Category: What’s In

วิตามินบีกับโรคซึมเศร้า

Siriporn Chaitharatip

Product Manager

Maneenuch Santinipanon

Product Advisor

Adinop Co., Ltd.

 

Full article TH-EN 

 

คนยุคมิลเลนเนียลกับโรคซึมเศร้า

ความเจริญทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด และการแข่งขันที่ดุเดือดในสังคมทุกวันนี้ เป็นปัจจัยหนึ่งที่คนรุ่นมิลเลนเนียลหรือคนวัยทำงานหลักในปัจจุบันต้องเผชิญกับสภาวะความเครียดและกดดันมากขึ้น การที่อยู่ในสภาวะดังกล่าวเป็นเวลานานและไม่มีวิธีการจัดการกับความเครียด จะทำให้คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าได้ การศึกษาทางสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ภาวะซึมเศร้าเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของโลกที่ทำให้คนสูญเสียสุขภาวะ โดยพบว่ามีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก¹ สำหรับประเทศไทย มีผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้ากว่า 1.5 ล้านคน และมีผู้อยู่ในภาวะเสี่ยงอีกจำนวนมาก²

สาเหตุหนึ่งของโรคซึมเศร้า คือความผิดปกติของสารเคมีในสมอง  ซึ่งสมองเป็นอวัยวะสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท ทำหน้าที่ควบคุมและสั่งการระบบต่างๆ ในร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้น ประสิทธิภาพของสมองจะลดลงและอาจเกิดความผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ  เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล และโรคอัลไซเมอร์  นอกจากความเครียดและความเสื่อมของเซลล์สมองแล้ว อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้จาก ลักษณะทางพันธุกรรม และภาวะขาดสารอาหารได้อีกด้วย

 

Millennials and depression

The rapid growth of technology and keen competitions nowadays are main factors that put a lot of pressures and stress on the people in the millennial generation. For those who have been in the stressful situation for a long time and cannot handle their stress well, their risks of becoming depressed are higher. According to the World Health Organization (WHO), depression is the leading cause of disability worldwide with over 300 million sufferers¹. In Thailand, there are more than 1.5 million people diagnosed with depression and many people are at risks².

Brain chemical imbalance is one of the brain malfunctions that can lead to depression. The brain is a vital organ that controls all systems of the body, especially being the center of the nervous system. The efficiency of the brain decreases as we age which is linked to several neurological disorders including depression, anxiety, dementia and Alzheimer’s disease. Other factors that contribute to these neurological symptoms include genetic factors and malnutrition.

เทคโนโลยีการทดสอบสารก่อภูมิแพ้ที่เหนือกว่าเทคนิคทางระบบภูมิคุ้มกัน

 

Kurt Brunner, Ph.D.

Division Research Officer

Romer Labs Division Holding GmbH

kurt.brunner@romerlabs.com

Full article TH-EN 

 

เนื่องจากความจำเพาะเจาะจงสูงของแอนติบอดี้ที่จะจับกับโปรตีนซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น รวมถึงข้อจำกัดของเทคโนโลยีนี้ ชุดทดสอบแยกประเภทสารก่อภูมิแพ้จึงมีการนำมาใช้สำหรับตรวจสอบสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด นอกจากนี้ ระดับความจำเพาะเจาะจงที่สูงของสารก่อภูมิแพ้ยังอาจนำไปสู่การอ่านผลการวิเคราะห์ที่เป็นลบเทียมได้ ในกระบวนการผลิตอาหาร เช่น การใช้ความร้อน การเติมสารประกอบประเภทกรดหรือการหมักสามารถทำให้โครงสร้างโปรตีนที่เป็นสารก่อภูมิแพ้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ โดยสารก่อภูมิแพ้ที่เปลี่ยนรูปไปนี้อาจสูญเสียคุณสมบัติทางภูมิคุ้มกัน และแอนติบอดี้ที่จำเพาะเจาะจงก็จะไม่สามารถเข้าจับกับโปรตีนที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ได้ต่อไป และนำไปสู่การอ่านผลการวิเคราะห์เป็นลบที่ไม่เป็นลบจริง หรือเพียงแค่มีปริมาณลดลง

 

เทคโนโลยีที่ใหม่กว่าสำหรับการตรวจวัดและหาปริมาณสารก่อภูมิแพ้ คือ เทคนิค Mass Spectrometry โดยเป็นเทคโนโลยีการวิเคราะห์ชั้นสูงที่สามารถระบุแยกชนิดโปรตีนและเปปไทด์ด้วยความแม่นยำสูง ข้อได้เปรียบของเทคนิคนี้คือแม้ว่าโปรตีนจะมีการเสียสภาพหรือเปลี่ยนรูปร่างไปเนื่องจากสภาวะที่รุนแรงในการผลิต แต่ความน่าจะเป็นของการค้นหาอย่างน้อยหนึ่งชิ้นส่วนที่สมบูรณ์มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง

 

 

Due to the high specificity of antibodies towards only one particular allergenic protein and technology-related limitations, a separate kit has to be used for each allergen. Furthermore, the high degree of specificity to one allergen might lead to false negative results. Food processing steps like heat treatment, the addition of acidic compounds or fermentation can modify the target protein structure. These modified allergens can lose their immunological properties and the antibody – target protein complex cannot be formed anymore. This leads to false negative results or reduced quantifications.

 

An even newer technology for detecting and quantifying allergens is mass spectrometry, a high-tech method that identifies proteins and peptides with a very high level of accuracy. The advantage of this approach is that even if proteins are partially degraded or modified due to harsh food processing conditions, the probability of finding at least one intact fragment is quite high.

อาหารเพื่อสุขภาพสมองและการจดจำ

 

By: Alan Flanagan

Translated by:

กองบรรณาธิการ

นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์

Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

editor@foodfocusthailand.com

 

Full article TH-EN Page 44

 

ในบทความนี้จึงขอให้ข้อมูลด้านโภชนาการของอาหารที่มีหลักฐานการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ประสาท และช่วยให้สมองทำหน้าที่ในการจดจำได้ดีขึ้นได้

 

1.ปลา

หลักฐานสำคัญของสารอาหารที่ป้องกันต่อสภาวะการทํางานที่ลดลงของระบบประสาทและความจำ ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า 3 จากปลาทะเลน้ำลึก กรดไขมันอีพีเอ (Eicosapentaenoic Acid: EPA) และกรดไขมันดีเอชเอ (Docosahexaenoic Acid: DHA) เพียงแค่รับประทานปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูงหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโรคอัลไซเมอร์และสมองเสื่อม กรดไขมันดีเอชเอนั้นเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อการสร้างเนื้อเยื่อสมอง โดยพบมากในปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูง เช่น แซลมอน แมคคาเรล ซาร์ดีน เฮร์ริง และแอนโชวี่

 

2. ผักใบเขียว

สารอาหารสำคัญหลายชนิดที่จำเป็นต่อสุขภาพสมองและความจำมีมากในแหล่งอาหารที่พบทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยอาหารประเภทผักโขม ผักเคล สวิสชาร์ด ผักกาดหอม ร็อกเก็ต ผักจำพวกกะหล่ำ บรอกโคลี เป็นต้น โดบผักเหล่านี้มีสารอาหารโดยเฉพาะวิตามินอี และบี9

 

สิ่งที่น่าสนใจของงานวิจัยเกี่ยวกับวิตามินอีโดยให้ความสำคัญที่การเสริมวิตามินอีในการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครแบบมีกลุ่มควบคุมนั้นล้มเหลวต่อการเพิ่มหน้าที่การจดจำของสมอง วิตามินอีจึงดูเหมือนจะเป็นสารอาหารที่ควรได้จากการรับประทานอาหารเข้าไป

 

สำหรับวิตามินบี 9 เป็นอีกสารอาหารที่พบมากในผักใบเขียว รวมถึงกลุ่มวิตามินบีรวมก็มีความเกี่ยวข้องกับโรคทางระบบประสาทอันเนื่องจากหน้าที่ในกระบวนการทำงานของระบบประสาทนั้นมีความหลากหลาย

 

 

This article will give you a rundown of the nutrients and foods with the strongest evidence for neuroprotection, and for improving cognitive function.

1. Fish

The strongest evidence for any nutrients protecting against cognitive decline lies with the marine omega-3 fatty acids, EPA & DHA; as little as 1 oily fish meal per week is associated with less incidence of AD and dementia. The primary benefit appears to derive from the fatty acid DHA, the main fatty acid in brain tissue that is found highly concentrated in oily fish like salmon, mackerel, sardines, herrings and anchovies.

2. Dark Green Leafy Vegetables

Several nutrients vital for cognitive health are provided by this broad food group, which encompasses foods like spinach, kale, Swiss chard, lettuce, rocket, cabbage, broccoli etc. In particular, vitamin E and vitamin B9.

 

An interesting feature of vitamin E research worth paying attention to is supplementation in controlled trials has failed to improve cognitive function. Vitamin E thus appears to be a nutrient where dietary intake comes first.

 

Vitamin B9 is another nutrient abundant in dark green leafy vegetables, and the B-vitamin family has been implicated in neurological disease, due to their multiplicity of roles in neurological processes.

ขึ้นเหนือไปอินเดีย

 

By:      Paisan Maraprygsavan, Ph.D.

Director

Industrial and Service Trade Research Division

Trade Policy and Strategy Office

Ministry of Commerce

paisan711@gmail.com

Full article TH-EN 

 

 

อีก 1 ปี เราจะได้นั่งรถทะลุแม่สอดไปอินเดียด้วยเวลาเพียงครึ่งวัน โดยถนนสายใหม่ไตรภาคีไทย-เมียนมา-อินเดีย นอกจากจะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวใหม่แล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้สินค้าไทยเจาะตลาดอินเดียและจีนที่มีประชากรรวมเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลกได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้าของภูมิภาคและของโลกอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ขณะที่ไทยก็จะกลายเป็นประตูสู่ตลาดใหญ่ในอินเดีย (1,300 ล้านคน) จีน (1,400 ล้านคน) และอาเซียน (600 ล้านคน) อย่างเต็มตัว และช่วยดึงดูดการลงทุนมาสู่ไทยมากยิ่งขึ้นเช่นกัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุน ทั้งญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง รัสเซีย และสิงคโปร์มากเป็นพิเศษ สอดคล้องกับผลการศึกษาของธนาคารพัฒนาเอเชียที่ได้ระบุว่าพลวัตรของเศรษฐกิจโลกกำลังเคลื่อนตัวสู่เอเชีย โดยมีจีนและอินเดียเป็นตัวจักรสำคัญ

ปัจจุบันความเคลื่อนไหวของมหาอำนาจที่สำคัญ คือ การเข้าไปร่วมพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น (ในไทยและอินเดีย) จีน (ในปากีสถาน เมียนมา ลาว และศรีลังกา) เกาหลีใต้ (ในเวียดนาม) ดังนั้น ไทยจึงควรเตรียมความพร้อมในระดับนโยบายในการเข้าไปร่วมพัฒนาเส้นทางเศรษฐกิจไตรภาคีแห่งนี้ ซึ่งมีศักยภาพสูงที่จะเกิดระเบียงเศรษฐกิจในทำนองเดียวกับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทยด้วย อันจะช่วยสร้างโอกาสทางการส่งออก/การลงทุนที่หลากหลายให้กับผู้ประกอบการไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

In one year time, we will be able to drive through Mae Sot all the way to India in just half a day, on the brand new India-Myanmar-Thailand Trilateral Highway. Apart from being the newest road-trip destination, this new highway is the new channel through which Thai goods can access Indian and Chinese markets where almost half the world’s populations reside. This benefits Thailand in stepping up as the center of the region’s and global economic and trade, making Thailand a true portal into enormous markets: India (1.3 billion people), China (1.4 billion) and ASEAN (600 million), as well as drawing more investment into the country. So, it came as no surprise that Thailand’s Eastern Economic Corridor (EEC) has attracted much attention from investors from Japan, China, Hong Kong, Russia and Singapore. The direction of development coincided with the study of the Asian Development Bank (ADB) that indicated the moving dynamic of global economy towards Asia with China and India as the main driving gears.

 

Many of the world’ s superpowers are, as the global trend now, taking parts in developing new economic corridors with less developed countries, such as Japan (in Thailand and India), China (in Pakistan, Myanmar, Lao PDR and Sri Lanka), and South Korea (in Vietnam). We should get ready and have relevant policies prepared to join in developing this Trilateral project that can potentially lead to similar initiative to the EEC, that will enhance opportunity in exporting/investing for Thai traders in the long run.

การลดปริมาณสารเคมีในผักและผลไม้ด้วยเทคโนโลยีการเติมฟองอากาศระดับอนุภาค

 

สมฤทัย ปีติตั้งวงศ์

Somruthai Peetitungwong

Reseacher

Yamamori R&D Center

Yamamori Trading Co., LTD.

Somruthai@yamamoritrading.com

Full article TH-EN 

 

 

มีรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพของฟองอากาศระดับอนุภาค หรือไฟน์บับเบิล ในหลายวัตถุประสงค์ พบการใช้ไฟน์บับเบิลในการล้างไปจนถึงการทำความสะอาด² นิยามของไฟน์บับเบิล คือ ฟองอากาศที่เส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 100 µm โดยที่ไมโครบับเบิลมีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 100 µm ถึง 1 µm และนาโนบับเบิลมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 1 µm จนถึงระดับนาโน (100 – 200 nm)

 

ฟองอากาศในน้ำจะได้รับแรงดันไฮดรอลิกจากทุกทิศทางตามรูปที่ 1 โดยแรงลอยตัวเกิดจากความแตกต่างระหว่างผลรวมของแรงจากด้านบนและด้านล่างที่กระทำต่อฟองอากาศ และตามหลักอาร์คิมิดีสสสารที่อยู่ในน้ำจะได้รับแรงลอยตัวเท่ากับปริมาณน้ำที่สสารนั้นเข้าไปแทนที่ โดยฟองอากาศขนาดทั่วไปได้รับแรงลอยตัวสูง ดังนั้น ฟองอากาศจึงลอยขึ้นสู่ผิวน้ำด้วยความรวดเร็วโดยที่ไม่ได้รับผลจากแรงตึงผิว

 

ดังนั้น ไฟน์บับเบิลที่เส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่าฟองอากาศทั่วไปจะได้รับแรงลอยตัวน้อยมาก และจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างช้าๆ ทำให้ฟองอากาศมีระยะเวลาที่อยู่ในน้ำนานขึ้นและได้รับแรงตึงผิวที่บริเวณพื้นผิวสัมผัสระหว่างแก๊สกับของเหลว แรงตึงผิวจะส่งผลให้ฟองอากาศหดตัวลงทำให้ไมโครบับเบิลลดขนาดเป็นนาโนบับเบิล

 

ฟองอากาศที่มีขนาดเล็กกว่านั้นจะมีความดันภายในมากกว่าฟองอากาศที่มีขนาดใหญ่ ไฟน์บับเบิลจึงสามารถใช้ในการขจัดสิ่งสกปรก อาทิ สารกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้าง ดังนั้น เทคโนโลยีการเติมฟองอากาศระดับอนุภาคไม่ใช่แค่การลดสิ่งสกปรกเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถลดการได้รับสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างในอาหารเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นได้อีกด้วย

 

There are many researches about the effectiveness of fine-bubbles. And the fine-bubbles have been practically used for several objectives including washing and cleaning². Fine-bubbles are defined diameter to be less than 100 µm, and of which, diameter of bubbles from 100 µm to 1 µm is called as microbubble, and diameter of bubbles from 1 µm to nanosize (100 – 200 nm) is called nanobubble.

 

Normally, bubbles in water receive hydraulic pressures perpendicularly from all directions as Figure 1. And buoyance is cause by difference between the sum of upward and downward pressures to the bubbles. According to Archimedes’ principle, in the water, matter receives buoyance equivalent to mass of water that matter submerge. Normal size bubbles receive high buoyance so bubbles will rise to the surface in short time and have no time for shrinking by effect of surface tension.

 

Thus, the fine-bubbles, which diameter is smaller than normal-bubbles, are received lower buoyance, bubbles will slowly rise to the surface. The fine-bubbles will stay longer in the water and receive surface tension at interface between gaseous body and liquid that make bubbles shrinked and cause self-pressurization.

 

Smaller bubbles have higher inside pressure than the bigger bubbles. So, they are able to remove dirty including pesticide residue. Therefore, the fine-bubble technology can reduce not only dirty but also the risk of pesticide consumption for better human being.

โพรแพ็ค เอเชีย 2018 จัดใหญ่ ขนบริษัทชั้นนำทั่วโลกแห่โชว์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเครื่องจักรล่าสุด

 By: Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

 

โพรแพ็ค เอเชีย 2018 จัดใหญ่ เป็นครั้งที่ 26 นำบริษัทชั้นนำทั่วโลกแห่โชว์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเครื่องจักรล่าสุดกว่า 5,000 เครื่อง บนพื้นที่ที่ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 58,000 ตร.ม. ครอบคลุมทั้ง 9 ฮอลล์ ของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยแบ่งการจัดแสดงงานออกเป็น 9 โซน และมีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 50,000 คน

จากการเป็นงานอุตสาหกรรมสำคัญระดับภูมิภาค ทำให้งานโพรแพ็ค เอเชีย เป็นที่สนใจจากองค์กรและบริษัทชั้นนำ ซึ่งพร้อมใจกันนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ทันสมัยล่าสุดมาร่วมจัดแสดง อาทิ นวัตกรรมหุ่นยนต์ การเชื่อมต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ทุกอย่างผ่านระบบ Network และเครือข่าย Internet หรือ IOT ระบบการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องจักรหุ่นยนต์และมนุษย์ ระบบจำลองการผลิตภายในโรงงาน ฯลฯ รวมถึงการจัดแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมในการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำกว่า 5,000 เครื่องจักร จากผู้ผลิตเครื่องจักรและระบบบริหารจัดการกว่า 1,600 ราย จาก 45 ประเทศ และ 18 พาวิลเลี่ยนใหญ่จากประเทศผู้ผลิตนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต 13 ประเทศ ทั้ง ออสเตรเลีย จีน เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ สเปน ไต้หวัน อังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา

สำหรับในปี 2562 งานโพรแพ็คเอเชียจะกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 มิถุนายน 2562 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.propakasia.com

 

ProPak Asia 2018, once again, returns bigger than ever for its 26^th successful installment as the leading trade show of its kind for Asia’s rapidly expanding processing and packaging industries. This year sees the addition of a 9^th hall, increasing the total exhibition area to more than 58,000 sq.m. which means even more suppliers will showcase their latest innovations, machinery and industry solutions to an expected record number of over 50,000 attendees.

ProPak Asia 2018 features more than 5,000 advanced machinery solutions for all business sizes, from large enterprises to SMEs and startups. 1,600 exhibitors from 45 countries, and 18 international pavilions from the following 13 countries: Australia, China, Denmark, France, Germany, Italy, Japan, Korea, Singapore, Spain, Taiwan, UK, and USA will showcase the very best and latest processing and packaging technologies across 9 industry zones including; ProcessingTechAsia, PackagingTechAsia, DrinkTechAsia, PharmaTechAsia, Lab&TestAsia, MaterialsAsia, Coding,Marking&LabellingAsia, Coldchain,Logistics& WarehousingAsia and Printech Asia. Boosting manufacturing capabilities and production variety and efficiency across Asia.

For the Propak Asia 2019 which will be its 29^th edition, the show is promised to come back greater than ever. For more information, please visit www.propakasia.com

 

5-7 September 2018 @ AsiaWorld-Expo Center, Hong Kong

Full article TH-EN 

บริษัทชั้นนำด้านธุรกิจผักและผลไม้สดทั่วโลกเดินหน้าเข้าร่วมงาน ASIA FRUIT LOGISTICA งานแสดงสินค้านานาชาติด้านผักและผลไม้แห่งภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 กันยายน 2561 ณ AsiaWorld-Expo Center ประเทศฮ่องกง

ท่าอากาศยานนานาชาติสิงคโปร์ชางงี หนึ่งในท่าอากาศยานที่มีผู้ใช้บริการคับคั่งที่สุดในโลก ซึ่งเป็น Hub ที่สำคัญของระบบขนส่งผักและผลไม้สดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นท่าอากาศยานแห่งแรกที่เข้าร่วมจัดแสดงสินค้าในงานครั้งนี้ ด้านสองยักษ์ใหญ่ในธุรกิจค้าปลีกอาหารออนไลน์จากจีนอย่าง JD.com และ Yiguo ธุรกิจอีคอมเมิร์ซค้าปลีกอาหารสดของ Alibaba Group ก็ต่างจะมาร่วมจัดแสดงในงานครั้งนี้เป็นครั้งแรกด้วย

โอมานและอาเซอร์ไบจานก็จะเข้าร่วมจัดแสดงสินค้าในปีนี้เป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน ด้านสื่อชั้นนำของอังกฤษ Fresh Produce Journal ก็เตรียมเปิดตัวในนามพาวิเลียนเป็นครั้งแรกโดยมีไอร์แลนด์และสหราชอาณาจักรมาร่วมจัดแสดงสินค้าภายในพาวิเลียนเดียวกันด้วย ซึ่งจะแสดงให้ทั่วโลกได้เห็นถึงความหลากหลายของการผลิตสินค้าผักและผลไม้สดที่มีคุณภาพและความเชี่ยวชาญในการให้บริการของธุรกิจดังกล่าว

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนา ASIAFRUIT CONGRESS และงานแสดงสินค้า ASIA FRUIT LOGISTICA สามารถซื้อบัตรเข้าร่วมงานทางออนไลน์ ได้ที่เว็บไซต์ www.asiafruitlogistica.com/Visitors/Tickets/

 

Leading companies across the global fresh fruit and vegetable business are gearing up to make a splash at ASIA FRUIT LOGISTICA, which returns to Hong Kong’s AsiaWorld-Expo Center on 5-7 September 2018.

Singapore’s Changi International Airport, one of the world’s busiest airports and a key hub for perishable air cargo in South East Asia, becomes the first airport to exhibit at ASIA FRUIT LOGISTICA. China’s two leading online food retail platforms – e-commerce giant JD.com and Alibaba-invested fresh food retailer Yiguo – are also exhibiting for the first time.

Oman and Azerbaijan are making their debut appearance as exhibiting nations. Leading UK trade publication The Fresh Produce Journal is also hosting the first-ever dedicated British and Irish pavilion at ASIA FRUIT LOGISTICA, where companies from the two nations will exhibit together and show the global trade the wide range of quality produce and service expertise they can offer.

Tickets can be purchased from the online ticket shop. Click here to access the ticket shop for ASIA FRUIT LOGISTICA and ASIAFRUIT CONGRESS: www.asiafruitlogistica.com/Visitors/Tickets/

การใช้องค์ประกอบที่เสริมหน้าที่ทางสรีรวิทยาอื่นๆ ในอาหารเพื่อสุขภาพ: แนวทางการพัฒนาจากฐานวิจัย เพื่อตอบสนองธุรกิจ และกรณีศึกษา

By:      Chalat Santivarangkna, Ph.D.

Center of Innovation and Reference on Food for Nutrition

Institute of Nutrition, Mahidol University

chalat.san@mahidol.ac.th

 Full article TH–EN 

 

แม้จะไม่มีคำจำกัดความที่เป็นสากลของอาหารเพื่อสุขภาพ หรือ Functional food โดยทั่วไปจึงถือว่าพวกมันเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเหนือกว่าสารอาหารที่จำเป็นทั่วไป เช่น การทำให้ภูมิคุ้มกันสมดุล การลดความดันโลหิตสูง และการต้านการเกิดออกซิเดชัน

ความสนใจในเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก เนื่องจากศักยภาพในการเสริมสุขภาพของมัน โดยมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ราคาถูกกว่า และเป็นผลิตภัณฑ์ที่หาได้ง่าย หรือหาซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ได้ง่ายกว่ายาที่ใช้กันตามปกติ อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญก็คือ ต้องระลึกว่าอาหารเพื่อสุขภาพอาจมีผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทดสอบความเป็นพิษและความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาด้านความปลอดภัยระยะยาว เพื่อไม่ให้มีโอกาสเกิดอันตรายขึ้นได้ และในทำนองเดียวกัน การกล่าวอ้างเรื่องผลดีทางสุขภาพก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนจากการศึกษามารองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองทางคลินิก

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีความพยายามที่จะค้นหาหน้าที่ทางสรีรวิทยาขององค์ประกอบใหม่ หรือค้นหาหน้าที่ใหม่ขององค์ประกอบทั่วไปของอาหาร โดยมีความตั้งใจที่จะใช้องค์ประกอบเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการของโรคที่ไม่ติดต่อชนิดต่างๆ ซึ่งเราสามารถพบองค์ประกอบเพื่อสุขภาพหรือออกฤทธิ์ทางชีวภาพตามธรรมชาติได้ในพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ โดยในกลุ่มนี้ โปรตีนและเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่หลายอัน (PUFA) กากใยอาหาร สารประกอบฟีนอล โพรไบโอติกส์ และพรีไบโอติกส์ เป็นสารประกอบหลักที่ถูกนำมาใช้ในการกำหนดสูตรและพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพ

 

Although there is no universal definition of functional foods, generally they are considered as foods that have health benefits beyond the provision of basic nutrients e.g., immunomodulation, antihypertension, and anti-oxidation.

Interest of consumers in functional foods has been increasing worldwide because of their potentials to improve health with fewer side effects, less expense, and easier availability as off-the-shelf or over-the-counter products than commonly used pharmaceuticals. However, it is important to recognize that functional foods may exhibit undesired adverse effects and therefore must undergo toxicity and safety tests, especially long-term safety studies to rule out potential harm. Similarly, their claims on health benefits must be supported and proven by solid evidences from studies, particularly clinical trials.

In recent years, many attempts have been made to discover physiological functions of new ingredients or re-discover the new functions of common food ingredients. The ingredients are aimed to be used in functional products to prevent or relieve a variety of non-communicable disease conditions. Various functional or bioactive ingredients are naturally found in plants, animals, and microorganisms. Among them, bioactive proteins and peptides, PUFAs, fibers, phenolics, probiotics, and prebiotics are the main active ingredients used in the formulation and development of functional foods.

การตรวจจับสิ่งปลอมปนที่มีขนาดเล็กด้วยระบบเอ็กซเรย์ที่จัดการงานที่ท้าทายได้ทุกรูปแบบ

By: Mettler-Toledo (Thailand) Limited

MT-TH.CustomerSupport@mt.com

Full article TH-EN

ความท้าทายในการตรวจสอบของเหลวข้น ของเหลวเหนียวข้นและของเหลวในท่อลำเลียงนั้นเป็นความท้าทายที่คุ้นเคยกันดีในอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารทะเลและเนื้อสัตว์ เทคโนโลยีเอ็กซเรย์ตรวจสอบสิ่งปลอมปนขั้นสูงรุ่นใหม่สามารถให้ความไวในการตรวจจับสิ่งปลอมปนที่สูงขึ้นและมีส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการได้

มาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหารต่างๆ ได้เน้นหนักในเรื่องของความรับผิดชอบของผู้ผลิตในการทำให้มั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีคุณภาพเพียงพอและเหมาะสมต่อการบริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ความเสี่ยงต่อการปลอมปนนั้นเป็นความเสี่ยงที่เป็นปกติวิสัยของกระบวนการผลิตต่างๆ ซึ่งก็หมายความว่าผู้แปรรูปเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ปีกต้องทำหน้าที่ในการดูแลระมัดระวังและพิสูจน์ว่าตนได้ทำการตรวจสอบตามสมควรในขั้นตอนการผลิตต่างๆ ของตนแล้ว

การจัดการและตรวจสอบผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น เนื้อบด เนื้อบดผสมไขมัน (ปาเต) หรือไก่ดิบหั่นชิ้นถือเป็นความท้าทายของผู้ผลิตตลอดมาเนื่องจากส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์และแนวโน้มที่จะไหลคล้ายของเหลวหนืด แต่ความสามารถในการสูบผลิตภัณฑ์เหล่านี้ผ่านท่อลำเลียงในกระบวนการทำให้การตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีเอ็กซเรย์เป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้และสามารถใช้งานได้จริง

 

The challenges of inspecting slurries, pastes and liquids in pipelines will be familiar for processed meat and seafood processors. New, advanced x-ray technology can provide increased contaminant detection sensitivity and contribute to improved process efficiency.

Increasingly, food safety standards are placing more emphasis on the responsibility of manufacturers to ensure products are of sufficient quality and fit for human or animal consumption. Contamination risks inherent in manufacturing processes mean that meat and poultry processors must satisfy their duty of care and prove they have exercised due diligence in their production procedures.

Handling and inspecting some product types such as ground meats, pates or raw chicken cuts have always posed a challenge for manufacturers due to their composition and tendency to flow like a viscose liquid. The ability to pump these products through process pipelines makes inspection using x-ray technology a viable and realistic possibility.

เทรนด์ด้านสุขภาพและความอยู่ดีมีสุขในปี 2561

 Compiled By:   Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

editor@foodfocusthailand.com

Full article TH–EN

สุขภาพและความอยู่ดีมีสุขนั้นครอบคลุมตั้งแต่การออกกำลังกายและการกินที่ดี ไปจนถึงสุขภาพจิต ความเครียด และความวิตกกังวล ปัจจุบันแนวทางใหม่ๆ ในการจัดการกับความท้าทายดังกล่าวได้เกิดขึ้นอย่างมาก ทาง businessadvice.co.uk ได้สรุปเทรนด์ล่าสุดของสุขภาพและความอยู่ดีมีสุขในปี 2561

 นอกจากนี้ ทาง mindbodygreen.com ได้สรุปเทรนด์ของการมีสุขภาพที่ดีในปี 2561 ซึ่งมีทั้งหมด 11 เทรนด์ โดยมีบางเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร ได้แก่

• สุขภาพลำไส้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแบคทีเรียที่ดีเพียงเท่านั้น

ในปีนี้เราจะได้เห็นนวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพของสุขภาพลำไส้ เห็นโปรโตคอลในการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อเชื้อจุลินทรีย์ และจะเริ่มเห็นประโยชน์ของเชื้อราเหมือนที่เราเคยเรียนรู้ประโยชน์ของแบคทีเรียมาก่อน

• ด้วยการยอมรับจากผู้บริโภคและองค์กร ความงามตามธรรมชาติจะกลายเป็นอาหารออร์แกนิคเจนใหม่

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ความงามตามธรรมชาติมีความหลากหลายและดูเหมือนจะเป็นสินค้าตลาดบนที่ไม่ใช่ทุกคนจะซื้อหาได้ แต่สถานการณ์นี้เริ่มเปลี่ยนไปในปี 2560 ยกตัวอย่างเช่น ยูนิลีเวอร์ มีคำมั่นสัญญาเรื่องความโปร่งใสของส่วนผสมที่ใช้ โดยเฉพาะการเปิดเผยส่วนผสมในกลุ่มน้ำหอม

• คอลลาเจนกลายเป็นสุดยอดของซูเปอร์ฟู้ดเพื่อเยียวยาสุขภาพลำไส้

คอลลาเจนมีคุณสมบัติช่วยเยียวยาลำไส้และถูกนำมาใช้รักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ตั้งแต่ความวิตกกังวลไปจนถึงเรื่องของสิว ในปีที่ผ่านมา ผู้เล่นรายใหญ่ในวงการคอลลาเจน Vital Proteins เติบโตถึงร้อยละ 250 และหลังจากที่ทุ่มงบลงทุนไปถึง 19 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าอัตราการเติบโตในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

• การอดอาหารเป็นช่วงเวลา…เป็นมากกว่าการลดน้ำหนัก

มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการจัดเวลาการกินอาหาร หรือการอดอาหารเป็นช่วงตั้งแต่ 12 ชั่วโมงขึ้นไป (Intermittent Fasting; IF) เป็นหนึ่งในวิธีที่ดี โดยงานวิจัยพบว่า IF มีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ในอนาคต ผลิตภัณฑ์ที่มีแนวคิดในเรื่องความยั่งยืนจะเป็นกระแสหลักของตลาด พลังในโลกธุรกิจจะเปิดประตูแห่งความเป็นไปได้ให้กับทุกๆ คนในประเทศและโลกของเราในที่สุด

 

Refer to businessadvice.co.uk, health and wellbeing encompasses an awful lot – from exercise and healthy eating, to mental health, stress and anxiety. New ways of tackling these ever-present challenges are constantly arising – so this source decided to look at the latest health and well-being trends.

According to 11 Wellness Trends to Watch in 2018 by mindbodygreen.com, there are some wellness trends that related to food business as follows;

• Our gut health depends on more than just good bacteria.

In 2018, we’ll be optimizing our gut health in innovative new ways. We’ll start to see protocols arise for how to create a supportive environment for our microbes, and just like we learned with bacteria, we’ll start to see the bright side of fungi.

• With buy-in from consumers and corporations, natural beauty becomes the next “organic food.”

Until the last few years, natural beauty was a mixed bag. Select products were efficacious while others couldn’t hold a candle to their conventional counterparts. More recently, the best ones were high-end and not accessible to everyone. Now, in 2017, all of that has changed. For example, Unilever has emerged as one of the most progressive players in the natural beauty space. Earlier this year, the company promised improved transparency in its ingredient lists, specifically lifting the veil from fragrance.

• Collagen becomes the ultimate gut-healing superfood.

Collagen has gut-healing properties and is increasingly being used to treat many modern ailments from anxiety to acne. Vital Proteins, the category leader in the collagen space, has seen 250 percent growth over the past year, and, after the influx of USD 19 million of capital, that number should only continue to rise in 2018.

• Intermittent fasting for way more than just weight loss.

Last year’s ketogenic trend is still going strong, but a growing body of research is showing that intermittent fasting (IF) is one of the best, proven ways to improve health in the short- and long-term.

Looking forward, we’ll hopefully see more sustainable, nourishing products become mainstream, as the power of the corporate world opens up doors of possibility to every person living in this country and, ultimately, the world.