ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care ลุ้นรับของกำนัล Gift Voucher S&P worth THB 500 จำนวน 2 รางวัล
ลุ้นรางวัลกับเราได้ตามลิงก์ด้านล่างเลย อย่าลืมกรอกให้ครบ..นะคะ
ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care ลุ้นรับของกำนัล Gift Voucher S&P worth THB 500 จำนวน 2 รางวัล
ลุ้นรางวัลกับเราได้ตามลิงก์ด้านล่างเลย อย่าลืมกรอกให้ครบ..นะคะ
แซนต์ แอนโตนิโอ, สวิตเซอร์แลนด์, 8 มกราคม 2561 – เนื่องด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นของระบบขนถ่ายและลำเลียงวัสดุจากกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้อินเตอร์โรลต้องเพิ่มกิจกรรมธุรกิจในประเทศไทยในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ล่าสุดอินเตอร์โรลได้ประกาศเพิ่มพื้นที่การผลิตและพื้นที่สำนักงานในประเทศไทยซึ่งมีโครงการขยายให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 15 เดือนนับจากนี้ โดยจะย้ายจากโรงงานในปัจจุบันที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เฟส 8 ไปยังสถานที่ใหม่ในเฟส 10 ซึ่งการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่จะเริ่มขึ้นในไตรมาสแรกของปี พศ.2561 และจะแล้วเสร็จในต้นไตรมาสที่สองของปี พศ.2562
“โรงงานแห่งใหม่นี้จะเป็นโรงงานที่ทันสมัย เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีระดับสูง และมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น การขยับขยายครั้งนี้จะทำให้เราสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างมากด้วยการนำระบบการผลิต One Piece Flow มาใช้” คุณไกรสร นาคะพงศ์ กรรมการผู้จัดการของ อินเตอร์โรล (ประเทศไทย) กล่าวพร้อมเสริมว่า “ตลาดที่เติบโตขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และเมียนมา ได้แสดงให้เห็นถึงความต้องการอย่างชัดเจนในผลิตภัณฑ์ของเรา สำหรับลูกค้าและผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา การขยับขยายโรงงานครั้งนี้หมายถึง การให้บริการที่ดียิ่งขึ้นและการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็วขึ้น สำหรับพนักงานของเราทั้งในปัจจุบันและในอนาคต มันคือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดียิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ โรงงานแห่งใหม่จะประกอบไปด้วยพื้นที่การผลิตประมาณ 4,800 ตารางเมตร และพื้นที่สำหรับสำนักงานอีกราว 700 ตารางเมตร
กรุงเทพฯ, 10 มกราคม 2561 – สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข นำโดย ดร.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร ร่วมกับ Yongjing Li, Ph.D., Regional President, Asia Pacifc, DuPont Nutrition & Health จัดทำและเผยแพร่คลิปออนไลน์ หวังให้ SMEs ไทยใส่ใจการใช้วัตถุเจือปนอาหารอย่างเหมาะสม
ดร.ทิพย์วรรณ เปิดเผยถึงสถานการณ์การใช้วัตถุเจือปนอาหารในประเทศว่า “อย. ได้มีแผนการตรวจเฝ้าระวังคุณภาพของอาหาร ในส่วนของวัตถุกันเสียที่ใช้ในอาหาร พบว่าในปี 2556 และ 2557 จำนวนทั้งสิ้น 900 และ 825 ตัวอย่าง พบข้อบกพร่องเรื่องวัตถุกันเสียจำนวน 90 และ 88 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 10 และ 11 ตามลำดับ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการทางกฎหมายพร้อมทั้งแนะนำผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ อย. ได้อนุญาตให้มีการใช้วัตถุกันเสียในอาหารบางชนิด เพื่อป้องกันความเสื่อมเสียของอาหารเนื่องจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ยีสต์ และรา โดยผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้วัตถุกันเสียตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 281) พ.ศ. 2547 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม นอกจากนี้ อาหารทั่วไปจะต้องมีการแสดงฉลากตามประกาศ
กระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 367) พ.ศ. 2557 เรื่อง การแสดงฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ”
“เนื่องจากความปลอดภัยของอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค บริษัท ดูปองท์ จำกัด นำโดยแผนกอาหารและสุขภาพเล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ร่วมมือกับ อย. ผลิตสื่อความรู้เกี่ยวกับการใช้วัตถุเจือปนอาหารอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขยาดย่อม โดยหวังว่าสื่อคลิปออนไลน์ดังกล่าวนี้จะช่วยสร้างความตระหนักในความปลอดภัยของอาหารอันจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอาหารต่อไปในอนาคต” คุณสิทธิเดช ศรีประเทศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูปองท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
คลิปดังกล่าวได้รวบรวมประเด็นด้านความปลอดภัยที่ผู้ประกอบการควรทราบซึ่งเปิดตัวด้วยเรื่อง “การใช้วัตถุกันเสีย” และ “การแสดงฉลากของอาหาร” โดยมีแผนการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ โทรทัศน์ และสื่อนิตยสารอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนการขยายความร่วมมือไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เพื่อหวังให้เกิดความตระหนักรู้และส่งเสริมการผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่ปลอดภัยทั่วทั้งภูมิภาค
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเข้าชมคลิปทั้งสองเรื่องได้แล้วที่ YouTube โดยใส่คำค้นหาว่า “Food additive using for THAI SME”
www.fda.moph.go.th, www.dupont.co.th, www.danisco.com
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จัดอบรมเอสเอ็มอีอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป หวังเพิ่มผลิตภาพให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด และมีความพร้อมขอยื่นรับรองมาตรฐานด้านอาหารได้ในระดับสากล
นางอารยา ดำรงศักดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการจัดการธุรกิจ กองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิด “กิจกรรมการพัฒนาเอสเอ็มอีเพื่อเพิ่มผลิตภาพหรือเตรียมความพร้อมการขอการรับรองมาตรฐานสากล” ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ร่วมกับสถาบันอาหารจัดขึ้น ภายใต้โครงการเพิ่มศักยภาพและยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ปีงบประมาณ 2561 ในช่วงเช้ามีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “บทบาทของ อย. กับมาตรฐานเชิงพาณิชย์ผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคต” โดยนางสาวจิรารัตน์ เทศะศิลป์ นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการพิเศษ กลุ่มกำหนดมาตรฐานสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และชี้แจงข้อมูลรายละเอียดโครงการโดยผู้เกี่ยวข้อง มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสาขาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ทั้งในภาคการผลิต การบริการ และการค้าของไทย เข้ารับการอบรมจำนวน 92 คน โดยมี ดร.วิเชียร ฤกษ์พัฒนกิจ ที่ปรึกษาสถาบันอาหาร และคณะให้การต้อนรับ ณ ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย ถนนอรุณอมรินทร์
นางอารยา ดำรงศักดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการจัดการธุรกิจ กองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและสถาบันอาหาร ได้จัดทำกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเอสเอ็มอีในสาขาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ให้มีผลิตภาพเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของสถานประกอบการในการขอรับรองมาตรฐานสากลทางด้านอาหาร โดยอาศัยกระบวนการให้คำปรึกษาเชิงลึก จากทีมที่ปรึกษาที่มีความรู้และประสบการณ์เฉพาะทางจากสถาบันอาหาร มีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพด้านการผลิต การบรรจุภัณฑ์ และการตลาด
กิจกรรมดังกล่าวหวังสร้างเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมโครงการให้มีผลิตภาพเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถขอรับรองมาตรฐานสากลทางด้านอาหาร อาทิ ลดของเสียไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ลดต้นทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 6 เพิ่มมูลค่ายอดขายไม่น้อยกว่าร้อยละ 9 และเตรียมความพร้อมให้เอสเอ็มอีในการยื่นขอการรับรองมาตรฐานสากลทางด้านอาหาร ได้แก่ GMP, HACCP, IFS, ISO 22000 หรือ FSSC 22000 เป็นต้น
www.nfi.or.th
สถาบันมาตรฐานอังกฤษ BSI มอบใบรับรองระบบมาตรฐาน ISO 14001:2015, OHSAS 18001:2007 และ ISO 50001:2011 ให้แก่ บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น จำกัด ผู้ผลิตซอสถั่วเหลืองที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับไปทั่วโลกรายแรกของไทย ภายใต้แบรนด์ “เด็กสมบูรณ์” โดยทั้งสองโรงงานผลิตที่ผ่านการรับรองในครั้งนี้คือโรงงานสมุทรสาคร และโรงงานระยอง
มาตรฐานสากลสำหรับระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรมาตรฐานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย และระบบการจัดการพลังงานตามมาตรฐานสากลสำหรับสถานประกอบการนี้จะช่วยส่งเสริมให้องค์กรเกิดการจัดการพลังงานอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร และเพิ่มความเชื่อมั่นให้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก
www.bsigroup.com/en-th

13 ธันวาคม 2560
“พาณิชย์” แนะนักลงทุนไทย ศึกษาลู่ทางทำการค้าและลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษจูไห่ เพื่อเป็นฐานส่งออกสินค้าเจาะตลาดฮ่องกง มาเก๊า และจีน หลังสะพานเชื่อม 3 เมืองกำลังจะเปิดให้บริการ คาดจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการขนส่งสินค้า และทำให้การกระจายสินค้าทำได้ง่ายขึ้น
นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ศึกษาโอกาสในการเข้าไปทำการค้าและลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษจูไห่ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง โดยพบว่ามีโอกาสในการเข้าไปทำการค้าและลงทุนสูง และอยากจะแนะนำให้นักลงทุนไทยศึกษาโอกาสและลู่ทางในการเข้าไป เพราะขณะนี้นักลงทุนต่างชาติจากประเทศต่างๆ ได้เริ่มมองและให้ความสำคัญกับเมืองนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมองเห็นโอกาส ซึ่งไทยก็ควรที่จะศึกษาและเข้าไป โดยกระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนของไทยที่สนใจ
สาเหตุที่จูไห่เป็นเมืองที่มีอนาคตในด้านการค้าและการลงทุน เนื่องจากขณะนี้จะมีการเปิดสะพานเชื่อม 3 เมืองสำคัญ คือ ฮ่องกง มาเก๊า และจูไห่ ทำให้ระบบการเดินทางและการขนส่งสินค้าทำได้ดีขึ้น เพราะจากเดิมจะเป็นการขนส่งผ่านท่าเรือขนส่งขนาดใหญ่ ไม่มีระบบขนส่งทางรถยนต์ แต่เมื่อมีการเชื่อมสะพาน จะทำให้การขนส่งทางรถยนต์ขยายตัวขึ้น และกระจายสินค้าไปยัง 3 เมืองได้ดีขึ้น รวมถึงกระจายเข้าสู่ตลาดจีน
“อนาคต เมืองจูไห่ จะเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจเทียบเท่าได้กับเมืองกวางโจวและเมืองเซินเจิ้น หากไทยเข้าไปทำการค้าและการลงทุนก่อน ก็จะตักตวงผลประโยชน์ได้ก่อน โดยผู้ที่สนใจเข้าไป สามารถเข้ามาปรึกษาได้กับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่พร้อมจะสนับสนุนผู้ประกอบการในการออกไปค้าขายและออกไปลงทุนในต่างประเทศ” นางจันทิรากล่าว
สำหรับสะพานเชื่อม 3 เมือง ฮ่องกง มาเก๊า จูไห่ เริ่มเปิดให้บริการเมื่อเดือน พ.ย. 2560 โดยสะพานมีความยาวทั้งหมด 55 กิโลเมตรและถูกแบ่งออกเป็น 4 ช่วง โดยช่วงที่ 1 เป็นสะพานจากจูไห่ไปถึงสามแยกไปมาเก๊าหรือฮ่องกง ช่วงที่ 2 เป็นสะพานจากมาเก๊าไปถึงสามแยกไปจูไห่หรือฮ่องกง ช่วงที่ 3 เป็นสะพานที่แยกช่องทางการเดินทางไปฮ่องกง มาเก๊า จูไห่ และช่วงที่ 4 เป็นสะพานจากฮ่องกงไปถึงสามแยกไปจูไห่หรือมาเก๊า ซึ่งจากการทดลองเดินทางสรุปได้ว่าจากจูไห่เดินทางไปถึงฮ่องกงใช้เวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น

กรุงเทพฯ –
สำนักงานวิจัยทางเรือของโลกแห่งสหรัฐเยี่ยมชมและมอบทุนวิจัยทางเรือแก่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. โดย รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.ต้อนรับ ดร.ซิมิน เฟง ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ สำนักงานวิจัยทางเรือของโลกแห่งสหรัฐอเมริกา (The U.S. Office of Naval Research Global) หรือ ONR กองทัพเรือแห่งสหรัฐอเมริกาในโอกาสเดินทางมาเยี่ยมชมคณะวิศวกรรมศาสตร์ และหารือแนวทางความร่วมมือ พร้อมมอบทุนวิจัยแก่ ศาสตราจารย์ ดร.โมไนย ไกรฤกษ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. พร้อมด้วย รศ.ดร.ชูวงค์ พงศ์เจริญพาณิชย์ รองคณบดี ดร.รัชนี กุลยานนท์ ผู้ช่วยคณบดี และ รศ.ดร.ยุทธพงษ์ รังสรรค์เสรี หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโทรคมนาคม
รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. กล่าวว่า องค์กร ONR หรือสำนักงานวิจัยทางเรือของโลกแห่งสหรัฐ ก่อตั้งในปี 1946 ดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการเดินเรือในอนาคต มีผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยีและวิศวกรเพื่อดำเนินงานใน 5 ทวีปทั่วโลกและประสานความร่วมมือกับนานาประเทศ นับเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยและองค์กร ONR ได้ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างใกล้ชิดเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

กรุงเทพฯ, 21 ธันวาคม 2560 –
สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน Thai Halal ได้แล้ววันนี้ทั้งบน iOS และ Android ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ฮาลาลได้ทันทีเพียงกรอกเลขที่รับรองฮาลาล หรือสแกนคิวอาร์โค้ด/บาร์โค้ดของผลิตภัณฑ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งเป็นช่องทางใหม่ให้ผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิต โดยเฉพาะเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนสามารถนำผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ผ่านการรับรองฮาลาลมาโปรโมทผ่านแอพพลิเคชันนี้ได้อีกด้วย โดยใช้ฐานข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสถาบันอาหาร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาฐานข้อมูลสนับสนุนการพัฒนาฮาลาลไทย ต่อยอดจากการจัดทำเว็บไซต์ www.thaihalalfoods.com ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกด้านอาหารฮาลาลมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าภายใต้การดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ซึ่งนอกจากจะมีการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการกลุ่มหลักคือเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชุนเพื่อเข้าสู่ระบบมาตรฐานอุตสาหกรรมฮาลาลแล้ว สถาบันอาหารยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพการตลาดฮาลาลไทยสู่สากล โดยก่อนหน้านี้ได้พัฒนาฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการพัฒนาฮาลาลไทยผ่านการจัดทำเว็บไซต์ www.thaihalalfoods.com เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกด้านอาหารฮาลาลให้บริการแก่ภาคธุรกิจและผู้ที่สนใจ อาทิ ข้อมูลสถิติการค้า รายงาน บทวิเคราะห์ งานวิจัยตลาด หลักการและแนวทางปฏิบัติการใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาล ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การเป็นผู้ประสานงานให้ผู้ประกอบการที่ต้องการขอรับรองฮาลาลกับสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ด้านอุตสาหกรรมของประเทศในอนาคต
“วันนี้เราได้พัฒนาแอพพลิเคชัน Thai Halal ขึ้นมา ทั้งระบบ iOS และ Android เพื่อให้ผู้บริโภคที่ดาวน์โหลดมาใช้ สามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ฮาลาลได้ทันทีว่าได้รับการรับรองฮาลาลจริงหรือไม่ โดยการใส่ข้อมูลเลขที่รับรองฮาลาล หรือสแกนบาร์โค้ด หรือคิวอาร์โค้ดของผลิตภัณฑ์ จะปรากฎข้อมูลวันที่ขอรับรอง และวันหมดอายุ หากข้อมูลผลิตภัณฑ์ยังไม่เข้าระบบจะแจ้งให้ตรวจสอบเพิ่มเติมที่สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ Thai Halal ยังเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชนสามารถนำผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ผ่านการรับรองฮาลาลมาโปรโมทผ่านแอพพลิเคชันนี้ได้อีกด้วย โดยกรอกข้อมูลใบรับรองฮาลาล ข้อมูลผลิตภัณฑ์ และข้อมูลผู้ผลิต รอการตรวจสอบและอนุมัติตามลำดับ ทั้งนี้จะใช้ฐานข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสถาบันอาหาร ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันอาหาร โทร. 02-422-8688 ต่อ 3203, 3204”
อนึ่ง สถานการณ์การผลิตรวมทั้งการรับรองอาหารฮาลาลของไทยนั้น พบว่าผู้ประกอบการมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับตลาดฮาลาลมากขึ้น โดยฝ่ายกิจการฮาลาล สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่ได้รับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลกว่า 5,000 บริษัท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีสถานประกอบการในประเทศที่ขอรับการรับรองฮาลาล 2,188 ราย หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40 ต่อปี ในภาพรวมส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนรวมกันสูงถึงร้อยละ 90 (ผู้ผลิตอาหารร้อยละ 72 ร้านอาหารร้อยละ 13 โรงเชือดและชำแหละเนื้อสัตว์ร้อยละ 3 และผู้นำเข้าอาหารร้อยละ 2 โดยประมาณในปี 2554) ส่วนที่เหลืออื่นๆ อีกร้อยละ 10 เป็นผู้ประกอบการที่ผลิตและนำเข้าสินค้าอุปโภค เช่น ผู้ผลิตเครื่องสำอาง ยาสีฟัน ยาหรือสมุนไพร เป็นต้น ปัจจุบันคาดว่ามีผลิตภัณฑ์ที่ขอรับการรับรองฮาลาลสูงกว่า 100,000 รายการ เพิ่มขึ้นจาก 64,588 รายการในปี 2554 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อปีโดยประมาณ
ตลาดเอเชียเป็นตลาดอาหารฮาลาลที่มีศักยภาพในการส่งออกสูงสุด จากสัดส่วนประชากรชาวมุสลิมที่มีอยู่ค่อนข้างสูงร้อยละ 32.6 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในภูมิภาค โดยมาเลเซียได้ตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางฮาลาลของโลก (Global Halal Hub) ภายในปี 2563 โดยมีแนวทางการพัฒนาธุรกิจฮาลาลของประเทศแบบองค์รวม ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ประกอบกับการสร้างระบบนิเวศฮาลาล (Halal Ecosystem) ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ของประเทศอย่างเต็มที่ ทั้งการจัดทำมาตรฐานฮาลาล การให้สิทธิประโยชน์และแรงจูงใจต่างๆ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับผู้ประกอบการในอุทยานฮาลาล (Halal Park) และผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ฮาลาลหรือที่เกี่ยวข้อง การลดหย่อนภาษีสองเท่าสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพื่อขอการรับรองมาตรฐานฮาลาล เป็นต้น