“อาหารอนาคต” คือ “อาหารเพื่อความยั่งยืนของโลก” เพราะ การผลิตอาหารแบบเดิมนั้นมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ ทรัพยากรที่ใช้เลี้ยงสัตว์ อย่างน้ำและอาหาร รวมถึงสิ่งแวดล้อม อีกไม่นานมนุษย์ต้องเผชิญกับ “ภาวะขาดแคลนอาหาร” อย่างรุนแรง เนื้อสัตว์แบบเดิมจะผลิตได้น้อย และไม่เพียงพอต่อความต้องการ อาหารอนาคตจะกลายเป็นคำตอบที่มาแทนที่อาหารดั้งเดิม สิ่งที่ตอบโจทย์นี้ได้ดีที่สุด คือ การคิดหาแหล่งอาหารใหม่ ตลอดจนนำนวัตกรรม เทคโนโลยี มาพัฒนาจากอาหารธรรมดาให้กลายเป็น “อาหารแห่งอนาคต (Future Food)” ที่เพิ่มผลผลิตได้เร็วกว่า ใช้พื้นที่เพาะเลี้ยงน้อยกว่าการทำปศุสัตวแบบเก่า ลดการใช้ทรัพยากรอาหารในการเลี้ยง ที่สำคัญอาหารนั้นยังให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และส่งผลดีต่อความยั่งยืนของโลก เพราะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการสร้างขยะเหลือทิ้ง (Zero Waste) จากกระบวนการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เนื่องจากขยะมีส่วนในการเพิ่มก๊าซมีเทนที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้น
จากการที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในงานประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่ผ่านมา กรมประชาสัมพันธ์ได้จัดการแข่งขันเมนูแห่งอนาคต ในโครงการ “Future Food for Sustainability” ภายใต้แนวคิด BCG Economy เพื่อต้อนรับผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันนวัตกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยี จนพัฒนาเป็น “อาหารแห่งอนาคต” ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า และแก้ไขปัญหาโลกร้อนจากการผลิตอาหาร รวมไปถึงแก้ไขวิกฤติการขาดแคลนอาหารในระยะยาวได้ ซึ่งอาหารอนาคตถือว่าเป็น Mega Trend ที่มีมูลค่าสูงถึง 122,927 ล้านบาท และจะเติบโตขึ้นอีก 2 เท่า ในปี 2025 โดยเกณฑ์ตัดสินเมนูที่ผ่านเข้ารอบนั้น ได้แก่ แหล่งที่มาของวัตถุดิบ ตลอดจนรสชาติ รูปลักษณ์ และเนื้อสัมผัส คุณประโยชน์ที่ได้รับ รวมไปถึงความเป็นไปได้ในธุรกิจ สามารถตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนอาหารได้ ซึ่งเมนูอาหารแห่งอนาคตที่ผ่านเข้ารอบนั้น ต่างก็มีแนวคิดที่น่าสนใจ เช่น การใช้วัตถุดิบอาหารในท้องถิ่นที่เพาะปลูกด้วยแนวเกษตรอินทรีย์ ไม่พึ่งพาสารเคมี การเลือกใช้เนื้อเทียม (Plant based protein) จากโปรตีนทางเลือกที่หลากหลาย เช่น พืช เห็ด และธัญพืชต่างๆ การหาแหล่งวัตถุดิบอาหารใหม่ๆ ที่ให้สารอาหารสูง เช่น แมลง และสาหร่าย การเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการเพื่อเสริมสุขภาพในด้านต่างๆ หรือแนวคิด (Zero Waste Cooking) ที่คำนึงถึงการลดขยะเหลือทิ้งจากขั้นตอนการผลิตอาหาร โดยเมนูทั้ง 21 เมนูที่ผ่านเข้ารอบนั้น มีจุดขายและตรงกับแนวคิดของโครงการที่น่าสนใจ และผ่านกระบวนการคัดเลือกผลงานมากว่า 3 เดือน โดย วันที่ 13 ธันวาคม 2565 ได้ประกาศผลการแข่งขันกิจกรรมรังสรรค์เมนูอาหาร Plate to Planet และจัดพิธีมอบรางวัลกิจกรรมแข่งขันรังสรรค์เมนูอาหาร Plate to Planet ดังนี้

รางวัลที่ 1 เมนูขนมชั้นในอนาคต-ขนมชั้นสูตรลดน้ำตาล เสริมใยอาหารและโพรไบโอติก
ขนมชั้นนวัตกรรมใหม่ รูปทรงดอกบัวให้กลิ่นและรสน้ำตาลสด เป็นสูตรลดน้ำตาลมากถึง 40% ด้วยเทคนิคสลับชั้นหวานและจืด โดยลิ้นยังคงรับรสหวานดังเดิม เสริฟพร้อมครัมเบิ้ลมะพร้าวที่เสริมจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์พิเศษ มีใยอาหารสูง ราดด้วยซอสโปรตีนทำจากมะพร้าว สีชมพูของขนมทำมาจากสารสกัดเปลือกแก้วมังกรที่เสถียรต่อความร้อน ช่วยลด Food-Waste ในกระบวนการผลิตได้

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ขนมไข่ผำชูกำลัง Wolffia Power Energy Dessert
มูสเต้าหู้ไข่ผำ เจลลี่น้ำผึ้งไข่ผำ กราโนล่า ครีมเต้าหู้ผำสด สูตรไม่มีเจลาตินจากสัตว์ ขนมไข่ผำชูกำลัง ซึ่งโดยทั่วไปขนมหวานแบบมูสมักมีเจลาตินจากสัตว์ ขนมทั่วไปก็ไม่ค่อยมีโปรตีน ส่วนผสมมักมีแค่ เนย ไข่ และแป้ง ส่วนเต้าหู้ในท้องตลาดก็ไม่ได้มีผลิตภัณฑ์แนวคิดแบบใหม่ เป็นที่มาของการแปรรูปเต้าหู้อาหารโปรตีนสูงให้เป็นมูสขนมหวานที่มี Functional จาก Super food ที่ให้โปรตีน วิตามิน กรดอะมิโนและสารอาหารสูงไม่ต่างจากเนื้อสัตว์และผักสลัด

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ProTim Magket
เป็นไอศกรีมสไตล์แมกนัมที่มีส่วนผสมหลักจากโปรตีนจิ้งโกร่ง นมข้าวถั่ว และกระทิ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโปรตีนและวิตามินบีสูง ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยสามารถทานได้ มีคุณค่าทางอาหาร มีรสชาติที่อร่อย เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นการใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นเพื่อความยั่งยืน ส่วนในมุมมองระดับอุตสาหกรรมนั้น สามารถจำหน่ายเป็นรูปแบบแท่งสำเร็จรูป และยังสามารถต่อยอดเป็นผงสำเร็จรูปเพื่อความสะดวกสำหรับผู้บริโภคเพื่อให้สามารถนำไปใช้ทำเป็นขนมหวานทานเองได้

รางวัล Popular Vote คาร์โบนาร่าด้วยไข่จากพืช (Vegan Cabonara)
เมนู Carbonara ที่ผลิตจากพืช 100% สำหรับสปาเกตตี้เส้นสดเลือกใช้วัตถุดิบที่ให้ค่า Gi ต่ำ มีส่วนผสมของข้าว กข 43 และผำจากฟาร์ม Flo Wolffia ที่ให้วิตามิน B12 สูง ตอบโจทย์คนไม่ทานเนื้อสัตว์ ส่วนซอสครีมเข้มข้นได้จากพืชผัก นมข้าวไทยกับธัญพืชแทนนมข้าวโอ๊ตหรือนมอัลมอนด์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นำมาผัดกับ Whole-Food Smoked Mushroom Guanciale/Bacon ที่ทำจากเห็ดรมควันจากไม้ไทย ใช้ไข่แดงจากพืชผักและดอกไม้ไทย มีโปรตีนสูงใกล้เคียงไข่ไก่ รสชาติเข้มข้น ไม่มีคอเลสเตอรอล เลือกใช้ชีสหมักโดยมีกลิ่นหอมธรรมชาติจากมอลต์ข้าวไทยและธัญพืช
นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายที่น่าสนใจมากมาย เช่น เมนูห่อหอมดวงใจ (ห่อหมก Vegan Ready to Eat) ห่อหมก Vegan ชนิดผง (Ready To Cook) ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ห่อหมกจากเดิมให้เป็นแบบผงที่ให้รสชาติอร่อยและเนื้อสัมผัสที่ดี เมื่อคืนรูปจากผงแล้วได้ห่อหมกที่มีความสดใหม่เหมือนนึ่งออกจากเตา สามารถยืดอายุการเก็บรักษาได้ เมนูโครเก็ตพะแนงแพลนเบส ใช้มันเทศแทนมันฝรั่ง เลือกใช้โปรตีนทดแทนจาก ขนุน เห็ด ธัญพืช เมนูซาชิมิคอลลาเจนจากเกล็ดปลา ผสานคุณค่าไฮยารูรอนิคจากเห็ดหูหนูขาว เลือกใช้เกล็ดปลาที่เป็นของเหลือจากกระบวนการแปรรูปปลามาผลิตเป็นซาซิมิที่มีคอลลาเจน ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าแต่ละเมนูนั้นตอบโจทย์ถึงความยั่งยืนอาหารที่จะช่วยสร้างภาวะโภชนาการแก่ทุกคนและคนรุ่นหลังต่อไป ซึ่ง “อาหารอนาคต” นั้นจำเป็นจะต้องคำนึงถึงความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ มีประโยชน์ต่อสังคม และไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับสินค้าจากอาหารเหลือทิ้งสู่อาหารอนาคตที่มีมูลค่าสูง ที่สำคัญตรงกับคอนเซปต์ที่ว่า “ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อโลก”
สามารถติดตามข้อมูลเมนูอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้ที่: https://futurefoodapec.com





