Form-Fill-Seal Packaging Machine…Innovation for Food Manufacturers

บรรจุภัณฑ์และเครื่องบรรจุภัณฑ์แบบ Form-Fill-Seal กับการพัฒนาที่ตอบโจทย์ตลาดผู้ผลิตในปัจจุบัน

By:  Iddhiputt Thamsuriya

Engineering Director

Thai Sek Son Co., Ltd

Full article (TH-EN)

ปัจจุบันการตลาดมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ ได้มีผลผลักดันให้ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคหันมาใช้เครื่องบรรจุแบบ Form-Fill-Seal (FFS) กันมากขึ้น เนื่องจากระบบมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบกระบวนการผลิตได้สะดวก รวดเร็ว และมีราคาไม่สูง รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่ออกมามีราคาถูกกว่าและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์ชนิดอื่น โดยบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วยังสามารถที่จะนำกลับมารีไซเคิลได้ง่ายหรือสามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ

ความยืดหยุ่น อเนกประสงค์ และการเชื่อมต่ออย่างชาญฉลาดเพื่อตอบโจทย์ 4.0

เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือกลไกของเครื่อง FFS เฉพาะตัวเครื่องจักรเองเริ่มมีความอิ่มตัว เราอาจจะไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่มากนักเมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ทว่า การออกแบบในยุคต่อไปจะมุ่งเน้นไปที่ความยืดหยุ่นและอเนกประสงค์มากขึ้น และสามารถเชื่อมต่อแบบบูรณาการอย่างชาญฉลาดกับเครื่องจักรอื่นๆ ได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยหลักการออกแบบในยุคต่อไปจะต้องใช้ความรู้เข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่องขนาดบรรจุภัณฑ์ ลักษณะบรรจุภัณฑ์ วัสดุที่นำมาใช้ การถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ง่ายและไม่ต้องใช้เครื่องมือ การเพิ่มความเร็วทางกลศาสตร์ ขนาดเครื่องจักรที่เล็กลง การใช้ระบบเซอร์โวที่ซับซ้อนมากขึ้น ระบบการตัดสินใจอัตโนมัติต่างๆ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นส่วนประกอบเล็กๆ แต่สำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะสามารถสร้างความต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ ทั้งนี้ เรื่องการบริการและการสนับสนุนเชิงเทคนิคก็เป็นอีกส่วนที่ต้องมีการพัฒนาควบคู่ไปกับการผลักดันตามนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเครื่องจักรระดับนี้มีผู้สร้างขึ้นมาแล้วในอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียตะวันออก แต่ยังมีราคาที่สูงมากจึงยากที่จะเข้าถึง ทว่าเป็นโอกาสอันดีของผู้ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะเข้าสู่ขุมทองเหล่านี้ แต่ต้องเน้นย้ำที่นวัตกรรม คุณภาพ และเทคโนโลยีที่สูงขึ้นด้วย

คาดการณ์เทคโนโลยีใหม่ที่น่าจะเปิดตัวปี 2561

ผู้ผลิตเครื่องจักร Form-Fill-Seal สัญชาติไทยชั้นนำ1 ต่างมีการตื่นตัวและมีการเตรียมตัวมานานแล้วสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 โดยเทคโนโลยีที่คาดว่าจะพบในการเปิดตัวในปี 2561 นั้นน่าจะเป็นการดึงเอาเรื่องของการรวมระหว่างเครื่องจักรและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่าย Internet of Things (IoT) ระบบการทำงานและฐานข้อมูลบนคลาวด์ การตัดสินใจแบบกระจายศูนย์และการรวมองค์ความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ และระบบการบริการผ่านอินเทอร์เน็ตเข้ามาไว้ด้วยกัน โดยเครื่องจักรรูปแบบต่างจะสามารถทำงานและสื่อสารกันได้บนภาษาที่แตกต่างกัน สามารถปรับตัวเองด้วยการตัดสินใจของตัวเองเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และสามารถแก้จุดบกพร่องหรือข้อผิดพลาดได้ด้วยตัวเครื่องจักรเอง แต่อย่างไรก็ตามเทรนด์ในภาพรวมกว้างๆ ก็ยังต้องคำนึงถึงการนำเทคโนโลยีเช่น “บล็อกเชน” มาใช้ในการตรวจติดตามคุณภาพและการสอบย้อนเพื่อเพิ่มคุณค่าทางห่วงโซ่การผลิตให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

 

Foods from Chile “The Bounty of Our Land Delivered to Your Table”

อาหารจากประเทศชิลี: อาหารจานโปรดจากแผ่นดินของเรา ส่งตรงถึงโต๊ะท่าน

Full article (TH-EN)

รัฐบาลชิลีเลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรกในการริเริ่มแคมเปญ “อาหารจากประเทศชิลี (Foods from Chile) อาหารจานโปรดจากแผ่นดินของเรา ส่งตรงถึงโต๊ะท่าน” แคมเปญนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าด้านอาหารและไวน์ของประเทศในแถบละตินอเมริกาในภูมิภาคเอเชียและละตินอเมริกา โดยเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศไทย และเดินทางต่อไปยังประเทศจีน โคลอมเบีย และบราซิล

เอกอัครราชทูตชิลี คริสเตียน เรเรน ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ได้อธิบายเหตุผลที่เลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกเพื่อริเริ่มโครงการนี้ว่า เนื่องจากไทยเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของชิลีด้านการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว

“นับเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคีของไทยและชิลี เนื่องจากความหลากหลายและความแตกต่างของทั้งสองประเทศ และการซื้อขายระหว่างประเทศ ตลอดจนความร่วมมือทางการค้า ระหว่างปี 2556 การส่งออกด้านอาหารของชิลีมีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นกลุ่มสินค้าอาหารทะเล ปศุสัตว์ และไวน์ ในขณะที่ยอดจำหน่ายรถบรรทุกและรถยนต์ของประเทศไทยรวมมูลค่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ แคมเปญอาหารจากประเทศชิลีซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราได้ดีที่สุด” เอกอัครราชทูตชิลี คริสเตียน เรเรน กล่าว

“ชิลีสืบทอดมรดกที่ดีที่สุดจากโลกใหม่และเก่า ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ได้รับความนิยมหลายประเภท เช่น ข้าวโพด มันฝรั่ง มะเขือเทศ และอะโวคาโด ผสานกับการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ โดยชาวสเปนที่อพยพไปชิลีในศตวรรษที่ 16 เป็นวิธีที่เราเริ่มต้นผลิตองุ่นและไวน์ มะกอกและน้ำมันมะกอก เนื้อวัว แอปเปิ้ลและเชอร์รี่ โดยสังเขป” มร.ดีเอโก้ โอเซส ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ชิลี กรมส่งเสริมการส่งออกชิลี สถานทูตชิลี กล่าว

 

ความคืบหน้าของเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศไทย-ชิลี

ชิลีและไทยได้ลงนามในข้อตกลงเขตการค้าเสรี ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งได้กลายเป็นสนธิสัญญาที่ 5 ของชิลีที่ลงนามกับประเทศในอาเซียน ต่อจากประเทศสิงคโปร์ บรูไน มาเลเชีย และเวียดนาม

ในข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-ชิลี ไม่มีข้อยกเว้นและสินค้าทุกประเภทที่ระบุไว้ในข้อตกลงจะปลอดภาษีภายในระยะเวลา 8 ปี ผลิตภัณฑ์จากชิลีที่ได้รับการยกเว้นภาษีทันทีหลังการลงนามในข้อตกลงฯ ได้แก่ อะโวคาโด ถั่ว ลูกเกด นมข้นหวาน เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อหมู กระดาษและกระดาษลัง แคโทดและทองแดง ส่วนผลิตภัณฑ์ของไทย ได้แก่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ รถยนต์ รถตู้ สับปะรดกระป๋อง และอื่นๆ ในเดือนมกราคม 2561 สินค้าทั้ง 250 รายการนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีระหว่าง 2 ประเทศนี้

6 Exciting Trends in Confectionery & Snack Packaging for 2018

6 เทรนด์มาแรงของอาหารมื้อว่างในปี 2561

Full article (TH-EN)

สินค้าตัวต่อไปที่จะนำเสนอสู่ตลาดอาจจะรุ่งหรือร่วงขึ้นอยู่กับบรรจุภัณฑ์ด้วยเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดที่จะรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่หลังจากการเยี่ยมชมงาน Sweets & Snacks Expo ที่ผ่านมา ณ กรุงชิคาโก เราก็พอจะเห็นภาพได้และนี่คือ 6 เทรนด์ที่น่าจับตามองของบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารมื้อว่าง ไม่ว่าจะเป็น ขนมขบเคี้ยว ลูกอม และลูกกวาด

 

  1. มันก็จะร้อนขึ้นหน่อยๆ

หลายๆ แบรนด์ต่างสรรหาแนวทางในการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ขนมหวานผ่านการสอดแทรกความรุ่มร้อนให้กับตัวผลิตภัณฑ์ ความเผ็ดร้อนไม่ได้มีเพียงแค่มิติเดียวอีกต่อไป แต่ยังสามารถเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึก ลักษณะเนื้อสัมผัส และแน่นอนคือกลิ่นรสของผลิตภัณฑ์เอง

 

  1. เล่นกับโปรตีนทางเลือก

โปรตีนทางเลือกเป็นเทรนด์ที่เติบโตขึ้นมากในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา โปรตีนจากพืช (ผัก) ได้ถูกยกระดับให้มาอยู่ในรูปแบบที่เหนือความคาดหมาย เช่น ในผลิตภัณฑ์นมและสมูธตี้ นอกจากนี้ยังถูกนำไปผสมผสานในรูปแบบของขนมขบเคี้ยวต่างๆ อย่างเช่น แครกเกอร์ ชิพ และผงโปรตีน เป็นต้น ทางแบรนด์ Ripple และ แบรนด์ Off the Eaten Path ก็ได้นำหน้าไปก่อนด้วยการนำเสนอโปรตีนจากถั่วลันเตาและผักชนิดต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ด้วย

 

  1. การผลิตแบบ “แบทช์” จะกลายเป็น “ทำมืออย่างประณีต” ได้หรือไม่?

หลายๆ แบรนด์ได้พยายามสรรหาวิธีเพื่อสร้างความแตกต่างด้วยการสื่อสารถึงเรื่องราวของสินค้าโดยใช้วลีต่างๆ เช่น ผลิตแบบแบทช์ (batch made)” เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกอันล้ำค่าและสื่อถึงที่มา หากมีการใช้คำว่า “ทำมืออย่างประณีต” หรือ “craft” ก็จะเป็นไปในแนวทางที่ให้ความรู้สึกโรแมนติก อย่างเช่น “ทำมือด้วยความใส่ใจ (consciously crafted)” หรือ ทำมือสดๆ ใหม่ๆ (freshly crafted)”

 

  1. ประสบการณ์แห่งรสชาติที่หลากหลาย

แค่รสชาติแปลกและน่าทึ่งนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะผู้บริโภคยังคงมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ให้ความรู้สึกหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์ขนมหวาน อย่างเช่นแบรนด์ Jolly Rancher ที่นำเอาทุกความรู้สึกมารวมกันไว้ใน “filled pops” อมยิ้มสอดไส้ซึ่งแข็งนอก หนุบใน เคี้ยวได้ และยังมีรสชาติหลากหลาย

 

  1. ป๊อบคอร์นแบบพรีเมียมต้องหลากสีสัน

แบรนด์ดังอย่าง Gary Poppins, Tiny But Mighty และ Angie’s Boom Chicka Pop ยังยึดฐานที่มั่นกับการสร้างสรรค์ป๊อปคอร์นซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน และต่อลมหายใจโดยการเพิ่มสีสันสดใส รสชาติแปลกใหม่ และรูปแบบที่แตกต่าง นับเป็นการสร้างความคึกคักและเติมพลังให้กับช่วงเวลาของอาหารมื้อว่าง

                                                                 

  1. เหมือนจะเหมือน

ตัวอย่างสินค้าลอกเลียนแบบนั้นมีให้เห็นหลากหลาย โดยพยายามที่จะทำให้ดูคล้ายกับสินค้าไฮเอนด์ แต่มีคุณภาพแตกต่างกับของแท้อย่างลิบลับ เช่น ผลิตภัณฑ์กลุ่มกาแฟ และเครื่องประดับ

 

Mindful Choices: The Key Food Driver for 2018

7 in 10 US and UK consumers want to know and understand the ingredient list

Full article (TH-EN)

ผู้บริโภคที่ค่อนข้างรอบคอบและมีความระมัดระวังในการรับประทานจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงในกระบวนการผลิต แพ็คเกจ และฉลากสินค้า ความตื่นตัวในการเลือกซื้อสินค้าอย่างมีความรับผิดชอบ ส่งผลให้ผู้บริโภคทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษถึง 4 ใน 10 เลือกซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น และอีก 7 ใน 10 ต้องการทราบรายการส่วนผสมทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาถึง 1 ใน 5 ยังได้รับอิทธิพลจากฉลากที่ระบุว่ามีส่วนผสม “จริง” และคำกล่าวอ้างด้านจริยธรรม นอกจากนี้ ฉลากที่ระบุว่า “ดีกว่าสำหรับคุณ” ยังได้รับความนิยมต่อเนื่องและชิงส่วนแบ่งในตลาดเพิ่มเป็นร้อยละ 49 ในปี 2560 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 42 ในปี 2555

“ปัจจุบัน ผู้บริโภคแสดงออกถึงความระมัดระวังอย่างมากในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและใส่ใจในสิ่งแวดล้อม” ลู แอนน์ วิลเลี่ยม ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรม จาก Innova Market Insights ระบุ “ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญในการเลือกซื้ออาหารมากขึ้น และอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมในอาหาร เพื่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่คำนึงถึงสุขภาพ ความยั่งยืน และจริยธรรม”

 

Top Ten Trends to Look for in 2018

  1. Mindful Choices

ข้อมูลจาก Innova Market Insights ได้ชี้ให้เห็นว่า ครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมนี ได้หยุดใช้เวลาอ่านส่วนผสมบนฉลากมากขึ้น และประมาณ 7 ใน 10 ของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษยังต้องการทราบและเข้าใจในรายชื่อส่วนผสมด้วย ในขณะเดียวกัน ความสนใจในจริยธรรมที่มีของผู้ผลิตในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ก็มีเพิ่มขึ้นชัดเจน ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในการกล่าวอ้างถึงประเด็นนี้บนบรรจุภัณฑ์มากขึ้น

 

  1. Lighter Enjoyment

ขณะที่ผู้บริโภคยังคงมองหาวิธีการกินดื่มแบบที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ยังแฝงไว้ด้วยความดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบเบาๆ ไปจนถึงทั้งในแง่ของความหวาน กลิ่นรส เนื้อสัมผัส และในบางครั้งปริมาณของผลิตภัณฑ์ก็ยังนับเป็นปัจจัยที่สำคัญ และที่แน่นอนที่สุดทั้งหมดนี้ต้องดีต่อสุขภาพ เป็นที่คุ้นเคย และเป็นมิตรต่อกระเป๋าสตางค์ด้วย

 

  1. Positively Processed

ในขณะที่ความเป็นธรรมชาติและกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันกำลังเป็นที่กังขาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภค ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มต่างก็กำลังชุบชีวิตการผลิตแบบดั้งเดิมให้สามารถมีประสิทธิภาพสูงเพื่อนำใช้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเครื่องดื่มให้ได้คุณภาพ ตัวอย่างเช่น กระบวนการหมัก หรือ ชากาแฟที่ชงแบบ “Cold brew” ซึ่งก็ถูกนำมาใช้ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นต้น

 

  1. Going Full Circle

ไอเดียของผู้บริโภคที่กำลังมองหาบริษัทผู้ผลิตที่ใจดี มีจริยธรรม พร้อมผลิตภัณฑ์คุณภาพมีมาตรฐาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ทั้งหมดคือเทรนด์ที่ผู้บริโภคกำลังมองหามากขึ้น แต่ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ก็ต้องเป็นนวัตกรรม มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการได้ด้วย ตัวอย่างเช่น การลดของเหลือทิ้ง การย่อยสลายได้ และการนำกลับมาใช้ใหม่ของบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น

 

  1. Beyond the Coffeehouse

ในขณะที่กาแฟกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้บริโภคในกลุ่มมิลเลนเนียม เจน “Z” ชาก็กำลังพยายามที่จะสร้างชื่อตัวเองกลับเข้ามาครองใจกลุ่มคนรุ่นหลังเช่นกัน ทั้งหมดนี้ ด้วยรสชาติและภายลักษณ์ที่เป็นที่รู้กันว่าดีต่อสุขภาพของทั้งชาและกาแฟ จึงทำให้อุตสาหกรรมหันมาใช้กาแฟและชาเป็นส่วนผสมในสูตร เพิ่มเติมรสชาติให้กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ มากมาย หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสูตรใน Energy bars โยเกิร์ต ไปจนถึงในแยม

20th Year Anniversary of Nithi Foods: Serving the Food Industry with Premium Quality Ingredients

20 ปีแห่งการสานต่อนวัตกรรมส่วนผสมอาหาร…สู่การยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทย

Full article TH-EN

“เมื่อ 20 ปีก่อน อุตสาหกรรมอาหารของไทยเพิ่งจะเริ่มเกิดการขยายตัว โดยมีบริษัทด้านอาหารและส่วนผสมอาหารใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย และ “นิธิฟู้ดส์” เองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน” คุณสมิต ทวีเลิศนิธิ
กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด ให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นมา และเผยกลยุทธ์แห่งความสำเร็จ

ทีละก้าวของ “นิธิฟู้ดส์” สู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารสมัยใหม่
ในช่วง 10 ปีแรก “นิธิฟู้ดส์” มุ่งเน้นที่จะเป็นผู้ผลิตเครื่องเทศที่มีคุณภาพสูง มีมาตรฐานระดับสากล ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และเป็นโรงงานเครื่องเทศรายแรกๆ ของไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน HACCP ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในคุณภาพ อีกทั้งช่วยให้ลูกค้าสามารถขยายตลาดเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

“ในช่วง 10 ปีต่อมาซึ่งผมได้เข้ามารับช่วงต่อนั้น “นิธิ ฟู้ดส์” เริ่มเข้าสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมูลค่าสูงขึ้น เพื่อรองรับตลาดผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มและส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเราเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้บริโภค เช่น ซอสผงข้าวอบต้มยำในหม้อหุงข้าว ซอสผงทำอาหารแบบเอเชียฟิวชั่น และอีกกว่า 40 ผลิตภัณฑ์ ภายใต้ 4 แบรนด์ของเราอย่าง เออร์เบิร์นฟาร์ม พ๊อคเก็ตเชฟ อีสท์คิทเช่น และ คิทเช่น คิทเช่น” คุณสมิต กล่าว พร้อมเผยกลยุทธ์สู่ความสำเร็จในก้าวต่อไป

สำหรับก้าวต่อไปในการผลักดันอุตสาหกรรมอาหารของไทยนั้น “นิธิ ฟู้ดส์” ได้วางกลยุทธ์การดำเนินงานใน 3 เสาหลักที่สำคัญ เรื่องแรก คือ สร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกรภายในประเทศด้วยการส่งเสริมการเพาะปลูกกระเทียมอย่างยั่งยืน ทำให้มั่นใจในคุณภาพ รักษาสิ่งแวดล้อมของเกษตรต้นน้ำ และกลุ่มเกษตรกรยังมีความเข้มแข็งจากการที่บริษัทรับซื้อผลผลิตอย่างสม่ำเสมอทุกปี

เรื่องที่สอง คือ การคิดค้นนวัตกรรมเครื่องปรุงอาหารสำหรับธุรกิจการให้บริการด้านอาหาร หรือที่เรียกว่า HoReCa โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหารรูปแบบผงสำหรับเมนูหลากหลายสัญชาติเพื่อทดแทนการนำเข้า เช่น เมนูอาหารจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบได้ง่ายและประหยัดขึ้นกว่าแบบน้ำที่ใช้อยู่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปรุงรสให้กับอุตสาหกรรมอาหารแช่แข็งต่อไปด้วย

เรื่องที่สาม คือ การวิจัยส่วนผสมอาหารเพื่อสุขภาพที่เหมาะกับผู้ที่เฝ้าระวังโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง โดยจะนำองค์ความรู้ทางโภชนาการและวัตถุดิบอาหารนวัตกรรมมาสู่การใช้ในเชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น

ก้าวแห่งนวัตกรรมของ “นิธิฟู้ดส์” ในยุคอุตสาหกรรม 4.0
“เมื่อเราเองสามารถพัฒนาสินค้าใหม่ที่มีนวัตกรรมอาหารออกมาได้หลากหลาย สามารถหยิบเอาองค์ความรู้สมัยใหม่มาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ผมพบว่าเรามีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของการพัฒนารสชาติอาหารในระดับสูง จึงเกิดแนวความคิดที่จะสร้างสรรค์ “นวัตกรรมแบบเปิด” (Open Innovation) โดยจัดตั้งสถาบันวิจัยรสชาติอาหาร บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs หรือ OTOP ที่มีความต้องการจะพัฒนารสชาติผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ให้มาใช้ความสามารถและประสบการณ์ของเราได้” คุณสมิต กล่าว

“เมื่อเชื่อมต่อธุรกิจอาหารของไทยเข้าสู่องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าอุตสาหกรรมอาหารของไทยจะก้าวสู่ยุค 4.0 ได้อย่างเร็วขึ้นแน่นอน” คุณสมิต กล่าวสรุป

 

7 Amazing Benefits Of Oregano Essential Oil

 

7 คุณประโยชน์อัศจรรย์…น้ำมันหอมระเหยออริกาโน

By: OrganicFacts

Translated by: Food Focus Thailand Magazine

 Full article (TH-EN) 

หลายคนรู้จักออริกาโนในฐานะที่เป็นพืชสมุนไพรยอดนิยมชนิดหนึ่งซึ่งใช้เป็นเครื่องเทศที่ช่วยเพิ่มกลิ่นรสให้กับอาหาร อันที่จริงออริกาโนยังจัดเป็นพืชสมุนไพรประเภทไม้ล้มลุกที่มีอายุหลายปี มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Origanum vulgare โดยเป็นพืชที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากทีเดียว ลักษณะของต้นออริกาโนมีความใกล้เคียงกับมินท์ และจัดเป็นพืชในตระกูลเดียวกับสะระแหน่ ดังนั้น พืชตระกูลดังกล่าวจึงมีสารประกอบอินทรีย์ที่เหมือนกันและมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่างที่คล้ายกัน โดยชิ้นส่วนของต้นออริกาโนที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์ก็คือใบ แต่ก็น่าแปลกที่เมื่อนำใบมาทำแห้งแล้ว ความหอมและกลิ่นรสของมันกลับอ่อนลงเมื่อเทียบกับใบสด ซึ่งผิดจากสมุนไพรทั่วไป

 

น้ำมันหอมระเหยออริกาโนได้มาอย่างไร

น้ำมันหอมระเหยออริกาโนมีการนำมาใช้ครั้งแรกในสมัยกรีกโบราณเนื่องจากมีคุณสมบัติในการทำลายเชื้อและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงได้รับการยอมรับให้นำมาใช้เพื่อรักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรียบริเวณผิวหนังหรือบาดแผล และยังมีการนำไปใช้เพื่อป้องกันอาหารเน่าเสียจากเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย น้ำมันหอมระเหยดังกล่าวนี้สกัดได้จากใบออริกาโนสดโดยใช้กระบวนการกลั่นด้วยไอน้ำและได้สารออกฤทธิ์สำคัญหลายชนิด ได้แก่ คาร์วาครอล ไธมอล ไซมีน แคริโอฟิลลีน ไพนีน ไบซาโบลีน ไลนาโลออล บอนีออล เจอรานิลอะซีเทต ไลนาลิลอะซีเทต และเทอร์พินีน ทั้งนี้ สารสกัดน้ำมันหอมระเหยออริกาโนสามารถนำมาใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีกหลายรูปแบบเช่นกัน โดยเฉพาะการบำบัดด้วยกลิ่นหอมซึ่งถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมายาวนานกว่าทศวรรษเลยทีเดียว และคุณเองก็สามารถนำมาใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นการทาที่ผิวโดยตรงหรือใช้คู่กับน้ำมันมะพร้าวเพื่อช่วยฟื้นบำรุงสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น และสุดท้ายสามารถนำมารับประทานในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งจะกินในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือเจือจางกับน้ำผึ้งหรือผสมในเครื่องดื่มทั่วไป
น้ำมันหอมระเหยออริกาโนมีการนำมาใช้ครั้งแรกในสมัยกรีกโบราณเนื่องจากมีคุณสมบัติในการทำลายเชื้อและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงได้รับการยอมรับให้นำมาใช้เพื่อรักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรียบริเวณผิวหนังหรือบาดแผล และยังมีการนำไปใช้เพื่อป้องกันอาหารเน่าเสียจากเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย น้ำมันหอมระเหยดังกล่าวนี้สกัดได้จากใบออริกาโนสดโดยใช้กระบวนการกลั่นด้วยไอน้ำและได้สารออกฤทธิ์สำคัญหลายชนิด ได้แก่ คาร์วาครอล ไธมอล ไซมีน แคริโอฟิลลีน ไพนีน ไบซาโบลีน ไลนาโลออล บอนีออล เจอรานิลอะซีเทต ไลนาลิลอะซีเทต และเทอร์พินีน ทั้งนี้ สารสกัดน้ำมันหอมระเหยออริกาโนสามารถนำมาใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีกหลายรูปแบบเช่นกัน โดยเฉพาะการบำบัดด้วยกลิ่นหอมซึ่งถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมายาวนานกว่าทศวรรษเลยทีเดียว และคุณเองก็สามารถนำมาใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นการทาที่ผิวโดยตรงหรือใช้คู่กับน้ำมันมะพร้าวเพื่อช่วยฟื้นบำรุงสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น และสุดท้ายสามารถนำมารับประทานในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งจะกินในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือเจือจางกับน้ำผึ้งหรือผสมในเครื่องดื่มทั่วไป

67 บริษัทไทยรับตรา T Mark การันตีสินค้าคุณภาพระดับสากล

18 กันยายน 2560 – กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark (T Mark) ให้แก่ 67 องค์กรธุรกิจไทย เจ้าของสินค้าและบริการคุณภาพมาตรฐานสากล ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์ วันที่ 18 กันยายน 2560 โดยได้รับเกียรติจากนายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธี เพื่อการันตีคุณภาพระดับสากลของสินค้าและบริการ หวังช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ไทยในตลาดต่างประเทศ พร้อมสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่าได้รับสินค้าและบริการคุณภาพสากลทำด้วยใจคนไทยอย่างแท้จริง

นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เวทีการค้าโลกในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมาก ผู้ประกอบการแต่ละประเทศต่างมีกลยุทธ์การตลาดเพื่อสร้างความได้เปรียบและจุดขาย เพื่อ
กุมหัวใจของผู้บริโภคให้ได้ ซึ่งผู้บริโภคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและบริการ รวมถึงยังสนใจเรื่องความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ด้วยตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจึงจัดทำตราสัญลักษณ์ T Mark ขึ้นมา เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ว่า สินค้าและบริการที่ได้รับตราสัญลักษณ์นี้มาจากประเทศไทย มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลและเชื่อถือได้ เนื่องจากบริษัทที่ได้รับตราสัญลักษณ์ T Mark ต้องมีมาตรฐานด้านต่างๆ ตรงตามเกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการ ได้แก่ กระบวนการผลิต การใช้แรงงาน ความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริษัทจะต้องขอต่ออายุการใช้ตราสัญลักษณ์นี้ทุกๆ 3 ปี ดังนั้นจึงหมายความว่าจะต้องรักษาคุณภาพมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากต้องมีการประเมินทุกๆ 3 ปี

“สินค้าและบริการไทยได้รับการยอมรับและเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างประเทศส่วนใหญ่อยู่แล้ว โดยกรมฯ พบว่า ตรา T Mark ช่วยให้ผู้บริโภคชาวต่างชาติตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เพราะพวกเขามั่นใจว่าสินค้าและบริการเหล่านี้ผลิตอย่างพิถีพิถันในเมืองไทย และมีคุณภาพดี”

สำหรับปีนี้ มีบริษัทผ่านการคัดเลือกได้รับตราสัญลักษณ์ T Mark รวมทั้งสิ้น 67 บริษัท แบ่งเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร 20 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมหนัก 14 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์ 12 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น 2 บริษัท และกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป 19 บริษัท โดยบริษัทที่ได้รับตราสัญลักษณ์สามารถ
นำตราสัญลักษณ์ไปติดบนสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของตราสินค้า และความน่าเชื่อถือในคุณภาพของสินค้าในกลุ่มผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ยังได้รับสิทธิประโยชน์อื่น อาทิ ได้รับการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในสื่อต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ ตลอดจนรับการสนับสนุนเพื่อพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจ และได้รับการพิจารณาเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เป็นลำดับแรก อาทิ การเข้าร่วมในงาน T Mark Festival การประชาสัมพันธ์ในนิตยสารระดับโลก การร่วมสร้างศักยภาพด้านการสร้างแบรนด์และพัฒนาสินค้ากับกิจกรรม T Mark Training Series และเข้าร่วมกิจกรรม Road to Shanghai ให้คำปรึกษาวางแผนธุรกิจเพื่อบุกตลาดลักชัวรี่ในประเทศจีน เป็นต้น

ทั้งนี้ ตราสัญลักษณ์ T Mark จัดทำโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2555 เพื่อตอกย้ำจุดแข็งและสร้างความโดดเด่นอย่างมีเอกลักษณ์แก่สินค้าและบริการจากประเทศไทย ซึ่งมีคุณภาพที่ทั่วโลกไว้วางใจ (Trusted Quality) ในทุกมิติ ได้แก่ กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล ใช้แรงงานอย่างเป็นธรรม (Fair Labour) การผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental Concern) มีความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) และที่สำคัญคือคุณภาพที่เกิดจากความมุ่งมั่นตั้งใจลงมือ “ทำด้วย ใจ” ของผู้ประกอบการ (Heartmade Quality)

ในปี 2560 มีบริษัทผลิตสินค้าและบริการของไทยได้รับตราสัญลักษณ์ T Mark รวม 763 บริษัท โดยมี 2 ประเภทหลัก คือ สินค้า ได้แก่ สินค้ากลุ่มอาหาร อุตสาหกรรมหนัก ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น สินค้าทั่วไป และธุรกิจบริการ ได้แก่ กลุ่มส่งเสริมสุขภาพ การศึกษานานาชาติ และธุรกิจบริการรักษาพยาบาล

www.thailandtrustmark.com

“โฟร์โมสต์” จับมือ “นักโภชนาการ” ชวนคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ทำความรู้จัก “กรดอะมิโนจำเป็น และโอเมก้า 369” สารอาหารตัวช่วยสำคัญเพื่อพัฒนาการสมองของลูกน้อยให้เติบโตสมวัย

เพราะ “สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญที่บรรจุเอากลไกในการควบคุมร่างกายไว้อย่างมหาศาล การทำงานของร่างกายทุกอย่างในตัวเรามาจากการทำงานของสมอง และทราบหรือไม่ว่า? สมองมีการทำงานตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุด คือ ช่วงหลังคลอดจนถึง 6 ปีแรก และ “โภชนาการ” คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้สมองของเด็กสามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพตามวัย ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ “โฟร์โมสต์” จึงได้จับมือ “นักโภชนาการ” แนะเทคนิคการเลือกอาหาร พร้อมชวนทำความรู้จักสารอาหารสำคัญ “กรดอะมิโนจำเป็น และโอเมก้า 369” ที่จะช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยให้มีพัฒนาการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

คุณพิมจันทร์ วิมุกตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพราะหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของโฟร์โมสต์ที่ยึดถือมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี คือ การมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์น้ำนมโคคุณภาพสูงมาตรฐานโกลด์สแตนดาร์ดของเนเธอร์แลนด์ ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ครอบครัวคนไทยแข็งแรงเต็มร้อย ซึ่งจากการสำรวจทางการตลาดพบว่า ในทุกๆ ปีอัตราการบริโภคนมของคนไทยขยายตัวสูงขึ้นทั้งในกลุ่มเด็ก และกลุ่มผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้โฟร์โมสต์จึงได้มีการคิดค้นสูตรและออกผลิตภัณฑ์นมอย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำเรื่องสารอาหารจากน้ำนมที่ครบถ้วน และเหมาะสมกับผู้บริโภคในทุกช่วงวัย จนสามารถครองความเป็นแบรนด์ชั้นนำในใจผู้บริโภคชาวไทยเสมอมา”

โดยล่าสุดในโอกาสที่ “โฟร์โมสต์” ก้าวสู่ปีที่ 60 จึงได้เปิดตัว “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” ผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มยูเอชทีที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญเพื่อพัฒนาการสมองของลูกน้อย ทั้ง “โอเมก้า 369 (Omega 369)” กรดไขมันจำเป็นชนิดไม่อิ่มตัวที่ช่วยในเรื่องของการสร้างเครือข่ายใยประสาทในสมองของเด็ก ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญาและสมาธิที่ดี และ “กรดอะมิโนจำเป็น (Amino Acid) ทั้ง 9 ชนิด” ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที โดยจะช่วยในเรื่องของการควบคุมกลไกภายในร่างกาย ทั้งระบบภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญไขมัน การเติบโตของระบบประสาทและความจำ การทำงานของกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นต้น ให้สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ

ด้าน คุณแววตา เอกชาวนา นักกำหนดอาหารวิชาชีพ กล่าวว่า “อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าสมองของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ จนถึง 6 ขวบแรกนั้นเจริญเติบโตรวดเร็วมาก ทั้งขนาดและกระบวนการทำงานของสมอง ซึ่งตั้งแต่ 1-6 ขวบ สมองจะเติบโตถึง 90% และเซลล์ในสมองจะสร้างการเชื่อมโยงเข้าหากันทีละเล็กละน้อย เปรียบเสมือนการวางโครงสร้างอาคาร ที่ค่อยๆ ต่อเติมไปทีละส่วน ฉะนั้นหากสมองเติบโตได้สมบูรณ์จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างมหาศาล อาทิ เด็กในวัยเพียง 1-6 ขวบนั้น สามารถเรียนรู้ภาษาพร้อมๆ กันได้ถึง 7 ภาษา ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าที่จริงสมองเด็กเรียนรู้ภาษาพูดได้ถึง 5,000 ภาษาเลยทีเดียว”

“นม” นับว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าสำหรับเด็กและคนทุกวัย และเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญมาก มีปริมาณโปรตีนสูงและเป็นโปรตีนคุณภาพดีไม่ด้อยไปกว่าโปรตีนที่ได้รับจาก ไข่ เนื้อสัตว์ และถั่ว นอกจากนี้ในน้ำนมยังอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย อาทิ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส แลคโตส วิตามินเอ วิตามินบีสอง วิตามินซี น้ำ และเกลือแร่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ โอเมก้า 369 (Omega 369) และกรดอะมิโนจำเป็น (Amino Acid) ซึ่งจากผลวิจัยพบว่าในนมแม่จะมีกรดอะมิโนครบถ้วนต่อเด็กมากที่สุด ตามมาด้วยนมโคและนมแพะ ส่วนนมที่มีโปรตีนน้อยที่สุดคือนมจากพืช แต่อย่างไรก็ตามเด็กในวัยกำลังเจริญเติบโตควรรับประทานอาหารอย่างเพียงพอ ให้ครบทั้ง 5 หมู่ เมื่อเห็นว่าลูกกินได้น้อย คุณพ่อคุณแม่ควรจัดอาหารระหว่างมื้อมาเพิ่ม แต่ต้องไม่บ่อยจนรบกวนอาหารมื้อหลัก และอาหารต้องไม่มีรสชาติหวานจัด เพราะจะทำให้ลูกไม่อยากอาหารได้ อย่าติดสินบนเพื่อให้เด็กยอมกินอาหาร จะทำให้เด็กติดนิสัยและไม่ยอมกินเมื่อไม่มีของมาแลกเปลี่ยน และพยายามอย่าบังคับ ขู่เข็ญ ให้เด็กกินอาหาร เพราะจะทำให้รู้สึกไม่ดีต่อการกินและไม่อยากกิน จะกลายเป็นคนกินยากไปแทน

www.foremostforlife.com

พาณิชย์เดินหน้าส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 จัดงาน Thailand Innovation and Design Expo 2017

14 กันยายน 2560 – กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ในงาน Thailand Innovation and Design Expo 2017 (T.I.D.E. 2017) งานแสดงสินค้านวัตกรรมและการออกแบบครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย เผยเป็นงานที่มีความสำคัญต่อผู้ผลิตสินค้าและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งในปัจจุบันจะต้องผลิตสินค้าด้วยนวัตกรรมความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความแปลกใหม่น่าสนใจและเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ให้เป็นที่ยอมรับและเกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในระดับสากล และเพื่อสร้างความยั่งยืนของสินค้าและบริการผ่านความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ โดยในปี 2560 มีผลงานด้านนวัตกรรมและการออกแบบมาร่วมจัดแสดงกว่า 1,000 ชิ้นงาน

นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงผลงาน Startup พื้นที่ค้าปลีก พื้นที่เจรจาธุรกิจ นิทรรศการของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่ได้รวบรวมเอาผลงานที่ได้รับรางวัล และโครงการที่โดดเด่น อาทิ Design Excellence Award (DEmark), Thailand Trust Mark (T – Mark) และที่สำคัญเป็นไฮไลท์คืองานสัมนาให้ความรู้โดย MICHAEL I. WAITZE ผู้เชี่ยวชาญด้าน startup และวริน ธนทวี แห่ง Cordesign ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ Klank ลำโพงดีไซน์ ที่ได้ไปรับรางวัลชนะเลิศในระดับนานาชาติ และวิทยากรอีกหลายท่าน ซึ่งจะมาให้ความรู้ตลอดการจัดงาน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน Thailand Innovation and Design Expo 2017 (T.I.D.E. 2017) ได้กล่าวว่า “การจัดงานครั้งนี้ถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แผนพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้เป็นที่ยอมรับและเกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในระดับสากล เพื่อสร้างความยั่งยืนของสินค้าและบริการผ่านความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ ในมาตรฐานการผลิตและเป็นที่ยอมรับในเอกลักษณ์อันโดดเด่น ด้วยการเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเสริมศักยภาพสินค้าและบริการของไทยให้เป็นที่ต้องการในตลาดโลก

เป้าหมายของการดำเนินยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 คือการขับเคลื่อน 5 กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย 1) กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ 2) กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการ 3) กลุ่มเครื่องมือ อุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม 4)กลุ่มดิจิตอล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อ และบังคับอุปกรณ์ต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว 5) กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปรับเปลี่ยนปัญหาให้เป็นศักยภาพ และโอกาสในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้เป็นรูปธรรม อาทิ การเปลี่ยนจากปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) ให้เป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ (Active Aging Society) การพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ การยกระดับเมือง ให้เป็น smart city เป็นต้น เพราะคนไทยเรามีวัฒนธรรมและรากฐานของความเป็นนักสร้างสรรค์อยู่ในตัวอยู่แล้ว สิ่งที่เราจำเป็นต้องเร่งหาทางตอบโจทย์ความต้องการในยุคปัจจุบันและอนาคตให้ได้ โดยการใส่ความคิดสร้างสรรค์ ดีไซน์ เทคโนโลยีเข้าไปในผลิตภัณฑ์และงานบริการ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถหลุดจากกับดักรายได้ปานกลางให้ได้

ในส่วนของงาน T.I.D.E 2017 ในปีนี้ได้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ซึ่งภายในงานได้รวบรวมผลงานนวัตกรรมและงานออกแบบที่โดดเด่นจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนกว่า 1,000 ราย เพื่อจัดแสดงผลงานด้านการออกแบบ ผลงานด้านนวัตกรรมของไทย ผลงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผลงานที่ได้รับรางวัล/เครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนด้านนวัตกรรมและการออกแบบทั่วประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพด้านการออกแบบและนวัตกรรมของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ เป็นเวทีในการเชื่อมโยงผู้ผลิต นักออกแบบ และผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมกับนักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออก อันจะทำให้เกิดโอกาสในการขยายธุรกิจและขยายตลาดสินค้าและบริการที่มีการออกแบบและนวัตกรรม

พร้อมทั้งได้เชิญผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ จากยุโรปหลายประเทศมาแบ่งปันความรู้ในการสัมมนา European Innovation : Lessons for Thailand และ Co–Create the Future : Building a culture of Innovation เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของภาคเอกชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับทิศทางของแนวโน้มในการผลิตสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรม และการออกแบบสำหรับตลาดต่างประเทศ” นายสนธิรัตน์ กล่าว

โดยในส่วนของกิจกรรมภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจคือการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) และการบริการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบและสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม และที่เป็นไฮไลท์ก็คือ MICHAEL I. WAITZE ผู้เชี่ยวชาญด้าน startup และ วริน ธนทวี แห่ง Cordesign ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ Klank ลำโพงดีไซน์ ซึ่งไปรับรางวัลชนะเลิศในระดับนานาชาติ และวิทยากรอีกหลายท่าน ที่จะเดินทางมาให้ความรู้ตลอดการจัดงาน

www.thailandinnodesign.com

สสว.- สถาบันอาหาร จับคู่ธุรกิจให้คลัสเตอร์มะพร้าวที่เวียดนาม

เวียดนาม, 2 ตุลาคม 2560 – สสว. ร่วมกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จัดเจรจาจับคู่ธุรกิจ SME คลัสเตอร์มะพร้าวจาก 26 เครือข่ายของไทยกับเทรดเดอร์ 47 บริษัทที่เวียดนาม ชี้น้ำมันมะพร้าวและเจลน้ำมันมะพร้าวในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้รับความนิยมสูง เผยเวียดนามขาดแคลนโรงงานแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์มะพร้าว แนะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญลงทุนเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออก
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เผยความคืบหน้าล่าสุด ภายใต้การดำเนินการโครงการสนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2560 ในกลุ่มอุตสาหกรรมมะพร้าว ตามที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (สสว.) ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้นำคณะผู้ประกอบการสมาชิกคลัสเตอร์มะพร้าวที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 26 ราย จากหลายจังหวัด อาทิ หนองคาย ร้อยเอ็ด นครนายก นครสวรรค์ เลย นครราชสีมา สระบุรี ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฏร์ธานี พังงา สตูล และปัตตานี เป็นต้น เดินทางไปประเทศเวียดนาม ณ นครโฮจิมินห์ เพื่อศึกษาโอกาสการลงทุนในเขตอุตสาหกรรมจังหวัดบิงห์เยือง สำรวจตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ รวมถึงตลาดท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ตลาดเบนถั่น (Ben Thanh) พร้อมเยี่ยมชมบริษัท BETRIMEX ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปมะพร้าวที่มีชื่อเสียง และเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับบริษัทนำเข้าและค้าส่งของเวียดนามรวม 47 บริษัท
“น้ำมันมะพร้าว และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวของไทยในรูปของเจลน้ำมันมะพร้าวในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ดูแลผิวและเส้นผม ได้รับความสนใจค่อนข้างมาก นอกจากเทรดเดอร์จะจำหน่ายในประเทศเวียดนามแล้ว ยังส่งออกไปตลาดจีนและประเทศอื่นๆ ด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างรอรวบรวมคำสั่งซื้อ คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท เมื่อรวมกับการจับคู่ธุรกิจที่จีน ไต้หวัน และตลาดในประเทศก่อนหน้านี้ ประเมินว่าจะมียอดสั่งซื้อรวมกันไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาทในปีแรก” นายยงวุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้เวียดนามจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลูกและส่งออกมะพร้าวมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่มูลค่าการส่งออกมะพร้าวของเวียดนามต่ำกว่า 3 – 5 เท่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เนื่องจากอุตสาหกรรมแปรรูปมะพร้าวของเวียดนามเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงยังมีไม่มาก จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารจะใช้ความได้เปรียบจากแหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์ ค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าไทย นโยบายของรัฐบาลเวียดนามที่ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA ที่เวียดนามได้ลงนามไว้ พิจารณามาตั้งโรงงานแปรรูปมะพร้าวในเวียดนามได้อีกทางหนึ่ง นอกจากส่งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไทยเข้าไปจำหน่ายเท่านั้น