ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care เดือนเมษายน 2561

ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care ลุ้นรับของกำนัล  Gift Voucher Sizzler 500 บาท  จำนวน 2 รางวัล

 

ลุ้นรางวัลกับเราได้ตามลิงก์ด้านล่างเลย อย่าลืมกรอกให้ครบ..นะคะ

https://goo.gl/forms/R6cE8aPNlDfamCo73

ติดปีกแบรนด์ไทยคุณภาพ ติดตลาดโลก

กรุงเทพฯ, 15 มีนาคม 2561

จากนโยบายกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจ โดยการผลักดันสินค้าและบริการไทยให้เป็นที่นิยมในตลาดโลก รวมถึงส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนาศักยภาพการผลิต ให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ทั่วโลกไว้วางใจ ทั้งในด้านการผลิตที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีธรรมาภิบาลและมีการคุ้มครองแรงงานอย่างเป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ขานรับนโยบายดังกล่าว โดยตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อและผู้บริโภค จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมตรา Thailand Trust Mark หรืองาน “T Mark Festival 2018” เพื่อสร้างประสบการณ์โดยตรงกับนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้บริโภคชาวไทย รวมทั้งตอกย้ำการสร้างการรับรู้ในตราสัญลักษณ์ T Mark รวมถึงแบรนด์สินค้าไทยที่มีคุณภาพและได้รับเครื่องหมายการันตีมาตรฐานคุณภาพตรา T Mark กว่า 30 บริษัท

โครงการ Thailand Trust Mark เริ่มต้นเมื่อปี 2555 โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ดําเนินการตามนโยบายกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ เพื่อให้รับตราสัญลักษณ์ T Mark โดยมุ่งผลักดันและยกระดับความสามารถทางการแข่งขันด้านการค้าของผู้ประกอบการไทยให้มุ่งไปสู่ตลาดศักยภาพสูง (Dynamic Market) มากขึ้น เช่น ตลาด CLMV ตลาดจีนที่มีอิทธิพลต่อทั่วโลกในขณะนี้ ปัจจุบันการประกอบธุรกิจในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs ที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 95 ของประเทศและมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการรับรองมาตรฐานคุณภาพสินค้าของตรา T Mark นี้ จะต้องผ่านเกณฑ์เกณฑ์มาตรฐานการผลิต เกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียว ของกระทรวงอุตสาหกรรม และเกณฑ์มาตรฐานแรงงานไทย ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งนับว่าเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่าง 3 กระทรวง

ในด้านการสร้างภาพลักษณ์ประเทศในเวทีการค้าโลกนั้น กระทรวงพาณิชย์ได้ประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ T Mark อย่างเข้มข้นขึ้น โดยเจาะตลาดเป้าหมาย เน้นกลุ่มประเทศที่ให้ความสนใจในประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคมและแรงงาน อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีน โดยเน้นสื่อสารในประเด็นสำคัญ คือ มาตรฐาน คุณภาพกระบวนการผลิต และภาพลักษณ์องค์กรที่ดีทั้งในด้านการใช้แรงงานที่เป็นธรรมตามหลักมาตรฐานสากล การดำเนินงานที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้าและบริการจากประเทศไทย และปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามปฏิญญาความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐและผู้ประกอบธุรกิจในไทยเห็นประโยชน์และตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งนำไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ซึ่งนับได้ว่า ตรา T Mark เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความตระหนักรู้และการขับเคลื่อนในด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ในภาคธุรกิจอีกด้วย

ในปีนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จับมือกับบริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด จัดงาน T Mark Festival 2018 เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ Thailand Trust Mark ไปยังนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น โดยเนรมิตพื้นที่บริเวณลาน Outdoor Multi-Purpose Area ให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงสินค้า T Mark กว่า 30 บูธ ภายใต้คอนเซปต์ “ช็อปเพลิน เดินชิล สินค้าดี กิจกรรมโดน” ทั้งยังมีกิจกรรม “Heart-Made Quality Workshop” เวิร์คช้อปพิเศษสอนทําอาหาร และสินค้าที่ระลึกแบบไทยๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ในกลุ่มผู้บริโภคให้เกิดความประทับใจและจดจําตรา T Mark

สสว. สถาบันอาหาร คณะกรรมการอิสลามกรุงเทพฯ ทำ MOU พัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล

กรุงเทพฯ, 23 มีนาคม 2561

สสว. ผนึก สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)กับ สำนักงานคณะกรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร พัฒนาบุคลากรด้านวิชาการ ด้านมาตรฐานกิจการฮาลาล ด้านการวิจัยและพัฒนา ต่อยอดธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SME ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลให้เข้มแข็งและยั่งยืน สร้างความเชื่อมั่นให้เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มประเทศมุสลิมและนานาประเทศ

นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม และนายอรุณ บุญชม ประธานกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร และรองประธานกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่าง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กับสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร โดยมีคณะผู้บริหารของทุกฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมชั้น 3 ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านวิชาการ ด้านมาตรฐานกิจการฮาลาล ด้านการวิจัยและพัฒนา อันจะเสริมสร้างอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มประเทศมุสลิมและมิใช่มุสลิมทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้ขอบเขตความร่วมมือพอสังเขป ดังนี้ 1) การเผยแพร่ความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการฮาลาลแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ และพัฒนาผู้ประกอบการ รวมทั้งพัฒนาระบบการจัดการในสถานประกอบการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานฮาลาลร่วมกัน 2) การสนับสนุนการศึกษา วิจัย และการประสานความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี การวิเคราะห์ตรวจสอบ เพื่อยกระดับการผลิตให้มีมาตรฐานฮาลาล 3) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความชำนาญด้านการบริหารงานและการบริการระหว่างกัน 4) การเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงาน 5) การบริการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ฮาลาลทางด้านเคมี ชีวภาพ และกายภาพ ตามมาตรฐานสากล โดยห้องปฏิบัติการของสถาบันอาหาร และ 6) พัฒนาช่องทางการตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SME

อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภายใต้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เนื่องจากตลาดอาหารฮาลาลเป็นตลาดที่มีผู้ผลิตทั่วโลกให้ความสำคัญ เพราะมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือชาวมุสลิมกระจายอยู่มากกว่า 1,800 ล้านคนทั่วโลก สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศหนี่งในผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก แต่ยังมีผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการทางศาสนาและหลักการผลิตอาหารฮาลาล ทำให้มองไม่เห็นโอกาสของตลาดสินค้าอาหาร ฮาลาล ในการต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ให้กับธุรกิจการผลิตอาหารฮาลาล ความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) สถาบันอาหาร และสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่รับรองและควบคุมมาตรฐานฮาลาลให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้แก่ภาคอุตสาหกรรมอาหารของไทย โดยเฉพาะสถานประกอบการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งยังสนับสนุนกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการด้านมาตรฐานอาหาร เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในการยื่นขอการรับรองมาตรฐานฮาลาล ซึ่ง สสว.และสถาบันอาหารได้ร่วมกันดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้อุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดมุสลิมในประเทศและตลาดฮาลาลทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

เบอร์ทอลลี่® รับมอบรางวัล “ผลิตภัณฑ์คุณภาพแห่งชาติของประเทศอิตาลีประจำปี 2018” เป็นปีที่สามติดต่อกัน

กรุงเทพฯ, 22 มีนาคม 2561

เบอร์ทอลลี่® แบรนด์น้ำมันมะกอกอันดับหนึ่งในประเทศไทย รับมอบรางวัล “ผลิตภัณฑ์คุณภาพแห่งชาติของประเทศอิตาลีประจำปี 2018” เป็นปีที่สามติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นรางวัลอันทรงคุณค่าและเป็นรางวัลประเภทคุณภาพผลิตภัณฑ์เพียงรางวัลเดียวในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดของน้ำมันมะกอกระดับสากล โดยผลการตัดสินนั้นมาจากการชิมน้ำมันมะกอกแบบปิดตา (Blind sensory tasting)

“รางวัลผลิตภัณฑ์คุณภาพแห่งชาติของประเทศอิตาลีประจำปี 2018 นับว่าสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของ เบอร์ทอลลี่ในฐานะแบรนด์น้ำมันมะกอกอันดับหนึ่งในประเทศไทย จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนานกว่า 153 ปีของเราที่พร้อมมอบผลิตภัณฑ์เปี่ยมคุณภาพให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย” มร. อัลแบร์โต้ เปเรซ มาร์ติน ผู้อำนวยการเบอร์ทอลลี่ประเทศไทยและเอเชีย กล่าว

รางวัลนี้เป็นการตัดสินจากผู้บริโภคชาวอิตาเลียนกว่า 300 คน จากการชิมน้ำมันมะกอกแบบปิดตา เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคทราบแบรนด์ที่ตนเองชิมอยู่ ซึ่งผลการตัดสินล้วนมาจากโสตประสาทสัมผัสและความนิยมชมชอบของผู้บริโภค ทั้งด้านรสชาติ ความสม่ำเสมอ และกลิ่นหอมของน้ำมันมะกอก

“เราเข้าใจถึงความต้องการและรสชาติที่ผู้บริโภคชื่นชอบเป็นอย่างดี เราจึงสามารถผลิตน้ำมันมะกอกที่ได้รับรางวัลระดับโลกได้ โดยรางวัลนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของเบอร์ทอลลี่ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสุดแก่ผู้บริโภคชาวไทยและทั่วโลก” มร. เปเรซ มาร์ติน กล่าวสรุป

สินค้าออร์แกนิกไทยสุดฮอตในเยอรมนี

เยอรมนี, 14 มีนาคม 2561

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเผยสินค้าออร์แกนิกไทยสุดฮอต ผู้ซื้อ ผู้นำเข้าแห่ช็อป หลังนำเข้าร่วมงาน BIOFACH 2018 มียอดสั่งซื้อทันที 13 ล้านบาท และคาดว่าจะซื้อภายใน 1 ปีสูงถึง 190 ล้านบาท ระบุน้ำตาลมะพร้าว ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว พาสต้า เครื่องแกง น้ำมะพร้าวได้รับความนิยมสูง

นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการนำคณะผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน BIOFACH 2018 ครั้งที่ 29 ซึ่งเป็นแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในโลก ที่เมืองนูเรมเบิร์ก เยอรมนี เมื่อเร็วๆนี้ว่า กรมฯ ได้นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานทั้งหมด 22 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าอาหาร เครื่องดื่มอินทรีย์และผลิตภัณฑ์อินทรีย์ เช่น ข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว ผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง ผักและผลไม้ ชา กาแฟ น้ำตาลมะพร้าว เส้นก๋วยเตี๋ยวจากข้าว เป็นต้น โดยได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ ผู้นำเข้า เป็นอย่างมาก และมียอดการสั่งซื้อทันที 416,500 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 13 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดสั่งซื้อภายใน 1 ปี ประมาณ 5,792,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 190 ล้านบาท

สำหรับงาน BIOFACH 2018 เป็นงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจอินทรีย์ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในงานจะมีเฉพาะการเจรจาธุรกิจ โดยการจัดงานในปี 2561 มีผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้า2,535 บริษัท โดยร้อยละ 71 ของผู้เข้าร่วมงานมาจาก 80 ประเทศทั่วโลก และมีผู้เข้าชมงาน 51,453 คน จาก 129 ประเทศทั่วโลก ใช้พื้นที่จัดแสดงสินค้า 71,400 ตารางเมตร และมีพื้นที่จัดกิจกรรมพิเศษ 3,064ตารางเมตร ส่วนคูหาประเทศไทยมีขนาดพื้นที่ 191.93 ตารางเมตร โดยกรมฯ ได้จัดให้มีกิจกรรมพิเศษการสาธิตการทำอาหารเพื่อประชาสัมพันธ์อาหารไทย และดึงดูดความสนใจของผู้นำเข้า และผู้ชมงาน ซึ่งตลอดการจัดงานได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานเข้ามาร่วมชิมอาหารไทยกันเป็นจำนวนมาก และในพื้นที่ส่วนกลางที่กรมฯ จัดไว้สำหรับการเจรจาการค้า ก็ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อ ผู้นำเข้า มาเจรจากันเป็นจำนวนมากด้วย

เบทาโกร จับมือจุฬาฯ เปิดตัวโครงการ Social Shaker Season 1

กรุงเทพฯ

สำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเปิดตัวโครงการ “Social Shaker Season 1” พร้อมจัดเสวนาในหัวข้อ “ความร่วมมือในรูปแบบ U-I-G (University, Industry, Government) สู่ผลกระทบที่มากขึ้นในการพัฒนาสังคม” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือเบทาโกร มณีรัตน์ อนุโลมสมัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (Thailand) ต้องใจ ธนะชานันท์ กรรมการผู้จัดการประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) และ ชยุตม์ สกุลคู ประธานบริษัท Tact Social Enterprise ณ หอประชุมอาคารเจริญวิศวกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

U-I-G คือความร่วมมือภายใต้ความสัมพันธ์ของ 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคมหาวิทยาลัย (University) ภาคธุรกิจ (Industry) และ ภาครัฐบาล (Government) เพื่อร่วมกันพัฒนาชุมชนแนวใหม่ที่หลุดออกจากกรอบเดิม โดยมีบริษัท Tact Social Enterprise ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามกลุ่ม STEPS ภายใต้การดูแลของสำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการสนับสนุนจากเครือเบทาโกร เข้ามาดำเนินงานเชื่อมโยงระหว่าง 3 ภาคส่วน ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม ผลักดันให้นิสิตนักศึกษาได้พัฒนาทักษะของตนเองผ่านการทำกิจกรรมเพื่อสังคม โดยบริหารจัดการงบประมาณด้านซีเอสอาร์ของบริษัทเอกชน ให้ตอบโจทย์ความต้องการจริงของชุมชน เพื่อให้เกิดเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน

สำหรับ Social Shaker Season 1 ในปีพ.ศ.2561 นี้ จะดำเนินโครงการพัฒนาสังคม ด้วยกัน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนานักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ในอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ให้เกิดการพัฒนาจุดแข็ง มีการวางแผนชีวิต และเกิดความตระหนักถึงสังคมส่วนรวม ผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียน โครงการพัฒนาร้านอาหารให้มีคุณภาพ ทั้งในมิติของ ความปลอดภัยและคุณภาพ (Safety & Quality) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ประสบการณ์ร่วมของลูกค้า (Customer Experience) เพื่อแก้ไขปัญหาของร้านอาหารในสังคมเมือง และโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-based Tourism) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ และออกแบบเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการกระจายรายได้สู่ชุมชน

DKSH expands and upgrades to state-of-the-art food and beverage innovation center in Thailand

DKSH ทุ่มทุนขยายและปรับปรุงศูนย์นวัตกรรมด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ทันสมัยในประเทศไทย

 

กรุงเทพฯ, 19 มกราคม 2561 – กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอุตสาหกรรม บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ลงทุนขยายและปรับปรุงศูนย์นวัตกรรมในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจอุตสาหกรรมและเครื่องดื่ม โดยมุ่งเน้นในด้านการพัฒนาสูตรและสนับสนุนข้อมูลเชิงเทคนิคให้กับคู่ค้าในประเทศไทย ศูนย์นวัตกรรมพื้นที่ 130 ตารางเมตร ที่ปรับปรุงใหม่นี้เปรียบเสมือนทั้งสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของบริษัทฯ และเป็นการตอกย้ำการให้บริการที่เป็นเลิศกับกลุ่มลูกค้า แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ ห้องปฏิบัติการพัฒนาสูตรสำหรับผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่ม ห้องปฏิบัติการสำหรับอาหารแปรรูปและกลุ่มธุรกิจฟู้ดเซอร์วิส และห้องปฏิบัติการผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ โดยในแต่ละปีได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต้นแบบออกมาถึง 150 ผลิตภัณฑ์ กว่า 200 สูตร อาทิ เบเกอรี่ (เค้กมาม่อน มัฟฟินสูตรน้ำตาลต่ำ และครัวซองต์ปราศจากไขมันทรานส์) นมและเครื่องดื่ม (เครื่องดื่มฟังก์ชันนัล น้ำผักและผลไม้ และกรีกโยเกิร์ต) และผลิตภัณฑ์อาหารคาว (ไส้กรอกไขมันต่ำ มายองเนสปราศจากไข่ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสูตรลดเกลือ)

 

ทั้งนี้ ดีเคเอสเอชมีศูนย์นวัตกรรมสำหรับอาหารและเครื่องดื่มอยู่ 7 แห่ง และห้องปฏิบัติการด้านการประยุกต์ใช้อีก 14 แห่งในภูมิภาคเอเชียและยุโรป พรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือทันสมัย เพื่อให้บริการในด้านการพัฒนาสูตร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ การประเมินทางประสาทสัมผัส การทดลองผลิต ตลอดจนการฝึกอบรมเชิงเทคนิค นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์นวัตกรรมจะทำงานร่วมกับลูกค้าในการให้คำปรึกษาและสนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหารอีกด้วย

 

Mr.Thomas Sul, DKSH’s Co-Head Business Unit Performance Materials ระบุว่า “ด้วยเครือข่ายในการจัดหาวัตถุดิบที่มีอยู่ทั่วโลกของดีเคเอสเอช ศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้จะช่วยให้เราสามารถนำเสนอเทรนด์นวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ จากประเทศอื่นๆ มาสู่ประเทศไทย โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของท้องถิ่น ประกอบกับการสนับสนุนในด้านการพัฒนาสูตรจากดีเคเอสเอช ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของไทยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ในเชิงสุขภาพ สูตรน้ำตาลน้อย สูตรไขมันต่ำ และสูตรลดเค็ม เป็นต้น”

 

สอดคล้องกับนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ของรัฐบาลไทย ศูนย์วิจัยนี้ยังช่วยเอื้อประโยชน์ให้ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มของไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ คุณทรงสิน สังขเวทัย ผู้จัดการทั่วไป – อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอุตสาหกรรม บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า “เราสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน เนื่องจากศูนย์นวัตกรรมของเราทำงานร่วมกับศูนย์นวัตกรรมอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ศึกษาเรื่องการปรับปรุงสูตรอย่างเชื่อมโยงและใกล้ชิด เราสามารถปรับใช้ข้อมูลการปรับปรุงสูตรจากหลายประเทศเข้ากับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการส่งออกสินค้าอาหารและเครื่องดื่มไปยังประเทศต่างๆ ที่ต้องการ”

 

“จากเจ้าหน้าที่ 1,000 คนในกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอุตสาหกรรม เรามีเจ้าหน้าที่กว่า 50 คนที่ทำงานในศูนย์นวัตกรรมและค้นคว้าสูตรอาหารใหม่ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 5 ของพนักงานทั้งหมด พวกเขาร่วมระดมสมองเพื่อค้นหาความคิดใหม่ สูตรใหม่ แนวคิดใหม่ วิจัยตลาดและเก็บข้อมูลตลาด รวมทั้งการดูแลในเรื่องกฎหมายต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น” Dr.Natale Capri, DKSH’s Co-Head Business Unit Performance Materials กล่าวเสริม “เราลงทุนอย่างเต็มที่ในด้านการบริการเพื่อเพิ่มมูลค่า ข้อมูล องค์ความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ให้กับคู่ค้าทางธุรกิจของเรา”

 

เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนาสูตร ดีเคเอสเอชได้นำเสนอส่วนผสมอาหารหลายรายการ ซึ่งมีการพัฒนาและปรับปรุงอยู่เสมอ “เราต้องสร้างความมั่นใจตั้งแต่ต้นว่า ส่วนผสมอาหารที่เรานำเสนอนั้นมีพร้อมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้เรายังช่วยสรรหาบริษัทผู้รับจ้างผลิต (OEM) และให้คำแนะนำในเรื่องการขึ้นทะเบียนและการกล่าวอ้าง เหล่านี้เป็นการเพิ่มมูลค่าในบริการของเราให้กับลูกค้าอีกด้วย” คุณทรงสิน กล่าว

 

Dr.Capri เสริมว่า “ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรายังดูแลคู่ค้าในประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา โดยในปี 2561 นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตถึงร้อยละ 5 และเราหวังที่จะเติบโตขึ้นเช่นกันจากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นในประเทศไทย”

 

ด้าน Mr.Sul ประเมินว่า ในปี 2561 ตลาดในประเทศไทยน่าจะมองหาสินค้าที่ลดน้ำตาล ลดเค็ม ปราศจากไขมันทรานส์ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทดแทนเนื้อสัตว์สำหรับผู้ที่รับประทานทานเจหรือมังสวิรัติ ตลอดจนผลิตภัณฑ์นูทราซูติคัล “เราสามารถช่วยเหลือคู่ค้าโดยทำงานร่วมกันเพื่อมองหาเทรนด์ใหม่ๆ สรรหาผู้จำหน่ายส่วนผสมอาหารที่ใช่ และพัฒนาปรับปรุงสูตรเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ของผู้บริโภคในประเทศไทย”

 

DKSH expands and upgrades to state-of-the-art food and beverage innovation center in Thailand

Bangkok, 19 January 2018 – DKSH’s Business Unit Performance Materials has made a major investment in its food and beverage business by expanding and upgrading its innovation center in Thailand. The innovation center, which is both a symbol of the company’s achievements to date and represents its commitment to providing continued operational excellence to clients, specializes in developing food and beverage formulations and provides expert technical support to its business partners in Thailand. The center has a capacity of 130 sq. m. and caters for three segments of the food and beverage industry: beverage and dairy (for formulations), processed food and food service (for savory applications) and bakery (for bakery applications). Currently, it develops over 150 prototypes and 200 formulations per year including: unique bakery products such as mamon cakes, low sugar muffins and transfat-free croissants; beverage and dairy products such as functional drinks, fruits and vegetable drinks and greek yoghurt; and savory products such as low-fat sausages, egg-free mayonnaise and low sodium instant noodles.

 

Joining a network of seven DKSH food and beverage innovation centers (with 14 application laboratories) in Asia and Europe, the center houses some of the industry’s most advanced development and analysis equipment. It provides a broad range of specialized services including: formulation application, product ideation and development support, stability testing, sensory evaluation, pilot trials and technical training. In addition, its specialists work closely with a dedicated regulatory team to provide consultation and support for the complex regulatory environment of the food and beverage industry in Thailand.

 

DKSH’s Co-Head Business Unit Performance Materials, Mr.Thomas Sul, stated that “Together with our global sourcing network, this innovation center enables us to introduce, to Thailand, the latest innovative food and beverage trends from the other markets and custom them to local needs.” This will allow Thai food and beverage businesses to develop new products that are “more healthy, low in sugar, low in fat and low in salt” thanks to our performance-enhancing formulations.

 

Conforming with Industry 4.0 policy implemented by the Thai government, the innovation center can support Thai food and beverage producers export their products to other markets. “We can leverage each other”, said Mr.Songsin Sungkhawaetai, DKSH’s General Manager – Food & Beverage Industry, Business Unit Performance Materials, “We work in close collaboration with our network of innovation centers in Asia Pacific, all of which produce food formulations. This allows us to introduce innovative formulations across the region to business partners that export food and beverage products”.

 

“There are over 1,000 specialists in DKSH Business Unit Performance Materials globally and we count more than 50 people who are based in innovation centers. This means that more than 5% of the workforce develops new ideas, new formulations and new concepts and undertakes market research and market intelligence activities. To support our innovation specialists, we have a regulatory team who ensure that we comply with all existing, new and upcoming laws and legislations”, added Dr.Natale Capri, DKSH’s Co-Head Business Unit Performance Materials. “We are investing a lot in our value-added services to ensure that our excellence in innovation, sourcing, regulatory and information allows us to develop exciting new products for our business partners.”

 

In order to help customers with formulations, DKSH provides a comprehensive portfolio of specialist food ingredients, which is regularly updated with new sources. “We ensure that a wide range of innovative ingredients are available to our business partners, as well helping them to find suitable OEM companies. We also provide consultation regarding FDA registration and health claims, bringing added valued to our service offerings”, said Mr.Sungkhawaetai.

 

Dr.Capri later added that “Thailand is the hub for Southeast Asia. Our business partners in Cambodia, Lao PDR and Myanmar also benefit from the advancements we make in Thailand and throughout the region.” and that “In 2018, we have high expectations. The Thai economy is expected to increase by 5% – this boom will provide us with some good market opportunities.”

 

The prediction for 2018 as viewed by Mr.Sul is that Thailand will yearn for products that offer sugar reduction, salt reduction, trans-fat free, meat replacement (for vegan and vegetarian) and nutraceutical benefits. “We work hand-in-hand with our business partners to identify trends, secure the right ingredient suppliers and produce formulations that fit to Thai tastes.”, said Mr.Sul.

www.dksh.co.th

 

 

(From left to right)

  1. 1. Mr.Mathias Greger, Vice President, Business Unit Performance Materials, DKSH Thailand
  2. 2. Dr.Natale Capri, Co-Head Business Unit Performance Materials, DKSH
  3. 3. Mr.Stefan P. Butz, Chief Executive Officer, DKSH
  4. 4. Mr.Thomas Sul, Co-Head Business Unit Performance Materials, DKSH
  5. 5. Mr.Ben Hopkins, Vice President, Global Food & Beverage Industry, Business Unit Performance Materials, DKSH
  6. 6. Mr.Douglas Humphrey, Head Country Management, DKSH Thailand

SIAL CHINA 2018 เปิดประตูเจาะตลาดอาหารจีน

กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธุ์ 2561 –

คอมเอ็กซ์โปเซียม บินตรงจัดงานแถลงข่าว SIAL China 2018 งานแสดงสินค้าด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและอันดับ 4 ของโลก ระหว่าง 16-18 พฤษภาคมนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้า Shanghai New International Expo Centre เขตผู่ตง นครเซี่ยงไฮ้ ตั้งเป้าดึงดูดบายเออร์จากทั่วโลกกว่า 110,000 คนเข้าชมงาน นอกจากมีบูธออกแสดงงานจาก 3,400 บริษัทจากทั่วโลก ยังมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ รางวัลนวัตกรรมด้านอาหาร SIAL INNOVATION เทรนด์ตลาดอาหารโลกและซูมสำหรับตลาดจีน ฯลฯ

มิส เคท บา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร คอมเอ็กซ์โปเซียม เอเซีย แปซิฟิก ผู้จัดงานแสดงสินค้า SIAL กล่าวว่า “เศรษฐกิจจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 6 ต่อปี ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้น ชุมชนเมืองขยายใหญ่ขึ้น ช่องทางการจัดจำหน่ายทั้ง online และ offline ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการชำระเงินผ่านระบบ e-payment The Millennials (อายุ 18-35 ปี) จัดว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอัตราการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวจีนนิยมบริโภคอาหารที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัย SIAL CHINA ในปีนี้ เราได้รับเกียรติจากสหภาพยุโรปที่เป็น Guest of Honor ในการนำสินค้าอาหารจากยุโรปเข้าออกแสดงในงานมากที่สุดเป็นประวัติการณ์”

“งานแสดงสินค้า SIAL CHINA ถือเป็นงานแสดงสินค้าหลักสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มุ่งส่งออกไปยังจีนและเอเซีย ในปีนี้ มีบริษัทไทยเข้าร่วมออกแสดงงานถึง 38 บริษัท ครอบคลุมพื้นที่ 380 ตารางเมตร สินค้าอาหารที่ผู้ประกอบการไทยนำไปออกแสดงได้แก่ ผลไม้แปรรูป น้ำผลไม้ ขนมขบเคี้ยว ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน โดยคาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ชมงานและบายเออร์เป็นจำนวนมาก ดังเช่นที่ผ่านมา” นางโสมวรรณ เลาหะพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ หอการค้าฝรั่งเศส-ไทย ในฐานะตัวแทนของผู้จัดงานในประเทศไทย กล่าว

ภาพรวมการส่งออกอาหารไทยในปี 2560 มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 โดยประเทศจีนถือเป็นตลาดส่งออกอาหารไทยที่มีอัตราขยายตัวสูงถึง 22.2% และมีสัดส่วนเป็น 9% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทย สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทยปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 8.7 โดยมีมูลค่าส่งออก 1.12 ล้านล้านบาท มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาเซียน (30%) ญี่ปุ่น (14%) และ จีน (9%) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอยู่ใน Top Ten ของผู้เข้าชมงาน SIAL CHINA

คุณพิมพ์ภิดา วิชญพิมพ์จุฬา ผู้ประสานงานชุดโครงการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative House ภายใต้ฝ่ายอุตสาหกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า “ทาง Innovative House ได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอาหาร เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านการวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีผู้ประกอบการไทยให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการมาโดยตลอด ทาง Innovative House ช่วยให้คำแนะนำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ในตลาดต่างประเทศ ผ่านการออกแสดงงานแสดงสินค้า เช่น SIAL CHINA ในปีที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดี จนตัดสินใจเข้าร่วมออกแสดงงานอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยจะนำ 4 แบรนด์ไปเปิดตลาด”

คุณอิทธิพล คำแพง ผู้จัดการด้านการตลาด บริษัท ไทยโคโคนัท จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทผู้นำในด้านการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวน้ำหอมและมะพร้าวกะทิเสริมว่า “บริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเมื่อปีที่แล้วได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ – น้ำมะพร้าวสปาร์กลิ่ง 100% BLANC COCO ทั้งแบบที่เป็นน้ำมะพร้าวธรรมชาติอัดแก๊ส (Natural) และแบบอัดแก๊สผสมแอลกอฮอล์ 5% และได้รับรางวัลนวัตกรรมด้านอาหาร SIAL INNOVATION จาก SIAL CHINA 2017 ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำการตลาดต่างประเทศ”

MULTIVAC’s X-line Receives the Gold International FoodTec Award 2018

Wolfertschwenden,

The X-line, a new generation of thermoforming packaging machines, has been given the Gold International FoodTec Award 2018. The thermoforming packaging machine sets a new benchmark in the market thanks to its range of innovative technology. As a result of its seamless digitalisation, comprehensive sensor system and networking with the MULTIVAC Cloud, the X-line creates a new dimension, when it comes to packaging reliability, quality and performance.

The DLG (German Agricultural Association), together with its trade fair partners, gives the International FoodTec Award to groundbreaking developments in innovation, sustainability and efficiency in the sector of food technology. A jury, which is made up of international experts from the world of science and research as well as from representatives of industry, is responsible for selecting the most progressive concepts. The renowned Technology Award is given on a three-year cycle in the form of gold and silver medals by the DLG in cooperation with its industry and media partners at Anuga FoodTec in Cologne.

The X-line, which has been awarded the gold medal, has a level of sensor control never achieved before, whereby the Multi Sensor Control captures all the relevant parts of the process. Using closed control circuits, the sensor system constantly captures a wide range of process values, such as for example for forming, evacuation and sealing. Even the forming and sealing dies are integrated into the sensor control via electronic sensor modules. All the process stages are coordinated to the optimum level, while product- and system-related discrepancies are automatically compensated as much as possible, and even faulty settings by operators are independently detected and displayed. Thanks to this, the X-line works constantly at the optimum operating point.

MULTIVAC Pack Pilot enables the machine to be set up to the optimum level using machine control support. When new recipes are created, the machine parameterises itself to the optimum operating point, using the die set data and the features for pack, product and packaging material that have been selected. This means that the machine can be used even without special operator knowledge. Pack Pilot has access to comprehensive expert knowledge, which benefits from process data from over 1,000 new packaging solutions per year. The X-line produces packs with maximum packaging reliability, consistent quality and very high output without production loss during machine start-up.

A new die generation called X-tools guarantees the lowest operating costs in the market. The X-tools have an extensive range of innovations in their design, sensor system and actuating features. They enable shorter evacuation times to be achieved and therefore contribute to higher cycle outputs. As an option, the X-tools can be designed with a narrower edge trim width. This means that the film trim can be reduced by up to 30 percent. All the die elements are coded and can be identified by the thermoforming packaging machine. When a die is correctly installed, the machine parameterises itself automatically, which ensures that there is optimum process control. This means that operating reliability is increased, particularly for machines with frequent format changes.

And last but not least, the X-line has been equipped with an innovative operating concept. The intuitive HMI 3 Multi-Touch user interface is high-resolution and is equivalent to the operating logic of today’s mobile devices. It enables the operating processes to be controlled even more easily and reliably, and it can be individually set to the particular operator. This includes different access rights and operating languages. User login is contactless by means of RFID chip cards. All the relevant machine parameters are displayed on one screen page.