร

การรักษาความปลอดภัยและคุณภาพของน้ำ…ปัจจัยสำคัญสู่ประสิทธิภาพการผลิตสูงสุด

Full article TH-EN

ส่วนประกอบสำคัญของอาหารและเครื่องดื่มส่วนใหญ่คือน้ำ แต่ก็มักถูกมองข้าม น้ำถูกใช้ในหลายส่วนตั้งแต่ทำความสะอาดไปจนถึงการผสมผสานในสูตรอาหารเป็นส่วนประกอบสำคัญ ผู้ผลิตอาจถือว่าน้ำในเขตเทศบาลที่ใช้ในโรงงานนั้นปลอดภัย แต่คุณภาพน้ำล่าสุดจริงๆ อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น

การตรวจสอบคุณภาพน้ำเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อกำหนดระดับของสารปนเปื้อนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ และยังถือเป็นการประเมินความเสี่ยงของน้ำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการผลิตในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งด้วย น้ำที่มีคุณภาพต่ำอาจทำให้เกิดรสชาติที่ไม่สม่ำเสมอในอาหารและเครื่องดื่ม และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร นอกจากนี้ น้ำที่ปล่อยออกจากโรงงานก็จำเป็นต้องมีมาตรฐานน้ำทิ้งที่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการปลดปล่อยของเสียที่กำหนดโดยหน่วยงานที่กำกับดูแลโดยเฉพาะ ดังนั้นการตรวจสอบและบำบัดน้ำของโรงงานในช่วงระยะเวลาของการใช้ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อทุกด้านของกระบวนการผลิตรวมถึงความน่าเชื่อถือของตราสินค้า

ทำไมคุณภาพน้ำจึงมีความสำคัญ?
คงไม่มีอะไรที่แพร่กระจายไปทั่วกระบวนการผลิตในอาหารและเครื่องดื่มได้มากกว่าน้ำ โรงเบียร์รู้ถึงความสำคัญของคุณภาพน้ำเป็นอย่างดี ซึ่งน้ำเป็นส่วนประกอบหลักในส่วนผสม และแม้ว่าจะไม่ได้ใช้เป็นส่วนประกอบ แต่โรงงานส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาน้ำเพื่อการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อหรือใช้เพื่อสร้างความร้อน

foodengineeringmag.com
A key component of most food and beverage processing is water, yet it is often overlooked. Water is used in many parts of the facility, from cleaning to its incorporation in recipes as an essential ingredient. Processors might assume the municipal water used in the plant arrives safely, but recent water quality scares.

Monitoring water quality is necessary to determine impurity levels that could impact the plant’s end product, and if the water is posing any risks to the operations. Depending on its use, low-quality water can potentially produce off-tastes and inconsistencies in food and beverage products to causing equipment damage. Once used, the water leaving the plant must meet discharge limits set by regulatory bodies. Thus, the monitoring and treatment of a plant’s water for its duration of use should be carefully considered, as it can affect all aspects of the processing operations, including brand integrity.

Why water quality matters?
There might not be anything more ubiquitously used in food and beverage processing than water. Breweries already know the importance of water quality, where it is the main component in a short list of ingredients. Even if it isn’t used as an ingredient, most plants heavily rely on water for cleaning and sanitizing or use it for generating steam.

R&D Directions to Target Lactose Intolerance Consumers

แนวทางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากนมสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส

By: Berli Jucker Public Co., Ltd.

Full article TH-EN

อาการแพ้น้ำตาลแลคโตสหรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Lactose intolerance เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสซึ่งพบได้ทั่วไปในน้ำนมสัตว์ได้ ส่งผลให้จุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารนำน้ำตาลดังกล่าวไปใช้ในการสร้างกรดแลคติกและแก๊ส ทำให้มีการดึงน้ำเข้ามาในลำไส้และเกิดการเคลื่อนตัวของลำไส้อย่างรวดเร็ว :ซึ่งทำให้ผู้บริโภคที่มีภาวะนี้เกิดอาการแน่นท้องจากแก๊สและท้องเสียในลำดับถัดมา (Franz, 2000)

อาการ Lactose Intolerance สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ
1. เกิดจากพันธุกรรม ประกอบด้วยกลุ่มผู้ที่ขาดเอนไซม์แลคเตสตั้งแต่แรกเกิด และกลุ่มผู้ที่มีภาวะพร่องของเอนไซม์แลคเตส
2. ไม่เกิดจากกรรมพันธุ์ จะเกิดได้หลังจากที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อในลำไส้เล็กและมีการอักเสบของลำไส้เล็กแบบเรื้อรัง

จากงานวิจัยจะพบผู้มีอาการ Lactose intolerance ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียและยุโรปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งพบเพียงร้อยละ 3-8 ส่วนในยุโรปตอนใต้และตะวันออกกลับพบได้มากถึงร้อยละ 70 โซนอเมริกาจะพบในคนผิวขาวร้อยละ 15 คนเม็กซิกัน ร้อยละ 53และคนผิวดำเกือบร้อยละ 80 สำหรับในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์พบได้ประมาณร้อยละ 6 และ 9 ตามลำดับ ในประเทศแถบแอฟริกาและเอเซีย โดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะพบผู้ที่มีอาการนี้ได้สูงถึงเกือบร้อยละ 100 สำหรับประเทศไทย พบว่ามีประชากรไทยถึงร้อยละ 98 ที่อยู่ในภาวะนี้ (Franz, 2000 และ Heyman, 2006)

“Lactose intolerance” is a condition in which people body cannot digest lactose, which is normally found in milk and dairy products. It causes microorganisms in the gastrointestinal tract used lactose for producing lactic acid and gas, resulting to water absorbing to intestine with rapid move: this cause consumer has digestive symptoms such as bloating and gas, and diarrhea, respectively. (Franz, 2000)

Symptom of Lactose Intolerance can be divided into two types:
1. Genetic background: people who lack of lactase enzymes since their birth, and have lactase deficiency.
2. Not from inherited: it occurs after the patient has an infection in the small intestine and chronic inflammation of the small intestine.

The research found people live in the Scandinavian and North Western Europe have lowest rate of lactose intolerance, which has only 3-8 per cent. In the Southern and Eastern Europe, it found 70 per cent of people in the region have lactose intolerance. In America, it found 15 per cent of Caucasian people, 53 per cent of Mexican, and 80 per cent of Nigro has lactose intolerance, while lactose intolerance can be found by about 6 per cent in Australia and 9 per cent in New Zealand, respectively. In Africa, and Asia regions, in particular on the Southeast Asia, people with this symptom can be found as nearly as 100 per cent. In Thailand, about 98 percent of the country’s population has this symptom. (Franz, 2000 และ Heyman, 2006)

2017 Sales of Shipment Packaging to Reach THB 5.6 Billion Buoyed by E-Commerce

บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งรับอานิสงส์ E-Commerce รุ่งสร้างมูลค่าตลาด 5,600 ล้านบาท ในปี 2560

โดย/By: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
Kasikorn Research Center
www.kasikornresearch.com

Full article TH-EN

ภายใต้กระแสการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ที่กำลังเติบโตสูง เนื่องจากตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการซื้อสินค้าที่สะดวกทั้งทางด้านการสั่งซื้อ การชำระเงิน และการรับมอบสินค้า รวมถึงได้สินค้าในราคาต่ำกว่าการซื้อผ่านคนกลางหรือร้านค้าทั่วไป ประกอบกับการเข้ามาของผู้ประกอบการ E-Commerce รายใหญ่ทั้งจากในประเทศและจากต่างประเทศ ที่เข้ามาให้บริการธุรกิจซื้อขายออนไลน์ประเภท E-Marketplace ส่งผลให้เกิดความมั่นใจทั้งทางด้านผู้ซื้อและการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตสินค้าสนใจเข้ามาซื้อขายในตลาดออนไลน์เพิ่มขึ้น

ธุรกิจ SMEs มีข้อได้เปรียบของช่องทางดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว การลดต้นทุนดำเนินการ ทั้งต้นทุนหน้าร้าน ต้นทุนค่าจ้างแรงงานพนักงานขาย รวมถึงสามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง จนทำให้จำนวนผู้ประกอบการและปริมาณสินค้าที่นำมาขายในระบบออนไลน์มีความหลากหลายทั้งทางด้านประเภทสินค้า รวมถึงความหลากหลายของผู้ผลิตในสินค้าประเภทเดียวกัน ที่ทำให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบคุณลักษณะและราคาสินค้าเพื่อตัดสินใจซื้อได้

จากปัจจัยดังกล่าว เป็นโอกาสของผู้ประกอบการบรรจุภัณฑ์ที่น่าจะสามารถขยายบทบาทการผลิตบรรจุภัณฑ์จากเดิมเป็นบรรจุภัณฑ์เพื่อการขายปลีกและส่ง จากผู้ผลิตไปถึงร้านค้าคนกลาง (Business to Business; B2B) ซึ่งมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่ติดไปกับสินค้าทั้งชั้นแรกหรือขั้นปฐมภูมิ1 (Primary packaging) และบรรจุภัณฑ์ชั้นนอกหรือทุติยภูมิ2 (Secondary packaging) ไปสู่บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง จากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง (Business to Consumer; B2C) หรือบรรจุภัณฑ์ตติยภูมิ3 (Tertiary packaging) เช่น กล่องกระดาษแข็ง กล่องพัสดุไปรษณีย์ รวมถึงถุงพลาสติก ที่กำลังเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการผลิตเพื่อตอบสนองผู้ประกอบการ E-Commerce รายกลางและรายเล็ก หรือ SMEs ที่มีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการสินค้าพื้นเมืองในท้องถิ่น อาทิ OTOP ซึ่งหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการกระจายสินค้ามากขึ้น

Since e-Commerce responds well to new generation lifestyles, this business model has been growing rapidly. E-Commerce offers convenience in shopping, payment and delivery, and sometimes lower prices than goods bought at physical shops. The entry of large e-Commerce operators, Thai and transnational, into the e-marketplace has hastened greater confidence toward shopping online while also attracting manufacturers to try out this new distribution system.
SMEs, in particular, have become interested in online trade because they are now recognizing its advantages in swift and wide-ranging customer access, reduced costs versus physical shops, as well as fewer hired staff, plus 24-hours/day trade capability. The sheer volume of e-Commerce operators is large and has continued to increase; product availability online has surged in many categories enhancing choices, thus allowing buyers to better compare and choose what best suits them.
This new paradigm could be an opportunity for packaging businesses to advance over traditional retail and wholesale B2B commerce – i.e., primary and secondary packaging – toward B2C shipment packaging also referred to as tertiary packaging, e.g., paper cartons, postal packaging and plastic bags that are now looking very upbeat. Such new products cater to the many SMEs e-Commerce operators now, for example, OTOP firms here that are using online channels to distribute their goods.

Origami…Style and Strength for PET

ศิลปะออริกามิกับการดีไซน์บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม

By: Krones

Full article TH-EN

ศิลปะและความล้ำลึก: ออริกามิ (Origami) นับเป็นทักษะการพับกระดาษที่ใช้สร้างงานศิลปะหลากหลายรูปทรงหลากหลายมิติ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่ทราบกันดีว่างานศิลปะมากมายจากการพับกระดาษในสไตล์นี้ให้ทั้งความสวยงามและสามารถสร้างความประทับใจแก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ การทำออริกามินั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงศาสตร์ด้านศิลปะเพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งถูกนำมาผสมผสานให้เข้ากันเพื่อสร้างสรรผลงานที่สุดยอดขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนนอกจากความสวยงามของผลลัพธ์ก็คือ โครงสร้างที่มั่นคงของงานศิลปะที่มาจากการพับแผ่นกระดาษบางๆ นอกจากนี้ ผลงานแต่ละชิ้นยังมีความแข็งแรงมั่นคงต่อสภาวะภายนอกที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานที่เลือกนำมาใช้ เช่น การพับบางเทคนิคอาจให้ความแข็งแรงและเสถียรต่อพื้นผิว ในขณะที่บางเทคนิคอาจสร้างความยืดหยุ่นต่อสภาวะแวดล้อมให้ชิ้นงาน

การสร้างบรรจุภัณฑ์ที่รวมทั้งความแข็งแรงและความสวยงามไว้ด้วยกัน นับเป็นความท้าทายที่นักออกแบบภาชนะบรรุจภัณฑ์ต้องเผชิญอยู่แทบทุกวัน ซึ่งล่าสุดจากการทำโครงการวิจัยร่วมกันของหน่วยงานเอกชนและนักศึกษา ที่ได้นำแนวคิดออริกามิ ซึ่งใช้กับกระดาษมาใช้ในการผลิตขวดพลาสติกนั้นก็สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ หลักการพับกระดาษเดียวกันนี้ถูกนำมาใช้ในการสร้างขวด PET ที่ขึ้นรูปด้วยเครื่องเป่าขึ้นรูปรูปขวดในระดับอุตสาหกรรมซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้น ก็คือ ขวดภาชนะบรรจุอัจฉริยะ1 ที่สามารถบีบได้ซึ่งมีไอเดียการออกแบบมาจากออริกามิ นั่นเอง

คอนเซ็ปต์การดีไซน์ครั้งนี้ มีแนวคิดมาจากการพับที่ทำให้นึกถึงเครื่องดนตรีที่เรียกว่า แอคคอร์เดียน แล้วเติมเต็มด้วยการนำการพับออริกามิมาประยุกต์ ซึ่งนอกจากขวดอัจฉริยะจะสามารถเติมผลิตภัณฑ์ใส่ขวดได้อย่าง่ายดายแล้ว ยังสามารถบีบแบนให้ของเหลวภายในนั้นไหลออกจนหยดสุดท้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งแนวคิดของขวดภาชนะบรรจุอัจฉริยะ1 นี้ค่อนข้างเหมาะกับผลิตภัณฑ์ของเหลวที่มีความข้นหนืดสูงเช่น ซอส ท็อปปิ้งชนิดต่างๆ ที่ผลิตเพื่อใช้ในงานบริการอาหาร สแน็คบาร์ หรือในงานอีเว้นท์ใหญ่ๆ

Artistic and sophisticated: origami is the skill of folding a simple sheet of paper into a veritable work of art – and the multidimensional objects created by this Japanese mode of dexterity are authentic eye-catchers. However, origami embodies not only art, but science as well. Because ingenious folding creates stable structures out of a thin sheet of paper. These objects react differently to external stresses, in particular, depending on the basic structure involved: whereas some folding techniques render the surface more stable, others enhance its flexibility.

Creating a container that combines a stable shape with a striking visual design – this is the daily challenge faced by the container design experts. In a students’ research project conducted in conjunction with a private company, the idea behind origami was transferred from paper to plastic. The same folding principle is then tasked with creating PET containers that can be produced in a stretch blow-moulding process. The result is an intelligent pouch1 – a squeeze container based on the principle of origami.

The design study’s innovative container concept is in purely visual terms reminiscent of an accordion – and utilises the latter’s folding principle: this enables the contents to be dosed neatly. The container can be effectively compressed and emptied completely. Specifically, the an intelligent pouch1 concept could be ideally suited for highly viscous foods, such as sauces and toppings, of the kinds used in catering outlets, snack bars, and at large-scale events.

The shape and handling of this intelligent pouch1create numerous advantages. In conventional sauce dispensers, for example, the product is mostly propelled by elaborate pump mechanisms. The individual components of these pumps are continuously in contact with the contents, are not at all easy to clean, and for reasons of hygiene have to be disinfected at least every 14 days.

Wageningen University…Driving Force Behinds the Netherlands’ Food Industry

มหาวิทยาลัยวาเกนนิงเก้น…กลจักรสำคัญขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารเนเธอร์แลนด์

โดย: กองบรรณาธิการ
นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

เนเธอร์แลนด์เป็นเพียงประเทศเล็กๆ บนพื้นที่ 41,543 ตารางกิโลเมตร ทางตอนเหนือของภูมิภาคยุโรปตะวันตก แต่กลับเป็นประเทศที่ส่งออกผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และมีส่วนแบ่งตลาดของสินค้าเกษตรและอาหารทั่วโลกสูงถึงราวร้อยละ 7.5

วิวัฒนาการด้านการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของเนเธอร์แลนด์นั้นมีความเป็นมาที่ยาวนาน โดดเด่นด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ซึ่งนับเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยเฉพาะความรู้ทางด้านวิชาการจากมหาวิทยาลัยวาเกนนิงเก้นที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยด้านการเกษตร อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อันดับ 1 ในยุโรป จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดทางด้านการเกษตรและป่าไม้ของ QS World University Rankings ในปี 2557

ประเทศชั้นนำด้านอุตสาหกรรมเกษตร
การส่งออกสินค้าเกษตรของเนเธอร์แลนด์ในปี 2558 มีมูลค่าสูงถึงราว 82,400 ล้านยูโร โดยประเทศปลายทางของสินค้าส่วนใหญ่ (ราวร้อยละ 77) คือ กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป โดยมีเยอรมนีเป็นประเทศปลายทางหลัก สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ไม้ประดับ (มูลค่าการส่งออก 8,100 ล้านยูโร) เนื้อสัตว์ (8,000 ล้านยูโร) ผลิตภัณฑ์จากนม (7,700 ล้านยูโร) ผักและผลไม้ (6,100 ล้านยูโร) และน้ำมันและไขมัน (4,900 ล้านยูโร)

ส่วนแบ่งด้านเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมเกษตรและการปศุสัตว์ของเนเธอร์แลนด์ คิดเป็นราวร้อยละ 9 ของมูลค่าเศรษฐกิจมวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Products; GDP) โดยในปี 2557 มีภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมดังกล่าวถึง 65,505 ราย ขณะที่ 8 บริษัท จากทั้งหมด 25 บริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศยังเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งหมดก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณร้อยละ 8.8 ของทั้งประเทศ

The Netherlands is a small country with an estimated 41,543 square kilometers of land, located in the north of Western Europe. However, despite its size, it is the globe’s second largest export of agricultural products, only after the United States. Its share in world food and agricultural market is as high as 7.5%.

The evolution of Dutch food and agricultural products has a long journey, driven distinguishably by the cooperation from the public sector, the private sector and academic institution. Wageningen University is also considered a crucial player in food and agricultural sector. In 2014, the university was named No.1 University in agriculture and forestry by QS World University Rankings.

Global Leader in Agri-Food Industry
Holland’s agricultural exports in 2015 worth € 82.4 billion, and most of the products (77%) delivered to the European Union (EU) with Germany as the biggest importer. Prominent exports include ornamental plants (€ 8.1 billion), meat (€ 8 billion), dairy products (€ 7.7 billion), fruit and vegetable (€ 6.1 billion) and fat and oil (€ 4.9 billion).

The agricultural and livestock industry accounts for about 9% of the country’s GDP. As of 2014, there are more than 65,505 small and medium size businesses in food industry, and 8 out of 25 Dutch large-scale companies are also operating in the sector. In total, Dutch agriculture and livestock account for about 8.8% of the country’s total employment.