Author: admin
Clean-label Trend Expands Beyond Ingredients…Transparency and Consumer Education are Musts
ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care เดือน มีนาคม 2563
Quality at all levels VEGA offers a complete sensor portfolio with compact pressure sensors and level switches for hygienic food production.
Food production is a matter of trust, and hygiene is the number one priority in the manufacturing process. Success is determined by both the reliability and the efficiency that make flawless production possible – whether during bottling, container filling or CIP cleaning. This makes it all the more important for plant operators to be able to rely fully on the measurement technology employed.
Level and pressure sensors from VEGA have made a name for themselves over many decades for their reliability and longevity. Robust, versatile and easy to use: even under extreme conditions or strict regulations, they provide important inputs for delivering greater plant safety and efficiency.
Winner of U Share V Care JANUARY 2020
สรุปสาระสำคัญ Food Focus Virtual Digest “Safety and Transparency in the F&B Supply Chain”
โพรไบโอติกส์สายเดี่ยวรุ่นใหม่…ความหวังของการลดน้ำหนักด้วยการควบคุมความอยากอาหาร
บริษัทด้านชีววิทยาสัญชาติฝรั่งเศส TargEDys® ประกาศผลลัพธ์ที่เป็นบวกในการทดลองทางคลินิกกับโพรไบโอติกส์สายพันธุ์ Hafnia alvei HA4597™ เพื่อการลดน้ำหนักด้วยการควบคุมความอยากอาหาร
ปารีส – TargEDys® ประกาศความสำเร็จในการศึกษาวิจัยทางคลินิกแบบสุ่ม ปกปิดข้อมูลสองทาง และควบคุมด้วยยาหลอกในศูนย์วิจัยหลายแห่งเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งทดลองในผู้เข้าร่วมการศึกษา 229 ราย เพื่อประเมินประสิทธิภาพของ Hafnia alvei HA4597™ ในการลดน้ำหนักด้วยการควบคุมความอยากอาหาร โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรูอ็องนอร์มังดี โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยรูอ็อง และ INSERM ค้นพบว่า เอนเทอร์โรแบคทีเรีย เช่น Hafnia alvei HA4597™ สามารถผลิตโปรตีน (ClpB) ซึ่งเลียนแบบฮอร์โมนความอิ่ม alpha-MSH เนื่องจากโปรตีนดังกล่าวสามารถชักนำกลไกการควบคุมความอยากอาหารได้ที่ระดับรอบนอกและระดับศูนย์กลาง การศึกษาวิจัยก่อนการทดสอบในมนุษย์กับ Hafnia alvei HA4597™ แสดงให้เห็นถึงผลการป้องกันโรคอ้วน เช่น ลดน้ำหนัก ลดมวลไขมัน รวมถึงลดการรับประทานอาหาร และมีผลบวกต่อระดับน้ำตาลในเลือดและภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ทีมวิจัยได้ยืนยันข้อมูลก่อนการทดลองในมนุษย์นี้ด้วยการทดลองทางคลินิก โดยการศึกษาวิจัยนี้ดำเนินการศึกษากับผู้เข้าร่วมการวิจัยที่มีน้ำหนักเกิน ซึ่งกำหนดด้วยดัชนีมวลกายระหว่าง 25 และ 30 กก./ตร.ม. ผู้เข้าร่วมการวิจัยได้รับการแบ่งเป็นสองกลุ่ม ทั้งคู่ได้รับอาหารแบบแคลอรีต่ำ โดยกลุ่มหนึ่งได้รับโพรไบโอติกส์ Hafnia alvei HA4597™ ส่วนอีกกลุ่มได้รับยาหลอก การวิจัยนี้บรรลุผลลัพธ์หลักที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนัก โดยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในเชิงสถิติเป็นประโยชน์ต่อโพรไบโอติกส์ เมื่อเทียบสัดส่วนของผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ลดน้ำหนักร่างกายได้อย่างน้อย 3% ใน 12 สัปดาห์ สำหรับผลลัพธ์รองอื่นๆ กลไกการออกฤทธิ์ที่เสนอได้รับการยืนยันโดยการเพิ่มความรู้สึกอิ่มอย่างมีนัยสำคัญในเชิงสถิติ นอกจากนี้ โพรไบโอติกส์ให้ผลลดรอบสะโพกได้มากกว่ายาหลอกอีกด้วย เฉพาะ Hafnia alvei HA4597™ เท่านั้นที่ส่งผลต่อระดับคลอเลสเตอรอลและลดภาวะน้ำตาลในเลือดได้มากขึ้นมากกว่าผู้ที่ได้รับยาหลอก สุดท้าย Hafnia alvei HA4597™ แสดงผลที่เหนือกว่ายาหลอกจากการประเมินสรรพคุณโดยรวมที่ทั้งแพทย์ผู้วิจัยและผู้เข้าร่วมการวิจัยรับรู้
“ผลลัพธ์เหล่านี้แสดงประสิทธิผลที่มีนัยสำคัญหลังจากผ่านไป 2 เดือน ซึ่งได้รับการสนับสนุนในเดือนที่ 3 กลไกการออกฤทธิ์ที่อธิบายในการวิจัยก่อนการทดลองในมนุษย์ได้รับการยืนยัน” Pierre Dechelotte ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษาทางคลินิกแสดงความเห็น
Gregory Lambert ซีอีโอและรองประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ TargEDys® กล่าวว่า “นี่คือผลผลิตแรกของโพรไบโอติกส์สายเดี่ยวรุ่นใหม่ ที่สนับสนุนด้วยกลไกการออกฤทธิ์ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ของไมโครไบโอมในแกนลำไส้และสมอง และได้รับการพิสูจน์ประสิทธิผลทางคลินิกในระยะสั้น”
“ความสำเร็จของการศึกษาวิจัยทางคลินิกนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับ TargEDys® การยืนยันทางคลินิกของการค้นพบในระยะก่อนการทดลองในมนุษย์ทั้งหมดจะส่งเสริมการเปิดตัวเครือข่ายพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศสำหรับการส่งเสริมการค้าโซลูชันเชิงโภชนาการที่ไม่เหมือนใครของเรา ซึ่งมีวางจำหน่ายแล้วในชื่อ EnteroSatys™” Jean-Frederic Laville ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง กล่าว
ทั้งนี้ ผลการศึกษาวิจัยจะได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการทางวิทยาศาสตร์ต่อไป
ข้อมูลเพิ่มเติม: www.targedys.com
แก้กฎหมายอนุญาตใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิลเพื่อลดปริมาณพลาสติกเกิดใหม่
ผู้แทนกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย เข้าพบ นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข- เพื่อหารือแนวทางในการร่วมผลักดันปรับปรุงกฏหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้มีการนำพลาสติกรีไซเคิล Recycled PET (rPET) มาใช้ในบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มได้ พร้อมเผยผลวิจัยโดยสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่าประเทศไทยสามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้ หากใช้แนวทางการประเมินความปลอดภัยที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น แนวทางของสหรัฐอเมริกาหรือสหภาพยุโรป ร่วมกับการมีกฎหมายกำหนดให้ผู้ผลิตต้องผ่านการทดสอบเพื่อพิสูจน์ว่า กระบวนการผลิตสามารถขจัดสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางกลุ่มฯ เชื่อมั่นว่าแนวทางดังกล่าวจะช่วยลดการใช้พลาสติกเกิดใหม่ ส่งเสริมการรีไซเคิล และแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกได้อย่างยั่งยืน
จากการที่สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทยได้ขานรับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อม โดยมีแนวทางในการส่งเสริมให้มีการใช้บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล แต่ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากมีข้อห้ามตามกฎหมายนั้น นายวีระ อัครพุทธิพร อุปนายก และ ประธานกรรมการบริหาร สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย ได้เปิดเผยว่า “จากการทำงานในช่วงที่ผ่านมา สมาคมฯ พบว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งยังไม่มั่นใจถึงผลกระทบด้านความปลอดภัยของผู้บริโภค สืบเนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการคัดแยกวัสดุรีไซเคิลออกจากขยะทั่วไปอย่างเป็นระบบ และผู้บริโภคส่วนหนึ่งนำเอาขวดเครื่องดื่มที่ใช้แล้วไปบรรจุผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (Non-food products) ทำให้เกิดข้อกังวลว่าจะเกิดการปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ฉะนั้น สมาคมฯ จึงสนับสนุนให้สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินความปลอดภัยในเรื่องนี้ ซึ่งน่ายินดีที่ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าพฤติกรรมการใช้ขวด PET ซ้ำของคนไทยมิได้น่าเป็นห่วงอย่างที่คิดกัน หากภาครัฐสามารถปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยที่ชัดเจน รวมถึงกำกับดูแลให้ผู้ผลิตทุกรายต้องผ่านการทดสอบเพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่ากระบวนการผลิตขวดจากพลาสติกรีไซเคิลสามารถขจัดสิ่งปนเปื้อนได้ ก็จะช่วยลดการใช้พลาสติกเกิดใหม่และส่งเสริมการรีไซเคิลให้มากขึ้นอีกด้วย”
ผศ.ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะหัวหน้าโครงการการศึกษาข้อมูลสำหรับการประเมินความปลอดภัย เพื่อใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลพลาสติก กล่าวถึงรายงานผลการศึกษาว่า ทางคณะผู้วิจัยได้สำรวจพฤติกรรมการนำขวดเครื่องดื่มไปใช้หลังการบริโภคของคนไทยที่อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อน พบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ 70% มักนำขวด PET มาใช้ซ้ำ โดยเติมน้ำดื่มหรือเครื่องดื่ม (69%) สำหรับประเด็นสารอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ที่อาจปนเปื้อนในขวด PET นั้น เห็นว่า ปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีที่สามารถกำจัดสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับการนำกลับมาบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งรายงานฉบับนี้ ได้มีการแนะนำแนวทางการกำหนดค่าประเมินความปลอดภัยไว้แล้ว ทั้งนี้ เสนอว่าในเบื้องต้นผู้ผลิตรีไซเคิลพลาสติก (rPET) ควรมีการควบคุมแหล่งที่มา (Feedstock) และประเภทของพลาสติกที่จะนำมารีไซเคิล เพื่อผลิตเป็นขวดเครื่องดื่ม และภาชนะบรรจุอาหาร โดยจะต้องสามารถแสดงที่มาของพลาสติก ผลการทดสอบการกำจัดสารปนเปื้อนในกระบวนการรีไซเคิล ซึ่งอ้างอิงแนวทางการประเมินความปลอดภัยและการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลพลาสติก rPET ตามเกณฑ์มาตรฐานสากล เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) หรือหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority – EFSA)
ขณะนี้ทางสถาบันฯ ได้นำเสนอข้อเสนอ (ร่าง) แนวทางการประเมินความปลอดภัย และการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลพลาสติกสำหรับประเทศไทยดังกล่าว ให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และคณะทำงานของ อย. เพื่อใช้เป็นแนวทางพิจารณาแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 295 พ.ศ.2548 ข้อ 8 ที่ระบุว่า “ห้ามมิให้ใช้ภาชนะบรรจุที่ทำขึ้นจากพลาสติกที่ใช้แล้วบรรจุอาหาร เว้นแต่ใช้เพื่อบรรจุผลไม้ชนิดที่ไม่รับประทานเปลือก” ทั้งนี้เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุญาตให้สามารถใช้ขวดบรรจุเครื่องดื่มที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล (Recycled PET) ได้
นายสมศักดิ์ สิทธิชาญคุณะ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติกฯ มุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกตามโรดแมปการจัดการขยะพลาสติกปี 2561-2573 ของรัฐบาล ที่ต้องการนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ได้ 100% ภายในปี 2570 โดยนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ Circular Economy ไปปรับใช้ มุ่งเน้น “Reduce-Reuse-Recycle” เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งการรีไซเคิล ถือเป็นหัวใจหลัก ดังนั้นหากมีการผลักดันให้เกิดการนำพลาสติกรีไซเคิลกลับมาใช้เป็นภาชนะบรรจุอาหารหรือเครื่องดื่ม ก็จะเป็นการลดขยะพลาสติกได้อย่างแท้จริง เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมีการใช้พลาสติกประเภท PET เป็นจำนวนมาก คิดเป็นสัดส่วน 80-90% ของปริมาณการใช้พลาสติก PET ทั้งหมด ซึ่งในหลายๆ ประเทศได้มีการนำพลาสติกรีไซเคิล (rPET) มาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มได้สำเร็จแล้ว แต่ว่าในประเทศไทย ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากมีข้อห้ามตามกฎหมาย ทั้งที่เรามีโรงงานผู้ผลิตพลาสติกรีไซเคิล (rPET) และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัยได้มาตรฐานระดับสากล กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติกฯ จึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า การเปิดโอกาสให้สามารถนำพลาสติกรีไซเคิลมาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่มจะเป็นการลดขยะจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว และเป็นอีกก้าวสำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ซึ่งจะสอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลได้วางโรดแมปไว้ในการนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน”
สำหรับโครงการศึกษาประเมินความปลอดภัยเพื่อใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลพลาสติก พร้อมการสำรวจพฤติกรรมหลังการบริโภคของผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งจัดทำโดยสถาบันโภชนการ มหาวิทยาลัยมหิดลนั้นได้รับการสนับสนุนจากสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย โดยการสนับสนุนจาก กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ร่วมกับ บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส
EU Rules Applicable to the Authorization and Placing on the Market of Novel Foods and Traditional Foods Coming from non-EU Countries
ทางกระทรวงสุขภาพและการคุ้มครองผู้บริโภคประจำคณะกรรมาธิการยุโรปจัดการอบรมระดับภูมิภาคขึ้น เมื่อวันที่ 18–21 กุมภาพันธ์ 2563 ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ภายใต้โครงการ “Better Training for Safer Food” โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับกฎระเบียบว่าด้วยการขออนุญาตและการวางจำหน่ายอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ (Novel Foods) รวมถึงอาหารท้องถิ่นซึ่งนำเข้ามาจากประเทศนอกกลุ่มสมาชิก
คณะกรรมาธิการยุโรปได้พัฒนาชุดกฎหมายที่มีความครอบคลุม ซึ่งควบคุมกระบวนการการขออนุญาตสำหรับอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ มีการให้คำจำกัดความอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่หรือ Novel Foods ว่าเป็นอาหารที่ไม่มีประวัติการบริโภคภายในภูมิภาคยุโรปก่อนวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้มีการบังคับใช้กฎหมายสำหรับอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ (Regulation (EC) No 258/97)
กระทรวงสุขภาพและความปลอดภัยด้านอาหารประจำคณะกรรมาธิการยุโรป (DG SANTE) ได้จัดการอบรมระดับภูมิภาคขึ้นเป็นระยะเวลาสามวัน โดยมีตัวแทนผู้เข้าร่วมงานจำนวน 34 คน จาก 10 ประเทศภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (กัมพูชา อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไทย เวียดนาม) ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมการอบรมนั้นจะเป็นเจ้าหน้าที่จากองค์กรระดับประเทศที่ยืนยันถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการวางจำหน่ายอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่และอาหารท้องถิ่น
คณะผู้เชี่ยวชาญระดับโลกและระดับภูมิภาคจำนวนห้าท่านจะรับหน้าที่เป็นผู้จัดการอบรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาให้เกิดกิจกรรมที่ประสานความร่วมมือกับคู่ค้าที่มิใช่ประเทศสมาชิกในเรื่องของอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ ทำให้ผู้คนทราบถึงกฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่มีอยู่เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นเข้าใจมากยิ่งขึ้น และสามารถนำกฎระเบียบดังกล่าวไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกฎระเบียบดังกล่าวนี้จะนำมาบังคับใช้กับการขออนุญาตและการวางจำหน่ายอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ในตลาดของสหภาพยุโรป
โดยการอบรมนี้ถือเป็นชุดการอบรมเริ่มต้นของการอบรมในระดับภูมิภาคที่จัดขึ้นเก้าครั้ง เริ่มตั้งแต่ปี 2563 ไปจนถึง 2564 ในแอฟริกา (เซเนกัลและเอธิโอเปีย) ละตินอเมริกา (อาร์เจนตินาและคอสตาริกา) เอเชีย (อินเดีย ไทย และจีน) ตะวันออกกลาง (จอร์แดน) และยุโรป (มอลโดวา) ภายใต้โครงการ BTSF ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมจำนวน 300 คนจาก 68 ประเทศ
กฎระเบียบเกี่ยวกับอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ (EU) 2015/2283 (NFR) ที่แก้ไขในครั้งนี้ครอบคลุมหมวดหมู่อาหารที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น (เพิ่มขึ้นจาก 4 ประเภทในกฎระเบียบเก่าเป็น 10 ประเภท) หมวดหมู่ใหม่ที่กำหนดไว้ภายใต้ข้อ 3 ของ NFR ได้แก่ อาหารที่มีหรือประกอบด้วยสัตว์ หรือชิ้นส่วนของสัตว์ (เช่น แมลง) วัตถุดิบที่มาจากแร่ จุลินทรีย์ที่มาจากการเพาะเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อ สัตว์และพืช และอนุภาคนาโนเชิงวิศวกรรม ลักษณะใหม่อีกอย่างหนึ่งของ NFR คือขั้นตอนที่ระบุในข้อ 4 ที่ว่าผู้ประกอบธุรกิจอาหารต่างๆ จะสามารถยื่นคำร้องขอการลงความเห็นจากประเทศสมาชิกเกี่ยวกับสถานะอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ของอาหารหรือส่วนผสมชนิดหนึ่งได้ โดยกระบวนการดังกล่าวนี้มีรายละเอียดอยู่ใน Commission Implementing Regulation (EU) 2018/456
NFR ได้ขับเคลื่อนกระบวนการขออนุญาตอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ให้เป็นขั้นตอนแบบรวมศูนย์ ซึ่งทำให้เกิดกระบวนการที่ปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทำให้ผู้ประกอบธุรกิจอาหารต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎระเบียบสามารถเข้าใจได้โดยง่าย อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ข้อกำหนดทางวิทยาศาสตร์และการจัดการสำหรับการขอวางจำหน่ายอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่นั้นได้ระบุไว้ใน Commission Implementing Regulation (EU) 2017/2469
นอกจากนี้ อีกเรื่องหนึ่งที่ NFR ได้กล่าวถึงคือกระบวนการ “ยื่นความประสงค์” สำหรับอาหารท้องถิ่นที่มาจากประเทศนอกกลุ่มสมาชิก กระบวนการนี้มีการชี้แจงรายละเอียดไว้ใน Commission Implementing Regulation (EU) 2017/2468 ทำให้ผู้สมัครสามารถส่งเอกสารผ่านระบบการส่งเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ของคณะกรรมาธิการได้ โดยเอกสารดังกล่าวจะแสดงถึงอาหารท้องถิ่นที่บริโภคโดยประเทศนอกกลุ่มสมาชิกมาเป็นเวลาอย่างน้อย 25 ปี ในกรณีที่ EFSA หรือประเทศสมาชิกไม่มีข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยแล้ว คณะกรรมาธิการจะรับเรื่องและอนุญาตให้มีการวางจำหน่าย รวมถึงเพิ่มรายชื่ออาหารดังกล่าวเข้าในยูเนียนลิสต์ (Union List) อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยแล้ว ผู้สมัครอาจถอนการยื่นความประสงค์ดังกล่าว หรือนำส่งเอกสารฉบับเต็มผ่านขั้นตอนปกติแทนก็ได้ ทั้งนี้ EFSA ได้จัดทำข้อแนะนำเกี่ยวกับการจัดเตรียม และการยื่นความประสงค์ หรือเอกสารสมัครที่จะยื่นเพิ่มเติมสำหรับอาหารท้องถิ่นที่มาจากประเทศนอกกลุ่มสมาชิกไว้แล้ว
——————————————————————————————————————–
เกี่ยวกับ BTSF
BTSF คือ โครงการอบรมที่จัดขึ้นโดยคณะกรรมาธิการยุโรป โดยมีเนื้อหาครอบคลุมกฎหมายทางด้านอาหารและอาหารสัตว์ สุขภาพและสวัสดิภาพของสัตว์ รวมถึงกฎระเบียบด้านความสมบูรณ์ของพรรณพืชที่บังคับใช้ทั้งในประเทศสมาชิกและในประเทศนอกกลุ่มสมาชิก ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ec.europa.eu/food/safety/btsf_en
The Yoom tomato is the FRUIT LOGISTICA Innovation Award of the Year
This year’s FRUIT LOGISTICA Innovation Award (FLIA) goes to the tomato “Yoom™” from the company Syngenta Seeds. With around 30 per cent of the votes, it is the clear winner in the competition to determine the best innovation in the international fruit and vegetable industry. Visitors to FRUIT LOGISTICA had two days to vote on the award.
The Dutch company Syngenta won the FLIA before in 2012, for its red snack pepper “Angello”. The Yoom tomato won voters over with its outer and inner values: depending on the hours of sunlight, its colour ranges from purple to black. What remains constant is its high vitamin, mineral and antioxidant content as well as its sweet-sour and tangy flavour, also known as “umami”.
“We are very pleased to have won this award again, because FRUIT LOGISTICA is the most important convention for the fresh fruit industry. In five minutes the world will know more about our product, because everyone follows the information from FRUIT LOGISTICA. This will be a major boost for our product. And the award is a great acknowledgment of our work as well as a wonderful motivation for our team,” says Jérémie Chabanis, EAME Food Chain Manager Vegetable and Specialties at Syngenta.
The silver FLIA goes to Polish company Silbo for its certified fruit and vegetable packaging with water-based dyes and adhesives (“Compostable, Flexible, Printed, Packaging”). It is completely compostable, making it especially sustainable.
The bronze FLIA was also awarded to sustainable packaging: the “SoFruMiniPak® Eco View” from SoFruPak Witold Gai from Poland. It seals quickly, is made from renewable resources, ensures good ventilation and optimised cooling, and is 100 per cent biodegradable.