สัตวแพทย์ย้ำไก่เนื้อได้มาตรฐานโลก ระบุคลิปฉีดวัคซีนให้ไก่ไม่ใช่ของไทย ชี้กระบวนการโบราณกว่า 40 ปี

น.สพ.สุเมธ ทรัพย์ชูกุล เลขาธิการสัตวแพทยสภา และนายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสัตว์ปีก เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอแสดงกระบวนการผลิตไก่โดยใช้สารบางอย่างฉีดเข้าไปในตัวไก่นั้น สมาคมฯ ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า ไม่ใช่การเลี้ยงไก่ของประเทศไทยอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมอาหารของไทย มีการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตตามหลักอาหารปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล ตรวจสอบย้อนกลับได้ ตลอดกระบวนการมีการกำกับดูแลโดยเฉพาะด้านการใช้ยาและวัคซีน โดยสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มและสัตวบาลประจำฟาร์ม เพื่อให้การจัดการเป็นไปตามมาตรฐาน ถูกต้องตามหลักการณ์ และถูกกฎหมาย ตามข้อกำหนดของกรมปศุสัตว์และลูกค้า ทำให้สินค้าเกษตรของไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไก่เนื้อไทยที่สามารถส่งออกเนื้อไก่ไปยังต่างประเทศ โดยมีคู่ค้าที่สำคัญทั้งสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง ที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในอาหาร

“คาดว่าคลิปดังกล่าวน่าจะเป็นคลิปเก่ามาก เป็นกระบวนการที่โบราณมากกว่า 40 ปี โดยปัจจุบันไม่มีผู้ประกอบการหรือเกษตรกรที่ใช้กระบวนการเช่นนี้ เพราะไม่เพียงเสียเวลาและแรงงานเท่านั้น ยังไม่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลและหลักสวัสดิภาพสัตว์ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในเมืองไทย ขอผู้บริโภคอย่าตื่นตกใจกับคลิปดังกล่าว และขอให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ที่ผลิตในระดับอุตสาหกรรมมีความปลอดภัย ปราศจากสารตกค้างต่างๆอย่างแน่นอน” น.สพ.สุเมธ กล่าว.

น้ำตาลมิตรผล จุดพลุเปิดตัวน้ำตาลอ้อยธรรมชาติ โฉมใหม่ ในถุงกระดาษ

กรุงเทพฯ 19 มกราคม 2562 –

น้ำตาลมิตรผล ผู้ผลิตน้ำตาลรายแรกของไทยที่ได้รับการรับรองระบบคุณภาพมาตรฐานโลก BONSUCRO® น้ำตาลเจ้าแรกที่ใช้บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เปิดตัวน้ำตาลอ้อยธรรมชาติ โฉมใหม่ ในถุงกระดาษ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “น้ำตาลอ้อยธรรมชาติ ในบรรจุภัณฑ์จากธรรมชาติ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ” โดยด้านนอกของบรรจุภัณฑ์ทำจากกระดาษคราฟ ด้านในป้องกันความชื้นด้วยพลาสติกชีวภาพชนิดพิเศษที่ผลิตจากพืช สามารถย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติได้ในสภาวะปุ๋ยหมักโดยไม่ต้องพึ่งพาโรงย่อยสลายอุตสาหกรรมแต่อย่างใด และไม่ทิ้งสารพิษตกค้างทำลายสิ่งแวดล้อม จึงถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ปัจจุบันปัญหาภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงมากขึ้น พลาสติกนับเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่เร่งการเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปทั่วโลกทั้งในระบบนิเวศทางทะเลและบนบก
ซึ่งประเทศไทยติดอันดับ 6 ประเทศที่มีปริมาณขยะพลาสติกในทะเลมากที่สุดในโลก จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา สะท้อนถึงปัญหาที่ทุกภาคส่วนต้องหันมาร่วมกันใส่ใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า “จากปัญหาปริมาณขยะพลาสติกของโลกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง กลุ่มมิตรผลในฐานะองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทยมากว่า 60 ปี จึงตระหนักและให้ความสำคัญกับการจัดการในทุกกระบวนการผลิตที่ใส่ใจดูแลทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด ภายใต้แนวคิด ‘สร้างคุณค่า
สร้างอนาคต’ การเปิดตัวแพคเกจจิ้งใหม่ครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของกลุ่มมิตรผล ที่เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลปกป้องโลกใบนี้ของเราให้น่าอยู่ต่อไป”

Brewing Conference Bangkok 2019 Premium Event for the Brewing Industry in South East Asia

Berlin/Bangkok, Janaury 2019

For the 5th time the Thailand Beer Industry Guild (TBIG) and the VLB Berlin are jointly organising the Brewing Conference Bangkok. This premium event takes place at the Bangkok International Trade and Exhibition Centre (BITEC) in Bangkok, Thailand, from 9 to 11 June 2019.

The Brewing Conference Bangkok is addressed at managers, brewers and leading technical staff from production, filling and quality assurance of breweries and soft drink producers in South East Asia. Conference language is English.

The general headline of this year is “D-ERA: Disrupt / Digital / Diversify / Development – Chances and Challenges for the Asia Pacific Brewing Industry”. The conference will focus on trends, new products and the challenges for production, filling and packaging caused by steadily growing product portfolios, the rapid development of digitalization and changing consumer expectations. A special highlight this year will be the technical visit to the new enlarged Khmer Brewery in Phnom Penh, Cambodia, on the first conference day.

The presentations will be held by representatives from the region’s major breweries and specialist equipment suppliers along with leading specialists from the VLB Berlin, a renowned brewing research institute from Germany. This panel of experts will provide ideas, solutions and case studies on how a brewery today can face the challenges of the increasing product diversity in beer and beverages. The focus will be on the whole supply chain of beer production including process optimization, sustainability, brewing technology, product development and quality aspects. In addition, the conference programme includes an attractive social programme at Monday and Tuesday evening.

The previous Brewing Conference Bangkok, which took place in Bangkok in 2017, was a great success attracting more than 300 delegates from the regions’ brewing industry. Major sponsors of the conference are Krones, Ecolab, Pentair, Sidel and Ziemann Holvrieka. Additional support comes from Boon Rawd Brewery and Khmer Beverages.

More information about the Brewing Conference Bangkok 2019 is available at www.brewingconference.com

French Pavilion at VIV Asia 2019…Meet the French Expertise

ฝ่ายการพาณิชย์ ประจำสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย (Business France) ขอเรียนเชิญท่านเข้าชมพาวิลเลี่ยนของประเทศฝรั่งเศส ในงาน VIV Asia 2019 ที่จะจัดขึ้น ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ในวันที่ 13 – 15 มีนาคม 2562 นี้

ภายใน Hall 98 และ 104 ท่านจะได้พบกับบริษัทชั้นนำจากประเทศฝรั่งเศส 49 บริษัท ซึ่งพร้อมที่จะนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านปศุสัตว์ และร่วมเจรจาธุรกิจกับบริษัทผู้ประกอบการของไทย โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเปิดตลาดในประเทศไทย เพื่อหาผู้ที่สนใจจะเป็นตัวแทนนำเข้าหรือจัดจำหน่ายสินค้า รวมไปถึงความร่วมมือในด้านอื่นๆ

เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านต่างๆ ของบริษัทภายในพาวิลเลี่ยนประเทศฝรั่งเศส เช่น การผลิตและพัฒนาอาหารสัตว์ อาหารเสริม รวมทั้งอาหารที่มีสรรพคุณทางยา การจัดการและบริการด้านการเลี้ยงสุกร การออกแบบฟาร์มและโปรแกรมการให้อาหาร ความเชี่ยวชาญด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ในการเลี้ยงสัตว์ การพัฒนาพันธ์ปศุสัตว์ การผลิตและบริการด้านสุขอนามัยของสัตว์ และการจัดการด้านเทคนิคและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือทำนัดหมายล่วงหน้ากับบริษัทฝรั่งเศสได้ที่ คุณวิไลลักษณ์ หลักดี แผนกพัฒนาการลงทุนด้านสินค้าเกษตรและอาหาร ฝ่ายการพาณิชย์ ประจำสถาน-เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย (Business France)
อีเมลล์ : wilailak.lakdee@businessfrance.fr โทร: 02 627 2180 แฟ็กซ์: 02 627 2190 เว็บไซต์: www.businessfrance.fr

Business France, Trade Commission of the French Embassy in Thailand, would like to invite you to visit French Pavilion in trade exhibition VIV Asia 2019 that will be held from 13 – 15 March 2019 at Bitec Bangna.
At Halls 98 & 104, you will be meeting 49 leading companies from France who are specialized in livestock industry. They will showcase their expertise and innovation from different areas. French companies are particularly well known for their high standard quality service and their use of new technologies and innovations which correspond to the current Thai market expectations.
Areas of technologies and innovations of French companies in the trade show are Production and development of animal nutrition including medicinal feed additives, Management and service in production, farm project design and nutrition programs, Animal identification solutions, Animal reproduction biotechnologies, Livestock equipment and feeding systems, etc.

If you might be interested to have more information or want to make an appointment with French exhibitors, please contact Ms. Wilailak LAKDEE – Trade Advisor of Agrotech Department Business France – Trade Commission of French Embassy in Thailand Email : wilailak.lakdee@businessfrance.fr Tel : 02 627 2180 Fax : 02 627 2190 Website: www.businessfrance.fr

Ad-hoc Disclosure: Interroll Records Significant Growth Once Again

Sant’Antonino, Switzerland, 21 January 2019 – Conveyor technology expert Interroll again experienced significant growth in the 2018 financial year: Orders received rose to CHF 592.6 million (+29.4% compared with previous year), and net sales rose to CHF 560.1 million (+24.3%). In terms of net profit margin, an above-average improvement of at least 30% is expected. The Group will start the 2019 financial year confidently with full order books.

With a record value of CHF 592.6 million, the orders received in 2018 were up 29.4% on the previous year’s value (+27.9% in local currency). Thanks in part to a large order in South Korea, the Asian-Pacific region had above-average growth (+49.5%).

Boosted by a particularly strong Q3 and Q4 in 2018, net sales increased by 24.3% to a new high of CHF 560.1 million (+22.9% in local currency). The biggest growth driver is the Conveyors & Sorters product group (up 54.7% on the previous year). Interroll’s innovative platform-based solutions and services as well as a continuous and robust demand, especially from the postal, logistics and e-commerce sectors, support this positive dynamic.

In terms of net profit margin, the company anticipates an increase of at least 30% compared to the previous year.

“The above-average improvement in results can primarily be explained by the strong increase in sales, our highly disciplined cost and investment management and our globally implemented improvements in productivity,” explains Daniel Bättig, Chief Financial Officer at Interroll Holding AG, adding “The Group will start the new financial year of 2019 confidently with full order books.”

The full annual report for 2018 with the final audited figures will be presented at the annual results media conference on March 22, 2019 in Zurich, Switzerland.

ISM 2019: More space, more themes, more inspiration

The countdown is on: From 27 to 30 January 2019, the leading global trade fair for sweets and snacks will once again be bringing the supply and demand together at a worldwide level.

Around 1,660 exhibitors from 76 countries will present the whole world of sweets and snacks to the international trade audience on 120,000 square metres of exhibition space. As such the exhibition space has increased once again by a further 8,500 square metres, because in addition to the previous seven halls, ISM is also being staged in Hall 3.1. At 86 percent, the anticipated share of foreign exhibitors remains to be very high and demonstrates the international alignment of the sweets and snacks industry. ProSweets Cologne – the international supplier fair for the sweets and snacks industry with around 330 exhibitors – will once again be staged parallel to ISM. Together both trade fairs cover the entire value chain in the production of sweets and snacks, a unique constellation worldwide.

Traditionally, both market leaders as well as medium-sized and smaller companies participate at ISM. Germany is strongly represented again. The most famous participating companies and brand names include among others Brandt, Coppenrath Feingebäck, Genuport, Griesson – de Beukelaer, Halloren, Hans Riegelein, Kalfany, Katjes, Krüger, Kuchenmeister, Lambertz, Mederer/Trolli, Niederegger, Ragolds, Ritter, Rübezahl, Seeberger, The Lorenz Bahlsen Snack-World, Wawi and Zentis.

Once more numerous companies from abroad are taking part such as Baronie, Barry Callebaut, Guylian and Neuhaus from Belgium, Dan Cake and Toms Confectionery from Denmark, Cémoi from France, Ion from Greece, ICAM, Loacker and Sperlari (new) from Italy, Colombina from Colombia, Crown Confectionery (new) from Korea, Kras Food Industries (new) from Croatia, Barcel and Canel’s from Mexico, the returnee exhibitor Cloetta from the Netherlands, Manner from Austria; Millano and Wawel from Poland, United Confectionery from Russia, Camille Bloch, Kambly and Ricola from Switzerland, Orkla Confectionery & Snacks from Sweden, Fini Golosinas, Natra, Valor and Vidal Golosinas from Spain, the Elvan Group and Sölen Cikolata from Turkey, Thornton’s and Walkers Shortbread from Great Britain as well as ABK Confectionery and Roshen from the Ukraine.

Because they grant the many smaller and medium-sized companies access to buyers from all over the globe, the country pavilions are of great significance at ISM. At the coming ISM the following country pavilions are present Belgium (Brussels, Flanders, Wallonia), Brazil, the People’s Republic of China, Denmark, Finland, France, Greece, Hong Kong, Ireland, Italy (Italy, South Tyrol, Arezzo), Canada (new), Lithuania, the Netherlands, Austria, Poland, Sweden, Switzerland, Spain (Spain, Catalonia), the Czech Republic, Turkey, the Ukraine, the USA and the United Kingdom.

ISM will next year also once again be offering diversified product segments and will pick up on the industry’s current trends. Alongside the traditional product groups, such as sweets and snack items ranging from chocolate products and confectionery through to ice cream, the industry’s leading trade fair will also be presenting segments that focus on the themes snacking, to-go items, breakfast as well as coffee and gourmet products. These also include the New Snacks section in Hall 5.2. that was introduced five years ago. Here 45 exhibitors from 17 countries will be presenting among others fruit, vegetable and breakfast snacks, jerky and meat snacks, sandwich spreads as well as protein and energy bars.

In the Cologne Coffee Forum in Hall 5.2, coffee manufacturers and roasting companies will demonstrate how sweets, biscuits as well as coffee, tea or cocoa can be put together to form tasty combinations. Lectures, workshops and best practice seminars round of the programme in this section.

Furthermore, for the seventh time, ISM is offering established companies that are exhibiting at ISM for the first time the opportunity to present themselves to the international buyer’s market in the Newcomer Area. With a total of 13 companies the allocated space in Hall 11.1 is already fully booked.

The New Product Showcase in Hall 2.2. has established itself as an appealing attraction for all decision-makers. A high-quality special exhibition gives the visitors the targeted opportunity to learn about the new products of the sweets and snacks industry. In more than 130 display cases, the exhibitors of ISM will present products that have been developed after ISM 2018.

Trends and new products with added value – Trend Court@ISM
The Start-up Area located in the Trend Section of Hall 5.2. is the place for innovations. 17 companies will be presenting their products and concepts to the broad trade audience at ISM 2019. Furthermore, as usual Innova Market Insights will be presenting the industry’s trends in a new location in Hall 5.2. and will thus grant insights into the latest developments for sweets and snacks. In this connection Innova Market Insights will be organising trend presentations three times a day in the scope of the Expert Stage.

Sweet Kitchen@ISM – the new showroom of ISM – Interesting live shows on the theme sweets will be held for the first time in the new Sweet Kitchen@ISM section in Hall 3.1. Here visitors have the opportunity to experience the production process of different types of sweets in a relaxed atmosphere – from making bonbons through to the filling and decoration of macaroons.

Halal an ongoing trend – After the successful premiere at ISM 2017, the Halal Infopoint will once again in 2019 take place at a central location on the Central Boulevard. Here, globally operating dealers and manufacturers of sweets and snacks have the opportunity to present their products clearly in a central location because the significance of Halal continues to increase on the German and European retail food market.

Award-winning moments – The highlights of ISM include the presentation of the ISM Award for exceptional services within the sweets and snacks industry as well as the selection of the winners of the New Product Showcase on 27 January 2019.

Parallel to ISM, the visitors to ProSweets Cologne can inform themselves about the complete range of supplies for the sweets and snacks industry: from innovative ingredients, to pioneering packing solutions, through to optimised production technologies.

www.ism-cologne.com

FRUIT LOGISTICA Presents Healthy Variety on the Convenience and Organic Routes Save the Date: 6-8 February 2019

 

Berlin, 17 January 2019

Consumer demand for convenience and organic foods has steadily risen over the past years. At this year’s FRUIT LOGISTICA, countless exhibitors from both segments will be presenting their products along the Convenience and Organic Routes. Buyers, trade visitors and other interested parties can compile individual routes from the pool of participating exhibitors, thereby preparing their trade fair visit in the most effective way.

“With the Convenience and Organic Routes, FRUIT LOGISTICA has created a tool that enables trade visitors to obtain a well-founded overview of what the market is offering in the fields of organic and fresh convenience products. Only certified organic exhibitors and established manufacturers of convenience products are represented along these routes”, explains Madlen Miserius, Senior Product Manager at FRUIT LOGISTICA.

According to a study conducted by Zion Market Research, worldwide sales of organic foods are expected to nearly triple by the year 2024, reaching a total value of $323 billion. Organic fruit and vegetables will constitute a large share of this increase. The same applies to the fresh convenience product segment, where convenience foods in general are expected to see an increase in revenues. The Asian market in particular has experienced rapid growth over the past years. China and India recorded revenues of over $20 billion. But the USA remains the global frontrunner, with revenues of over $40 billion. In Europe, the UK in particular is focused on ready-to-eat foods. But the consumption of convenience products has also increased in Germany, with revenues of $6 billion in 2018. This corresponds to a per capita consumption of over 70 kg. (Statista 2018)

Exhibitors from these two segments can be found in the Virtual Market Place and searched using “Convenience” and “Organic” as keywords. Trade visitors can use this resource online and, based on their particular interests, even compile an individual schedule for the fair beforehand.

FRUIT LOGISTICA exhibitors featuring convenience and/or organic products can register to participate in the Convenience and/or Organic Route through the end of January 2019. Further information is available here; www.fruitlogistica.com

สวทน. และ มก. ลุยเร่งพัฒนากำลังคนด้านวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมอาหาร

กรุงเทพฯ, 9 มกราคม 2562 – สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงานแถลงข่าวโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอาหารอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาบุคลากรเฉพาะทางและการถ่ายโอนความรู้ข้ามพรมแดน (Sustainable Economy Driving of Food Industry by Specialized Personnel Development and Cross Border Knowledge Transfer) ณ ห้องประชุมกำพล อดุลวิทย์ อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เผยเป็นกิจกรรมรูปแบบใหม่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด และส่งเสริมการเร่งพัฒนากำลังคนด้านวิจัยและพัฒนาของอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมเกษตรให้เกิดความยั่งยืน ผ่านการถ่ายโอนความรู้เชิงลึกและนวัตกรรมขั้นสูงจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศในเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร และมาถ่ายทอดสู่ภาคอุตสาหกรรมไทยต่อเนื่อง

ผศ. ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านนโยบายนวัตกรรมการพัฒนากำลังคน สวทน. เปิดเผยว่า จากตัวเลขในปี 2560 อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทยมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 3 ล้านล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการในรูปแบบบริษัทจดทะเบียนรวมประมาณ 8,500 ราย ทั้งนี้ หากรวมจำนวนบริษัทผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กคาดว่าจะมีจำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 30,000 ราย โดยประเทศไทยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป (Agro-manufacturing products) สูงถึง 25,872 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 878,102 ล้านบาท ทั้งนี้ เฉพาะหมวดอาหารและเครื่องดื่มมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 16,882 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 572,998 ล้านบาท

จากมูลค่าการส่งออกที่ค่อนข้างสูงนี้ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอาหารในลำดับต้นๆ ของโลก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอาหารในประเทศยังคงประสบปัญหาหลายด้านที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนในตลาดโลก ซึ่งปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือ การขาดการพัฒนาบุคลากรและการถ่ายโอนความรู้ที่ทันสมัยอย่างทันท่วงที รวมถึงขาดการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เชิงลึกและเทคโนโลยีเฉพาะทางเพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี รวมถึงมีข้อจำกัดในเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสถานประกอบการทั้งในและต่างประเทศก็ประสบปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะทางเช่นกัน โดยเฉพาะองค์ความรู้เชิงลึกที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ การใช้ความดันสูงในการแปรรูปอาหาร การใช้เทคนิคโอห์มมิค เป็นต้น ตลอดจนยังขาดความเข้าใจและการเข้าถึงการวิเคราะห์ตรวจสอบเชิงลึกที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาให้สินค้ามีมาตรฐานในระดับสากล ซึ่งการที่จะพัฒนาให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารของไทยสามารถวิจัยและพัฒนาสินค้าอาหารที่มีนวัตกรรมสูงขึ้นโดยการใช้เทคโนโลยีการแปรรูปขั้นสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า รวมถึงสามารถแก้ปัญหา ขจัดอุปสรรคทางการค้าจากการกีดกันด้านมาตรฐานสินค้า และนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมอาหารได้อย่างรวดเร็วทันต่อการแข่งขันในระดับโลกได้นั้น จำเป็นต้องมีการพัฒนาและเสริมสร้างองค์ความรู้เชิงลึกรวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีด้านการอาหารที่ทันสมัยให้แก่บุคลากรในภาคเอกชน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงลึกเฉพาะทางในบางเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย มีความจำเป็นต้องอาศัยการถ่ายโอนความรู้จากนักวิจัยหรือผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความชำนาญสูงจากต่างประเทศเป็นส่วนมาก สวทน. จึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทำโครงการการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอาหารอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาบุคลากรเฉพาะทางและการถ่ายโอนความรู้ข้ามพรมแดนในครั้งนี้ขึ้น

“การดำเนินโครงการในครั้งนี้ สวทน. และ ม.เกษตร มีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะนำร่องรูปแบบโครงการสำหรับการพัฒนาบุคลากรของอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อให้มีองค์ความรู้เชิงลึกหรือเทคโนโลยีขั้นสูงเกี่ยวกับด้านอุตสาหกรรมอาหารจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ และเกิดการถ่ายโอนองค์ความรู้ดังกล่าวสู่ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องและนักวิจัยในภาคการศึกษา รวมถึงเอกชนสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการวิจัยและพัฒนาสินค้าอาหารที่มีนวัตกรรมสูงขึ้น สามารถขจัดอุปสรรคทางการค้าจากการกีดกันด้านมาตรฐานสินค้า และนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมอาหารให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ทั้งนี้ คาดว่าโครงการจะส่งผลให้เกิดประโยชน์กับอุตสาหกรรมอาหารในมิติต่างๆ อาทิ การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาลดความเสียหายในการผลิต หรือเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าของผลกระทบอย่างน้อย 10 ล้านบาทต่อปี โดยจะเริ่มเห็นผลกระทบในปีที่ 3 ของการดำเนินโครงการ” ดร.พูลศักดิ์ กล่าว

ด้าน ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอาหารอย่างยั่งยืนฯ เป็นโครงการรูปแบบใหม่เพื่อตอบโจทย์ด้านการรับการถ่ายโอนองค์ความรู้เชิงลึกหรือเทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ และเกิดการถ่ายโอนองค์ความรู้ดังกล่าวสู่ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องและนักวิจัยในภาคการศึกษา ผ่านการเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากต่างประเทศมาถ่ายทอดองค์ความรู้สู่กลุ่มผู้ประกอบการและนักวิจัยในวงกว้าง เพื่อเป็นการให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี และดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงลึกสู่กลุ่มผู้ประกอบการเป้าหมายเฉพาะรายโดยอาศัยกรณีศึกษาจริง เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเทคโนโลยีนั้นๆ อย่างถ่องแท้ และสามารถประยุกต์ต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เพื่อให้องค์ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากต่างประเทศยังคงอยู่ภายในประเทศ รวมถึงมีการถ่ายทอดในประเทศต่อไปได้ในระยะยาวและขยายเป็นวงกว้าง โครงการจึงได้มีการดำเนินงานในการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในภาคการศึกษาเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการรับการถ่ายทอดองค์ความรู้นั้นจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศสู่ภาคเอกชนได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ในบางกรณีการถ่ายทอดองค์ความรู้เฉพาะทางทั้งด้านการบริหารจัดการเครื่องมือและสถานที่ เทคนิคเฉพาะในการวิจัยพัฒนาหรือการวิเคราะห์ตรวจสอบเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารที่มีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องมีนักวิจัยไทยที่มีความสามารถไปรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในสถานที่จริง ณ ต่างประเทศ เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านต่างๆ อาทิ การบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและข้อบังคับระหว่างประเทศ ขั้นตอนการให้บริการกับภาครัฐและเอกชน และแนวปฏิบัติในการดำเนินการภายในของหน่วยวิจัยและห้องปฏิบัติการนั้นๆ เป็นต้น เพื่อให้นักวิจัยสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้มาขยายผลสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศ และสามารถนำเสนอรายงานภาพรวมของการเตรียมพร้อมทั้งด้านของสถานที่ เครื่องมือและอุปกรณ์ รวมทั้งเทคนิคการวิเคราะห์ วิจัยและพัฒนาที่ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติได้

สำหรับหนึ่งในกิจกรรมเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากต่างประเทศมาถ่ายทอดองค์ความรู้สู่กลุ่มผู้ประกอบการและนักวิจัยในวงกว้าง ภายใต้โครงการการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอาหารอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาบุคลากรเฉพาะทางและการถ่ายโอนความรู้ข้ามพรมแดน” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มกราคม- 30 สิงหาคม 2562 โดยแบ่งเป็น 7 หลักสูตร ประกอบด้วย

หลักสูตรที่ 1 Biomass Recovery Technology for Economic Value Added: เทคโนโลยีการแปรรูปชีวมวลเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

หลักสูตรที่ 2 Food Contact Materials Laws and Regulations: R&D, Testing Protocols and Management: กฎระเบียบวัสดุสัมผัสอาหาร การวิจัยและพัฒนา วิธีการทดสอบและการจัดการ

หลักสูตรที่ 3 Agro-Food Biowaste Tapping and Bio-Refinery: เทคโนโลยีการผลิตสารสกัดและการใช้ประโยชน์จากของเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร

หลักสูตรที่ 4 Innovative Food Technologies for The 21st Century: นวัตกรรมการแปรรูปอาหารสำหรับศตวรรษที่ 21

หลักสูตรที่ 5 Beverage Industry Solutions: Technology and Safety Challenges: เทคโนโลยีเครื่องดื่มเพื่อคุณภาพและความปลอดภัย

หลักสูตรที่ 6 R&D Innovation Technology Management for Business: การจัดการเทคโนโลยีและการวิจัยพัฒนานวัตกรรมเพื่อธุรกิจ

หลักสูตรที่ 7 Technology for Value Creation of Alternative Protein Based Product and Agro-Industrial and Food Waste Utilization: เทคโนโลยีการผลิตโปรตีนทางเลือกและการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร

โดยผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่ง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาราดา โทรศัพท์ 08 5833 3454 อีเมล์ warada.t@ku.ac.th (ไม่มีค่าใช้จ่ายในการอบรม)

สินค้าประมงไทยส่อรุ่งรับปีใหม่ ผู้นำเข้าประมงไทยยุโรปขานรับ…หลังไทยได้ใบเขียว

กรุงเทพฯ, 10 มกราคม 2562 – พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้นำเข้าสินค้าประมงไทยในทวีปยุโรป ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม โดยมีสมาคมผู้นำเข้าสินค้าประมงสหภาพยุโรปรายใหญ่เข้าร่วมงาน อาทิ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร ประจำสหราชอาณาจักร สมาคมการค้าที่สนับสนุนการค้าอย่างยั่งยืน (AMFORI) ว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยจะมีปัญหาความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และปัญหาการค้ามนุษย์ หรือไอยูยู (IUU) แต่ต้องถือว่าผู้นำเข้าในกลุ่มประเทศยุโรปยังคงให้ความเชื่อมั่นสินค้าประมงของไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Seafood Task Force ที่ช่วยสนับสนุนทั้งด้านเงินทุน ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนข้อแนะนำในการดำเนินการต่างๆ ทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาในระยะเวลาอันสั้น ทั้งที่ทราบกันดีทั่วโลกว่าปัญหาด้านการประมงนั้นใช้ระยะเวลาที่ยาวนานไม่น้อยกว่าสิบปี โดยสิ่งที่รัฐบาลไทยได้วางรากฐานการแก้ไขปัญหาการทำประมงของประเทศ ก็เพื่อมุ่งไปสู่การประมงอย่างยั่งยืนไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านต่างๆ ดังนี้

1) ด้านกรอบกฎหมาย ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการปฏิรูปการประมงของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งผมคงต้องเรียนกับทุกท่านว่า พระราชกำหนดการประมง 2558 และพระราชกำหนดเรือไทย 2561 เป็นกฎหมายที่สอดคล้องกับอนุสัญญาข้อตกลงสากล ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ UN หรือ FAO ที่มีจุดมุ่งหมายให้มีการทำการประมงอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ

2) ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรประมงและกองเรือประมง ประเด็นที่หลายท่านเคยกังวลและตั้งคำถามอยู่เสมอว่าการประมงของประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่ Over fishing หรือไม่ ภายใต้ความสามารถควบคุมกองเรือประมงที่ทำการประมงได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผมคงเรียนให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่าสภาวะการประมงของประเทศไทยในวันนี้ไม่อยู่ในภาวะนั้นแน่นอo ในวันนี้ทรัพยากรสัตว์น้ำของไทยนับวันจะดีขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และมีการจัดสรรทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างเป็นธรรมให้แก่ชาวประมงทั้งพื้นบ้านและพาณิชย์ นอกจากนี้ ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาการประมงย่างยั่งยืนผ่านโครงการปรับปรุงการทำการประมง หรือ Fisheries Improvement Project (FIP) ซึ่งขณะนี้มีการพัฒนาอยู่ในหลายพื้นที่และหลายกลุ่มสัตว์น้ำ และในส่วนของชาวประมงพื้นบ้านเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งโดยการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนประมงชายฝั่ง และส่งเสริมให้เกิดการทำประมงภายใต้ “มาตรฐาน Blue Band” ซึ่งเป็นมาตรฐานที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการทำการประมงที่ยั่งยืนของชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศไทยในอนาคต

3) ด้านการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่จะยืนยันถึงประสิทธิภาพของการแก้ไขปัญหาการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ได้มากน้อยเพียงใด ผมคงเรียนทุกท่านได้อย่างมั่นใจ วันนี้ประเทศไทยมีระบบ MCS ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการควบคุมเรือไทยและเรือต่างชาติให้เป็นไปตามกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้อง และมาตรการ PSMA ภายใต้การทำงานของศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทำการประมง (FMC) ซึ่งทำงานเชื่อมโยงกับศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมง (PIPO) ใน 22 จังหวัดชายทะเลของไทย และด่านตรวจสัตว์น้ำ

และที่ผู้นำเข้าให้ความสำคัญอย่างยิ่ง คือ ด้านการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของไทยปราศจากการทำการประมงไอยูยู ซึ่งสามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่าวันนี้ระบบตรวจสอบย้อนกลับสามารถป้องกันสัตว์น้ำและสินค้าประมงผิดกฎหมายเข้ามาในสายการผลิตของไทย ไม่ว่าวัตถุดิบที่นำเข้าสู่การผลิตจะเป็นวัตถุดิบในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศทุกช่องทาง และประเทศไทยจะดำเนินการพัฒนาเรื่องนี้ไปอย่างต่อเนื่อง นำพาประเทศไทยไปสู่การเป็น IUU-free Thailand เพื่อให้ผู้บริโภคได้มั่นใจว่า สัตว์น้ำที่นำเข้าและส่งออกจากไทยจะไม่ได้มาจากการทำประมงไอยูยู

สำหรับด้านแรงงานเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผู้นำเข้าให้ความสนใจ โดยตลอดช่วงเวลาที่ประเทศไทยมีการแก้ไขปัญหาไอยูยูนั้น ประเด็นเรื่องแรงงานในภาคประมงทะเลเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีการดำเนินการควบคู่กันเพื่อให้มั่นใจว่าการใช้แรงงานในภาคประมงทะเลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องนั้นอยู่ภายใต้หลักมนุษยธรรมและความรับผิดชอบ ซึ่งผลจากการดำเนินการที่ผ่านมาทำให้การรับอนุสัญญา ILO C188 เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะหลักการที่สำคัญได้มีการดำเนินการอยู่แล้วอย่างครบถ้วน และคาดว่าในปีนี้ประเทศไทยจะมีการยื่นสัตยาบันอนุสัญญาฉบับดังกล่าว

“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลที่ดีต่อภาพลักษณ์การทำการประมงของไทย ให้พ้นจากข้อกล่าวหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย หรือไอยูยู หรือแม้กระทั่งการค้ามนุษย์ ให้เป็นที่ประจักษ์กับสายตาชาวโลก โดยเฉพาะการสร้างความมั่นใจต่อผู้นำเข้าและผู้บริโภคที่จะเลือกซื้อสินค้าประมงของไทยในอนาคต ซึ่งประเทศไทยจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริง คือ การส่งเสริมความยั่งยืนทางทะเลในทุกระดับ และมุ่งเน้นสร้างบทบาทการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรในการผลักดันไปสู่เป้าหมายของ SDG โดยการแบ่งปันประสบการณ์และสร้างกลไกความร่วมมือร่วมกัน เพราะความยั่งยืนทางทะเลไม่ได้หมายถึงเพียงเรื่องการประมงอย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก พร้อมที่จะร่วมรับผิดชอบกับประชาคมโลกในการรักษาทรัพยากรทางทะเล และการทำประมงอย่างรับผิดชอบ และยืนยันว่าสินค้าประมงจากไทยจะเป็นสินค้าที่มาจากการทำประมงที่ถูกกฎหมาย สนับสนุนความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรสัตว์น้ำ และมาจากแรงงานที่ได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน และไทยพร้อมเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกประเทศในโลกนี้ เพื่อร่วมกันกำจัดปัญหาการทำประมง IUU และปัญหาการค้ามนุษย์ในภาคประมงให้หมดสิ้นไป และนำไปสู่การประมงของประเทศและโลกไปสู่ความยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรของโลกต่อไปด้วย” พลเอกฉัตรชัย กล่าว

Orri Jaffa Mandarins Heading to North America Easy-Peeler Orri Jaffa expected to see 70% sales growth in North American Markets

 

Israel, Tel Aviv, 8 January 2019 –

The Plant Production and Marketing Board of Israel predicts that 2019 will see significant increase in exports of the Orri Jaffa mandarin to the US and Canada. The organization set goals for expanding export of its leading, easy-to-peel mandarin in response to the increased demand for high-quality, easy-peelers.

The Jaffa Orri is a mandarin developed by scientists at the Israeli Volcani Research Center. This easy-to-peel mandarin retains an excellent, fresh, sweet flavor with a fleshy texture, and mouthful juiciness, while bearing virtually no seeds. It also carries a particularly long shelf life and appears later in the season compared to other easy peelers – from January into May.

The American citrus market has been growing significantly in recent years and is composed largely of imports. The mandarin sub-category is the largest in the citrus category, accounting for some 40% of the citrus market. More than 230 thousand tons of easy-to-peel mandarins are shipped into the US annually, at a total value of more than $1 billion. This is in addition the 1 million tons produced locally.

Data from studies conducted in recent years confirm a doubling of per-capita consumption of easy-to-peel mandarins in the past two decades. This coincides to a significant increase in the intake of easy-peelers in the American market, mainly in place of traditional oranges. In recent years, this phenomenon has led to a sharp upsurge in the import of easy-peelers to America, leading to the establishment of new groves.

“The US market for easy-to-peel mandarins is substantial and holds promise as a developing target market for Israeli citrus exports,” says Tal Amit, Director of the Citrus Division in the Plant Production and Marketing Board of Israel. “The success of easy-peeler mandarins in particular can be easily credited to the fruit’s great flavor and unbeatable convenience.”

Over the past five seasons, citrus exports from Israel to North America have increased from 3,000 tons to 9,000 tons last season, of which about 5,300 tons are easy-to-peel mandarins. This season, export of Orri Jaffa mandarin alone is expected to reach 9,000 tons, constituting a potential 70% growth.

In spite of this significant rise in consumption of the mandarins in the US, consumption per capita is among the lowest in the world, about 2.5 kg per year. But based on the rapidly increasing demand, that figure is forecast to double. In Canada that figure is almost doubled exceeding 4.6 Kg per capita.

Orri Jaffa mandarin currently is exported to 45 countries worldwide. Most of the yield is exported to Europe (78%). The most prominent outlets in Europe of the popular fruit are: France (39%), the Netherlands, Scandinavia and Russia (7% each). About 18% of the fruit is shipped to North America, and 4% to Asia Pacific.

www.orrijaffa.com