Continue reading “โซลูชัน “ระบบอัตโนมัติ” เทคโนโลยีขั้นสูง กุญแจสำคัญในการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม”
Author: admin
The Most Recently Enforced Regulations Notification of the Ministry of Public Health (No.429)
Food and Agricultural Product Exports Guidelines to China
Pressure Assisted Thermal Sterilization (PATS): Alternative Technology for Future Manufacture of Shelf Stable Food
Enhance the Quality of Beef Patties with Edible Onion Packaging Film
‘ไทยวา’ พร้อมเป็นผู้นำอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารระดับภูมิภาค โดยมุ่งเน้นด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน
บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทแป้งมัน และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องทางด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ได้ประกาศความสำเร็จในปี 2564 ด้วยยอดขายกว่า 9,105 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากปี 2563 ส่งผลให้คณะกรรมการได้อนุมัติเงินปันผลรวมมูลค่าทั้งหมด 190 ล้านบาท ณ โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ ห้องบอลรูม ชั้น 10 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา
นายโฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไทยวาเผชิญกับความท้าทายเช่นกัน โดยสิ่งหนึ่งที่สำคัญของเราคือการรักษาคนของเราให้ปลอดภัย อย่างไรก็ตามผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2564 ถือว่าแข็งแกร่งมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับใช้นวัตกรรมเพื่อลดต้นทุนการผลิต การพัฒนาสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม การบริหารการขายและการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 9,105 ล้านบาทแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง 4,422 ล้านบาทหรือร้อยละ 49 รายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลังมูลค่าเพิ่ม (HVA) 2,910 ล้านบาท หรือร้อยละ 32 และรายได้จากธุรกิจอาหาร 1,767 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 โดยมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศคิดเป็นร้อยละ 83 และรายได้จากต่างประเทศคิดเป็นร้อยละ 17 เรายังคงมุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ B2B และ B2C ทั่วโลก ผ่านแบรนด์สินค้าอย่าง มังกรคู่ กิเลนคู่ และโรส อย่างต่อเนื่อง สำหรับการทำตลาดในต่างประเทศ ไทยวาได้ทำการส่งออกสินค้าไปแล้วทั่วโลก โดยมีโรงงานและสำนักงานทั้งหมด 15 แห่ง ตั้งอยู่ในประเทศไทย 9 แห่ง ประเทศเวียดนาม 3 แห่ง และยังมีสำนักงานตั้งอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศกัมพูชา และประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป้าหมายของบริษัทฯ คือการก้าวเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ตั้งเป้าเพิ่มรายได้เป็น 10,000 ล้านบาทในปี 2565
ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 เราจะมุ่งเน้นไปในการขับเคลื่อนธุรกิจที่มีความยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมของสินค้าที่ทางบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่ระดับสากล นอกจากนี้บริษัทฯ มีการต่อยอดธุรกิจ ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ หรือไบโอพลาสติก ภายใต้แบรนด์ ROSECO ซึ่งผลิตมาจากแป้งมันสำปะหลัง และสามารถนำไปขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ เช่น ภาชนะบรรจุอาหาร บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ในปีนี้เรามีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่เพิ่มอีก 8-10 รายการเช่น ผลิตภัณฑ์ส่วนผสมที่ปราศจากกลูเตน (gluten free) และโซลูชันด้านอาหาร
บริษัทฯ ยังมุ่งขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ผ่านไทยวาเวนเจอร์ (Thai Wah Ventures) เพื่อลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัป หรือธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพื่อต่อยอดและพัฒนาสินค้าเกษตร ที่สามารถช่วยเสริมการเติบโตของธุรกิจหลักได้ ครอบคลุมทั้ง 4 ด้านที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นวัตกรรมด้านฟาร์มและเทคโนโลยีการเกษตร การวิเคราะห์ข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานสำหรับธุรกิจในรูปแบบ B2B พลาสติกชีวภาพและการจัดการของเสียจากกระบวนการผลิต และส่วนผสมในอาหารและเทคโนโลยีการแปรรูปแบบใหม่ๆ ภายในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้ธุรกิจในเครือของบริษัทฯ ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
“เรายังมุ่งที่จะขยายตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายฐานการผลิตและการส่งออก รวมถึงการขยายฐานผู้บริโภคให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ผ่านนวัตกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร ทั้งนี้เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างความมั่นคงทางอาหารและความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการสร้างคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ในปี 2564 เราสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และมั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโตต่อไปได้อีกในปี 2565 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เป็นปีที่เราครบรอบ 75 ปี และยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไปเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของไทยวา” นายโฮ เรน ฮวา กล่าวทิ้งท้าย
ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care เดือน มีนาคม 2565
Level and pressure instrumentation for the process industry
Winner of U Share V Care January 2022
สรุปสาระสำคัญของการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ Hand in Hand for our Future of Food เพื่อเชื่อมโยงให้ระบบอาหารเราเกื้อกูลกับระบบอาหารโลก
ร่วมไขคำตอบเพื่ออนาคตของอาหารบนแนวคิด Future of Food and Sustainability โดย Mr. Renaud Mayers UNDP Thailand ซึ่งได้กล่าวโดยสรุปว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้วมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับโลก เนื่องจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่แม้แต่ตาเปล่าก็ยังมองไม่เห็นอย่าง ‘โคโรนาไวรัส’ ซึ่งกลายเป็นปัญหาสำคัญในระดับโลก นอกจากปัญหาเรื่องของไวรัสแล้ว ยังมีปัญหาระดับโลกที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ สภาพอากาศที่แปรปรวนและสภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อโลกและการดำรงชีวิต รวมไปถึงวิถีการอุปโภคและบริโภคได้ แต่เพราะว่าโลกไม่มีวันเหมือนเดิม (Disruption) จึงต้องแก้ปัญหานี้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่คุ้นชิน (Disrupted from comfort zone) อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์จะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง พยายามเพิกเฉยไม่สนใจต่อปัญหา ดังนั้นจึงต้องการสัญญาณเตือนที่ดังมากพอที่จะให้เกิดความตระหนัก (Awareness) ถึงสิ่งที่ต้องแก้ไข และใช้ Innovation (นวัตกรรม) เพื่อหาทางแก้ไขหรือยับยั้งปัญหานั้น เช่น การเปลี่ยนอาหารจากเนื้อสัตว์กลายเป็นอาหารจากพืช ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า และมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งช่วยแก้ปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนและสภาวะโลกร้อนได้ และสิ่งที่จะช่วยให้นวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นยังคงอยู่ รวมทั้งแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ Mindset (รูปแบบความคิด) ซึ่งเป็นคำสำคัญที่จะเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น อย่างเช่น การทำความเข้าใจว่า การที่เราลดการบริโภคอาหารจากเนื้อสัตว์ และเปลี่ยนมาบริโภคเนื้อสัตว์จากพืชแทน เนื่องจากมีความเกี่ยวโยงกับสภาพแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มาจากการทำปศุสัตว์ รวมทั้งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดความรู้และลงมือปฏิบัติเพื่อให้แก้ปัญหาได้สำเร็จ และทำให้เกิดความยั่งยืน ไม่เช่นนั้นจะมีสิ่งที่น่ากลัวกว่าเชื้อไวรัสโคโรนารออยู่อย่างแน่นอน
Dr. Gijs Theunissen Agricultural Counsellor Netherlands Ambassy ได้เสริมแนวคิดของ Future of Food and Sustainability โดยสรุปว่า อนาคตของอาหาร คือ อาหารที่ใช้นวัตกรรมและเกิดขึ้นในอนาคต หรืออาหารที่พบเจอได้ทั่วไป เช่น แมลง ซึ่งคนไทยมองว่าเป็นเรื่องปกติที่จะใช้แมลงเพื่อทำอาหาร และตอนนี้แมลงก็ได้กลายเป็นอาหารแห่งอนาคตแล้ว หรืออาจจะเป็นอาหารที่ทำจากพืชทดแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งดีต่อสุขภาพร่างกายมากกว่า แต่นอกจากเรื่องของสุขภาพแล้วยังต้องคำนึงถึงรสชาติที่จะดึงดูดให้กลับมาบริโภคซ้ำ นอกจากนี้ยังต้องการความร่วมมือเพื่อให้เกิดการหาแหล่งโปรตีนที่แตกต่าง ในราคาที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ พร้อมทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัยและมีความยั่งยืน
แนวคิดถัดมาที่จะมาร่วมกันไขคำตอบ คือ Tourism, Local Wisdom, Michelin Star and Future of Food จากคุณศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาดและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งท่านได้กล่าวโดยสังเขปว่า ในปี 2562 ก่อนที่จะมีโรคระบาด โคโรนาไวรัสเกิดขึ้น ประเทศไทยประสบความสำเร็จในเรื่องของการท่องเที่ยว และมีจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 40 ล้านคน มีรายได้ถึง 2 ล้านล้านบาท โดยหนึ่งในสามมาจากการท่องเที่ยวในประเทศ และรายได้กว่าร้อยละ 25-30 นั้นมาจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งการรับประทาน ซึ่งโดดเด่นเป็นอย่างมากของประเทศไทย แต่เพราะโรคระบาดที่เกิดขึ้นทำให้นโยบายเปลี่ยนแปลง เกิดการปิดประเทศและมีผลกระทบด้านลบต่อทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย แต่ในปีนี้นโยบายเริ่มมีการผ่อนปรน จึงมีเป้าหมายที่จะปลุกกระแสการท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยให้มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวแต่ยังนำอาหารการกินเข้ามาเชื่อมโยง และไม่ใช่แค่การคิดค้นอาหารใหม่ แต่ต้องรวมเอาความยั่งยืนสอดแทรกเข้าไปด้วย ประกอบกับที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีแคมเปญ Amazing new chapters: From A to Z Thailand has it all ตัวอย่างเช่น O – Organic life style, Q – Quest of dining, V- Vegan, T-Thai recipe หรือ Z- Zero food waste ที่ส่งเสริมทั้งการท่องเที่ยวและอาหาร ผนวกกับแคมเปญ SPOT (Soft Power Of Thailand) และ 4F ที่สำคัญของประเทศไทย คือ Food, Film, Festival and Fabric โดยเน้นที่ Food เพราะอุตสาหกรรมอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่งแก่ประเทศไทย
และแนวคิดสุดท้ายที่มาร่วมไขคำตอบในหัวข้อนี้ ก็คือ Innovation for Future of Food โดย ดร.ลลานา ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสด้านนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวถึงปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ นั่นก็คือ จำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งภายในปี 2050 จะมีประชากรในโลกประมาณ 10 พันล้านคน หมายความว่ามีประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 พันล้านคน ความต้องการบริโภคอาหารมีมากขึ้นแต่พื้นที่มีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งแหล่งเพาะปลูก แหล่งน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกและการทำปศุสัตว์ ส่งผลกระทบและเป็นเหตุให้เกิดสภาวะโลกร้อน ประกอบกับสังคมผู้สูงอายุที่อาจมีถึง 2.1 พันล้านคน และผู้สูงอายุมีความต้องการอาหารและสารอาหารที่มีความพิเศษขึ้น เช่น สามารถเคี้ยว กลืน และย่อยง่าย รวมกับผู้ป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเบาหวาน ซึ่งคร่าชีวิตกว่า 41 ล้านคนในแต่ละปี ซึ่งมากกว่าการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เสียอีก สาเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มีความเกี่ยวข้องกับอาหาร สุขภาพ และความยั่งยืน โดยการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งคือการหาแหล่งอาหารทดแทน ทำให้เกิดคำว่า อาหารแห่งอนาคตขึ้น และอาหารแห่งอนาคตอาจมีการใช้นวัตกรรมหรือเทคโนโลยี โดยอาจเป็นอาหารเดิมที่มีเทคโนโลยีใหม่ ในการทำให้อาหารที่ทำจากพืชมีรสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนจริง หรือวัตถุดิบใหม่ และใช้เทคโนโลยีทำให้เป็นอาหารฟังก์ชัน ที่มีราคาจับต้องได้ และได้สุขภาพที่ดี นอกจากนี้ยังต้องมีเรื่องของสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยการลดปริมาณการใช้น้ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้ AI, Big data หรือ Co-farming ที่ช่วยให้ใช้พื้นที่น้อยลงแต่ยังได้ผลผลิตเท่าเดิม และอาหารยังคงมีทั้งวิตามิน แร่ธาตุที่ดีต่อสุขภาพ ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคซึ่งชื่นชอบอาหารที่มีความสดใหม่ เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป รวมทั้งใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ไม่ได้ทำมาจากพลาสติก ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล และนำเทคโนโลยีมาลดการเกิด Food waste นอกจากนี้ยังมีอีกหลายแนวทางที่จะนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่ SME และ Start up เพื่อให้ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม และมีวัตถุดิบอาหารหลากหลาย สามารถส่งออกสู่ต่างประเทศ และสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมอาหารในระดับโลกได้