7 มาตรการทางการตลาด รองรับการตัดสิทธิจีเอสพีของสหรัฐฯ

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)  วาง 7 มาตรการรองรับผลกระทบการตัดสิทธิจีเอสพีของสหรัฐฯ เตรียมหาตลาดใหม่ทดแทน อาทิ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น บาห์เรน กาตาร์ แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร รัสเซีย CLMV และ อินโดนีเซีย พร้อมเร่งขยายการส่งออกให้สูงขึ้นก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้

 

จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาประกาศตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรทางการค้า (GSP) ที่เคยให้ไทยบางรายการเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2562 นั้น นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงมาตรการดังกล่าวว่าจะยังคงไม่กระทบต่อเป้าส่งออกสินค้าไทยที่ส่งไปสหรัฐฯ ในปี 2562  ที่วางไว้ขยายตัวร้อยละ 4 เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่มีคำสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าและทยอยส่งมอบไปแล้ว ซึ่งยอดส่งออก 9 เดือนแรกคิดเป็นร้อยละ 73-75 ของทั้งปี  คาดว่าช่วงนี้ผู้นำเข้าจะเร่งนำเข้าสินค้าก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้

อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เตรียมมาตรการรองรับ และเพิ่มกิจกรรมหาตลาดทดแทน พร้อมทั้งได้หารือกับภาคเอกชนเพื่อกำหนดตลาดและกิจกรรมด้วยแล้ว โดยในเบื้องต้นมี 7 มาตรการรองรับ ดังนี้

1. เร่งขยายการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ช่วงปลายปีนี้จนถึงก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้ โดยมีกิจกรรมผลักดันให้การนำเข้าขยายตัวมากขึ้น ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าผู้นำเข้าจะเร่งนำเข้าสินค้าที่จะได้รับผลกระทบการมาเตรียมไว้ก่อน ดังนั้น ในช่วงนี้อาจมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฐานการผลิตในไทย ในขณะเดียวกันได้มีการคืนสิทธิ/ผ่อนผันตามเกณฑ์จีเอสพีรายสินค้าแก่ไทยจำนวน 7 รายการ ได้แก่ ปลาแช่แข็ง ดอกกล้วยไม้สด เห็ดทรัฟเฟิล ผงโกโก้ หนังของสัตว์เลื้อยคลาน เลนส์แว่นตา และส่วนประกอบของเครื่องแรงดันไฟฟ้า ซึ่งกรมจะเร่งขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ให้แก่สินค้าเหล่านี้ไปพร้อมกัน

2. เร่งกระจายความเสี่ยงโดยหาตลาดส่งออกให้หลากหลายและแสวงหาตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่โดนผลกระทบ การดำเนินงานของทูตพาณิชย์ในขั้นต่อไปคือเร่งหาตลาดให้แก่สินค้าที่ได้รับผลกระทบ และสำรวจความต้องการของตลาด ทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนขายสินค้าของประเทศไทย โดยในช่วงนี้ถึงกลางปี 2563 เตรียมบุกตลาดและกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้าไทยในประเทศเป้าหมายทั่วโลก อาทิ อินเดีย บาห์เรนและกาตาร์ แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น จีน สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ตุรกี รัสเซีย CLMV ศรีลังกา บังคลาเทศ และอินโดนีเซีย เป็นต้น

3. ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหารแปรรูป โดยใช้โอกาสจากภาวะเงินบาทแข็งค่าไปลงทุนในสหรัฐฯ ในรูปของสำนักงานขาย หรือการแสวงหาเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน หรือในประเทศที่สหรัฐฯ มีข้อตกลงการค้าเสรีด้วย อาทิ แคนาดา ชิลี และเม็กซิโก เพื่อใช้สิทธิในการส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ

4. เร่งสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า โดยการกระชับความสัมพันธ์กับผู้นำเข้าพันธมิตร และเพิ่มความร่วมมือกับผู้นำเข้าขนาดกลาง และ SMEs ในประเทศต่างๆ

5. สร้างความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารไทย และกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยในหลายตลาด

6. รักษาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า โดยการพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรม สอดคล้องกับแนวโน้ม (Trend) ของตลาด อีกทั้งการสร้างความเข้มแข็งให้แบรนด์สินค้าและทรัพย์สินทางปัญญาของสินค้าเพื่อสร้างจุดเด่นและความได้เปรียบของสินค้าไทย

7. ผลักดันการค้าผ่าน thaitrade.com ซึ่งเป็นช่องทางการค้าออนไลน์ที่สามารถส่งออกสินค้าไทยคู่ขนานไปกับการค้ารูปแบบเดิม พร้อมกันนี้กรมได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ โดยจะเปิด TopThai Flagship Store ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าของไทยในแพลตฟอร์มต่างประเทศ และในเดือนพฤศจิกายนนี้จะเปิดตัวร่วมกับ TMall Global ในจีน และจะขยายสู่ประเทศสำคัญอื่นๆ ต่อไป

Health & Wellness for Aging Society – สูงวัยอย่างมีคุณภาพและคุณค่า

จากการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2560  โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าผู้สูงวัยที่อายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปมีจำนวน 11,312,447 คน คิดเป็นร้อยละ 16.7 ของประชากรไทย มีการคาดการณ์ว่า ในปี พ.ศ. 2573 คนไทยที่อายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์จะมีมากกว่าร้อยละ 25 แต่ในหลายประเทศผู้สูงวัยหมายถึงบุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่ความเสื่อมของร่างกายตามธรรมชาติปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน มีโรคที่เกิดจากความเสื่อมตามวัยได้ องค์การอนามัยโลกให้คำจำกัดความผู้สูงอายุที่มีสุขภาวะดีว่าเป็นผู้สูงอายุที่มีโรคน้อย แม้มีโรคก็มีสุขภาพดี โดยมีร่างกายแข็งแรง คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง จิตใจผ่องใสและเป็นสุข ดูแลตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น เข้าสังคมและร่วมกิจกรรมในสังคมได้ จัดเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพและคุณค่า

 

รายงานในปี พ.ศ.2557 พบว่า ร้อยละ 70 (10.5 ล้านปี จากทั้งหมด 14.9 ล้านปี) ของปีสุขภาวะที่คนไทยสูญเสีย เกิดจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (non-communication diseases) โดยโรคที่พบเป็นสาเหตุบ่อยเรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์และอัมพาต โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง กลุ่มโรค NCDs ทั้งหมดเกิดจากคนไทยดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งการกิน การอยู่ แบบคนเมืองมากขึ้น นั่นคือ บริโภคอาหารปริมาณมาก แต่สัดส่วนและคุณภาพไม่เหมาะสม มีไขมัน น้ำตาลและเกลือปริมาณมาก มีการเคลื่อนไหวร่างกาย และกิจกรรมออกแรงน้อยลง ชีวิตเต็มไปด้วยความเครียด รีบเร่งและแข่งขัน แวดล้อมด้วยมลพิษ ยาสูบ แอลกอฮอล์ และสิ่งเสพติด

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทุกวัย เริ่มตั้งแต่ทารกในครรภ์ มารดาต้องเรียนรู้และดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์อย่างถูกต้อง เพื่อให้มีสุขภาพดี มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม ประมาณ 12-15 กิโลกรัม ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ การบริโภคและกิจกรรมออกแรงที่มารดาทำจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาของทารกในครรภ์ ถ้ามารดาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก บางคนมากเกิน 20 กิโลกรัม ทารกอาจมีน้ำหนักตัวแรกเกิดมากเกินไป หรือถ้ามารดาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นน้อยไป ทารกอาจมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ทำให้มีความเสี่ยงขณะคลอดและสุขภาพที่ไม่ดีในอนาคต นอกจากนี้มารดาต้องนำสิ่งที่เรียนรู้ในขณะตั้งครรภ์มาเลี้ยงดูลูกให้เติบโตและพัฒนาตามวัย รวมทั้ง ควรดูแลความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวเพื่อให้ปลอดจากโรคเรื้อรัง NCDs ด้วย

ในวัยเรียน เด็กควรได้เรียนรู้การกินการอยู่ที่ถูกต้องจากโรงเรียนและทำได้จริง สอดคล้องกับการเลี้ยงดูที่บ้าน เมื่อเป็นผู้ใหญ่จึงดูแลตนเองได้และในที่สุดสามารถดูแลครอบครัวให้กินดีอยู่ดี วัยผู้ใหญ่หรือเมื่อเริ่มทำงานเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตที่สำคัญเพราะเป็นช่วงเวลาของการสร้างฐานะ สร้างครอบครัว และความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นอกจากนี้ เป็นช่วงชีวิตที่โรคเรื้อรัง NCDs มักก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากระยะเริ่มแรกของโรคเรื้อรังไม่แสดงอาการใดๆ สัญญาณเริ่มแรกของโรคเรื้อรังที่เห็นง่ายวัดง่าย คือ น้ำหนักตัว รอบเอว และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น คนที่การกินการอยู่ไม่เหมาะสมโรคเรื้อรังจะก่อตัวเร็วขึ้น หากไม่รู้ตัวไม่ได้รับการแก้ไขหรือรักษา โรคจะเป็นมากขึ้น จนแสดงอาการและความเจ็บป่วยออกมาชัดเจน ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาและติดตามต่อเนื่อง มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในขณะที่ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ถ้าวัยเรียนหรือวัยผู้ใหญ่สุขภาพไม่ดี มีโรคเรื้อรังเกิดขึ้น จะเป็นผู้สูงวัยที่เป็นภาระต้องรับการดูแลรักษาและความช่วยเหลือตลอดไป

จากรายงานการศึกษาพยากรณ์อายุคาดเฉลี่ยที่มีสุขภาวะของประชากรไทย โดยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี พ.ศ.2558 ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยเท่ากับ 74.8 ปี แต่ค่าอายุเฉลี่ยที่มีสุขภาพดีของคนไทยเท่ากับ 68.2 ปี นั่นคือ ก่อนเสียชีวิตคนไทยอยู่โดยมีสุขภาพไม่ดีนานถึง 6.6 ปี ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งควรเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ คือ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีคุณภาพและคุณค่าตามลักษณะที่กล่าวข้างต้น ดังนั้น จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวดูแลสุขภาพตั้งแต่เยาว์วัย โดยต้องสร้างสุขภาวะดีตลอดอายุขัย เพื่อคนไทยมีชีวิตอยู่โดยปีที่มีสุขภาพไม่ดีน้อยลง ไม่ให้ประเทศชาติต้องแบกรับภาระด้านต่างๆ ของโรคเรื้อรังที่เกิดขึ้นในวัยทำงานหรือเมื่อสูงวัยมากเกินไป ความคาดหวังให้ประเทศไทยมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ สังคมไทยและชาติไทยมีความมั่นคงอย่างยั่งยืนจึงจะเป็นจริงได้

 

โดย: ศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิง วรรณี  นิธิยานันท์

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย