จากการรายงานสถานการณ์การตลาดโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งมีพื้นที่ดูแลประเทศเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ เปิดเผยภาพรวมตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์ พบว่ากลุ่มสินค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์เป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง จึงมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยที่สูง ประกอบกับประชากรมีความนิยมอุปโภคบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ ทั้งกลุ่มสินค้าอาหารและไม่ใช่อาหาร
ภาพรวมตลาดกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์พบว่ามีอัตราการอุปโภคบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ต่อหัวประชากรสูงที่สุดในโลก นำโดยเดนมาร์ก และสวีเดน ทั้งนี้ สินค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดครอบคลุมเกือบทุกสินค้า ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อสัตว์ ปลาและอาหารทะเล ขนมขบเคี้ยว ผักและผลไม้สดและแปรรูป ผักและผลไม้อบแห้ง เครื่องดื่ม ชา กาแฟ น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารสำหรับเด็กอ่อนและทารก เป็นต้น
สถานการณ์การแข่งขันและคู่แข่งที่สำคัญของไทย
จากสถานการณ์และความต้องการของตลาดนับว่าเป็นโอกาสให้กับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มของไทยโดยเฉพาะผู้ที่มุ่งมั่นเจาะตลาดผู้บริโภคเฉพาะทาง ทั้งนี้ คู่แข่งสำคัญสำหรับตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์นั้นคือสินค้าที่มาจากกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์เอง เนื่องจากกระแสความนิยมการอุปโภคบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาดนี้มีสูง กลุ่มผู้ผลิต หน่วยงานรัฐ และเอกชนจึงมุ่งลงทุนและพัฒนาด้านการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ทั้งนี้ ในปี 2561 เดนมาร์กนำเข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์รวมทั้งหมด 578 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์รวมทั้งสิ้น 442 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเดนมาร์กใช้พื้นที่ทำเกษตรอินทรีย์รวม 279,299 เฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 8.6 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด) ฟาร์มเนื้อสัตว์เกษตรอินทรีย์รวม 4.23 ล้านตัว (กลุ่มปศุสัตว์ สุกร สัตว์ปีก และอื่นๆ) ทั้งนี้ มูลค่าตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในร้านค้าปลีกในเดนมาร์กมีมูลค่ารวม 1.93 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยกลุ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดคือ กลุ่มนมสด ชีส และไข่ รองลงมาได้แก่ กลุ่มผัก ผลไม้ และข้าว ขนมปัง เส้นพาสต้า แป้งทำอาหาร กลุ่มเนื้อสัตว์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดในร้านค้าปลีกคือ เนื้อวัว แฮมและไส้กรอก (Cold cut meat and poultry) เนื้อสุกร และเนื้อไก่
ทางด้านสวีเดนนั้น จากข้อมูลล่าสุดปี 2560 สวีเดนมีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์รวมประมาณ 477,685 เฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 19.2 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด) นอร์เวย์ 48,000 เฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 4.8 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด) ฟินแลนด์ 240,600 เฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 11.4 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด) และไอซ์แลนด์ มีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์คิดเป็นร้อยละ 0.4ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด ทั้งนี้ การทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์จะมีหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละประเทศ ได้แก่ Danish Agriculture & Food Council, Swedish Board of Agriculture, Norwegian Agricultural Counseling และ Finnish Food Safety Authority Evira โดยฟินแลนด์มีฟาร์มเนื้อสัตว์เกษตรอินทรีย์รวม 959 แห่ง ซึ่งส่วนมากผลิตนมเกษตรอินทรีย์ มีฟาร์มผลิตเนื้อสุกรเกษตรอินทรีย์จำนวน 14 แห่ง ฟาร์มผลิตเนื้อสัตว์ปีกเกษตรอินทรีย์จำนวน 3 แห่ง ฟาร์มผลิตไข่ไก่เกษตรอินทรีย์ 48 แห่ง
โอกาสและความท้าทายของสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทย
แม้ว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์จากประเทศไทยจะยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในตลาดกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์มากนัก แต่สินค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ที่มีโอกาสขายได้ในตลาดกลุ่มดังกล่าว ได้แก่ ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อสัตว์ ปลาและอาหารทะเล ขนมขบเคี้ยว ผักและผลไม้สดและแปรรูป ผักและผลไม้อบแห้ง น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารสำหรับเด็กอ่อนและทารก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญที่ส่งผลให้สินค้าเกษตรอินทรีย์จากประเทศไทยบางกลุ่มยังไม่เป็นที่เชื่อถือในตลาดมากนัก เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป เนื่องจากมีส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง รวมถึงการสร้างแบรนด์สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีความสำคัญ รวมทั้งการจัดหาเอกสารรับรองจากมาตรฐานนานาชาติเพื่อให้คู่ค้าสามารถวางใจได้ในมาตรฐานของสินค้าไทยด้วย
ด้านปัจจัยสนับสนุนพบว่ากระแสความนิยมการบริโภคสินค้าจากท้องถิ่นได้กลายมาเป็นหนึ่งในแนวโน้มการบริโภคที่สำคัญในปัจจุบัน เนื่องจากกระแสการลดภาวะโลกร้อนที่ภาคการขนส่งเป็นส่วนหนึ่งในปัญหานี้ ผู้บริโภค ร้านค้าปลีก ภัตตาคาร และผู้นำเข้าจึงหันมานิยมจับจ่ายซื้อของจากท้องถิ่นที่สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการใช้พลังงานในการขนส่ง รวมทั้งลดปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่เกิดจากการขนส่งด้วย
แนวทางการขยายตลาดและลู่ทางการจำหน่าย
ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในด้านคุณภาพสินค้า เนื่องจากสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาดกลุ่มประเทศ นอร์ดิกส์โดยทั่วไปจะมีราคาเฉลี่ยสูงกว่าราคาสินค้าทั่วไปร้อยละ 20 ผู้นำเข้าและผู้บริโภคจึงคาดหวังว่าจะได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพด้วย และควรพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น นวัตกรรมการบรรจุภัณฑ์ที่ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ช่วยลดต้นทุนในการขนส่ง มีมาตรฐานสูง และสามารถเก็บสินค้าได้เป็นเวลานาน
นอกจากนี้ ควรศึกษาข้อมูลเครื่องหมายทางการค้าตราสัญลักษณ์เกษตรอินทรีย์ในกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์ที่ได้รับการยอมรับ และใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยปัจจุบันมี 5 ตราสัญลักษณ์ด้วยกันตามแต่ละประเทศ และยังสามารถใช้ EU Organic logo ได้ด้วย ทั้งนี้ จากการสำรวจประชากรกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์โดย Nordic Swan Ecolabel กว่า 9 ใน 10 คนรู้จัก Nordic Swan Ecolabel และกว่าครึ่งนึงมองหาสัญลักษณ์นี้เมื่อซื้อสินค้า ดังรูปด้านล่าง
เครื่องหมายอาหารเกษตรอินทรีย์ในเดนมาร์ก (Danish Organic Logo) สวีเดน (KRAV) นอร์เวย์ (Debio) กลุ่มประเทศนอร์ดิกส์ (Nordic Swan Ecolabel) สำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มิใช่อาหารและยุโรป (EU Organic logo) (เรียงจากซ้ายไปขวา)
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Danish Organic Logo http://en.mfvm.dk/focus-on/organic-denmark/danish-organic-logo/ KRAV www.krav.se Debio https://debio.no/english/ Nordic Swan Ecolabel www.nordic-ecolabel.org และ EU Organic logo https://ec.europa.eu/agriculture/organic/index_en
ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ส่งออกและผู้ที่สนใจขยายตลาดกลุ่มประเทศดังกล่าวควรเตรียมการจัดทำข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อประโยชน์สำหรับการค้าออนไลน์ โดยผู้นำเข้า/ร้านค้าปลีกรายใหญ่หลายแห่งมีระบบการลงทะเบียนข้อมูลผู้ส่งออก/suppliers ออนไลน์ผ่านเวปไซต์ของตนเอง เช่น บริษัท S – Group ฟินแลนด์ https://s-ryhma.fi/en/for-suppliers บริษัท ICA Gruppen AB สวีเดน ซึ่งทำให้สะดวก รวดเร็ว การติดต่อมีประสิทธิภาพ และได้รับข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของตนมากขึ้น
หากผู้ส่งออกต้องการส่งอีเมล์ถึงบริษัทผู้นำเข้า/ร้านค้าปลีกในกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์เพื่อแนะนำสินค้าและบริษัทของตน สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากปริมาณอีเมล์จากผู้ส่งออกจากทั่วโลกที่บริษัทผู้นำเข้าได้รับแต่ละวันมีจำนวนมหาศาล จึงควรเขียนอีเมล์ที่สั้น กระชับใจความ มีข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจการสั่งซื้อ เช่น รายละเอียดสินค้า/บริษัท รูปภาพสินค้า เพื่อสร้างความสนใจและน่าดึงดูดในการติดต่อกลับเพื่อทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต
ผู้ส่งออกควรเน้นกลยุทธ์โดยการพัฒนารูปแบบสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูง รวมทั้งพัฒนาหีบห่อบรรจุภัณฑ์ให้มีขนาดกับพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น ชาวนอร์ดิกส์นิยมรับประทานข้าวเป็นครั้วคราว ขนาดบรรจุที่ได้รับความนิยมในตลาดคือ 1 กิโลกรัม อาจช่วยให้สินค้าสามารถขยายตลาดเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
นอกจากนี้ จากประเด็นความนิยมสินค้าที่ลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) การให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาที่เป็นธรรมแก่ผู้ผลิต (Fair price) และการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสามารถช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อให้เพิ่มมากขึ้น
—————————————————————————————————————————————–
ที่มา: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน