Continue reading “The Brewing Basic of Beer…The Highest Market Share in the Alcohol Industry”
Author: admin
PCR and LAMP Technologies: Food Safety Considerations when Choosing Molecular Detection Methods
Started from Scratche…To Be The Special “Cambodia Beer” The First 100% Khmer Owned Brewery
The Most Recently Enforced Food Regulations Notification of the Ministry of Public Health No.391 (B.E.2561 (2018)) Issued by virtue of the Food Act B.E.2522 Re: Prescribed foods which are prohibited to be produced, imported or sold
See What’s New in the Star Items August 2019
ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care เดือน สิงหาคม 2562
Method Validation Guidelines for Chemical Analysis of Food Matrix as Requirement of ISO/IEC17025
Winner of U Share V Care JUNE 2019
U Share V Care JUNE 2019 ประกาศฉบับ AUG 2019
PTT Privilege Card worth THB500 (Only 2 Lucky Winners)
1. Pramuan Punpan
Assistant Production Section Manager
Thai Identity Sugar Factory Co., Ltd.
2. Kittipong Tangverapornpong
Engineer Manager
Tanaosree Green Food Co., Ltd.
สสว. ผนึกสถาบันอาหาร ปั้น 5 ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ยกระดับเครือข่าย SME กลุ่มสับปะรด-กระเทียม
สสว. ร่วมกับสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม อวดโฉม 5 ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ฝีมือสมาชิกเครือข่าย SME ที่เข้าร่วม “กิจกรรมพัฒนาเครือข่ายสับปะรดและเครือข่ายกระเทียม ภายใต้โครงการสนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2562” ได้แก่ ผงสับปะรด สับปะรดแช่เยือกแข็ง สับปะรดอบน้ำผึ้ง ไอศกรีมไวน์สับปะรด และกระเทียมผง ตามแผนพัฒนาเครือข่ายที่มุ่งส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ช่วยพัฒนาคุณภาพการผลิต การแปรรูป การเก็บรักษา การออกแบบ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์อย่างสร้างสรรค์ ล่าสุดจัดอบรมพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้ผู้นำเครือข่าย SME 15 ราย เป็นตัวแทนจาก 5 กลุ่มเครือข่าย รวม 11 จังหวัด เผยเตรียมติวเข้มความรู้เรื่องการตลาดแบบครบวงจรทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้สมาชิกราว 700 ราย เพื่อต่อยอดขยายผลในเชิงพาณิชย์ พร้อมผลักดันให้นำผลิตภัณฑ์ออกทดสอบตลาด และจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ตั้งเป้าเจาะตลาดญี่ปุ่น ฐานตลาดส่งออกอาหารสำคัญของไทย
นางลักขณา ตั้งจิตนบ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจ SMEs สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวถึงความคืบหน้าของ “กิจกรรมพัฒนาเครือข่ายสับปะรดและเครือข่ายกระเทียม ภายใต้โครงการสนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2562” ซึ่งได้มอบหมายให้สถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า ภายหลังจากได้จัดอบรมและพัฒนาศักยภาพเชิงลึกให้แก่สมาชิกเครือข่าย และผู้นำเครือข่าย ด้านการพัฒนากระบวนการผลิตและการบริหารจัดการ โดยการนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีมาสนับสนุน เพื่อยกระดับศักยภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต ปรับปรุงกระบวนการเพาะปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น หรือปรับปรุงกระบวนการแปรรูปเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสามารถจัดจำหน่ายได้ รวมทั้งการจัดทำมาตรฐานการผลิตเพื่อส่งออก และมาตรฐานรสชาติอาหาร ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
“สมาชิกเครือข่ายต่างๆ ได้ร่วมกันพัฒนาผลผลิตสับปะรดและกระเทียม เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปต้นแบบที่มีศักยภาพในการแข่งขันได้ทั้งหมด 5 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากสับปะรด 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) “ผงสับปะรด” สำหรับหมักเนื้อนุ่ม เพื่อปรุงอาหาร ใช้เทคโนโลยีการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็งเพื่อคงคุณสมบัติของเอนไซม์สับปะรด จาก“กลุ่มเครือข่ายสับปะรดสินสมุทร” (ชลบุรี ระยอง และตราด) 2) “สับปะรดแช่เยือกแข็ง”พร้อมรับประทาน ใช้เทคโนโลยีแช่เยือกแข็ง จาก “กลุ่มเครือข่ายสับปะรดสยามโกลด์” (ประจวบคีรีขันธ์) 3) “สับปะรดอบน้ำผึ้ง”(แช่อิ่มอบแห้ง) ใช้เทคโนโลยีการแช่อิ่ม และนำมาอบแห้งเพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์ จาก “กลุ่มเครือข่ายสับปะรดภาคเหนือ” (พิษณุโลก อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี) 4) “ไอศกรีมไวน์สับปะรด” จาก “กลุ่มเครือข่ายสับปะรด 3 บุรี” (ราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี) สำหรับผลิตภัณฑ์จากกระเทียม 1 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ “กระเทียมผง” สำหรับปรุงอาหารใช้นวัตกรรมการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง เพื่อคงกลิ่นและรสชาติของกระเทียม จาก“กลุ่มเครือข่ายผู้ปลูกกระเทียมจังหวัดเชียงใหม่”
ล่าสุดได้จัดอบรมผู้นำเครือข่ายหรือผู้ประสานเครือข่าย (Cluster Development Agent; CDA) จำนวน 15 ราย ซึ่งเป็นตัวแทนจากเครือข่ายสับปะรด 4 กลุ่ม และเครือข่ายกระเทียม 1 กลุ่ม ปัจจุบันมีสมาชิกรวมราว 700 ราย จาก 11 จังหวัด เพื่อพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจด้านต่างๆ ครอบคลุมถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เครือข่าย โดยให้ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการร่วมมือและส่งเสริมแนวคิดในการพัฒนาเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างเครือข่ายกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นางนิตยา พิระภัทรุ่งสุริยา รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า หลังจากนี้จะเป็นการจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการตลาดแบบครบวงจรทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ ขณะเดียวกันเตรียมสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศได้รู้จักผลิตภัณฑ์ต้นแบบทั้ง 5 ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ ของสมาชิกเครือข่ายที่ได้รับการยกระดับด้านมาตรฐานการส่งออกเรียบร้อยแล้ว เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ ซึ่งมีแผนจะนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกทดสอบตลาด และจับคู่เจรจาธุรกิจภายในเดือนกันยายนนี้ โดยต่างประเทศมีญี่ปุ่นเป็นตลาดเป้าหมาย เนื่องจากในภาพรวมญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสินค้าอาหารอันดับ 1 ของไทยที่มีศักยภาพ ในปี 2561 มูลค่าการส่งออกอาหารของไทยไปญี่ปุ่นราว 132,130 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.8 ที่สำคัญไทยมีจุดแข็งที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดรายใหญ่ของโลกที่มีมาตรฐานการผลิตในระดับสากล มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาด โดยโรงงานแปรรูปสับปะรดของไทยมีทั้งหมด 62 แห่ง ร้อยละ 74 เป็นผู้ประกอบการ SME
ในปี 2561 เฉพาะสับปะรดกระป๋อง ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึงร้อยละ 40.8 (มูลค่า 12,933 ล้านบาท) ตลาดส่งออก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 29.43) สหภาพยุโรป (ร้อยละ 26.5) รัสเซีย (ร้อยละ 7.1) จีน (ร้อยละ 3.2) และญี่ปุ่น (ร้อยละ 3.1) ส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ได้แก่ น้ำสับปะรดเข้มข้น (มูลค่า 3,601 ล้านบาท) สับปะรดแช่อิ่ม/เชื่อม (มูลค่า 2,198 ล้านบาท) สับปะรดสด/อบแห้ง (มูลค่า 332 ล้านบาท) สับปะรดแช่เย็นแช่แข็ง (มูลค่า 38 ล้านบาท) เมื่อรวมผลิตภัณฑ์ทุกประเภท ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก มีส่วนแบ่งการตลาด ร้อยละ 15.1 รองจากประเทศคอสตาริกาที่มีส่วนแบ่งร้อยละ 26.9
‘ไทย ไรซ์ นามา’ ลงพื้นที่แนะนําเทคนิคปลูกข้าว เพิ่มรายได้ ลดต้นทุน ลดโลกร้อน แก่เกษตรกรในจังหวัดสุพรรณบุรี
สุพรรณบุรี, 5 กรกฎาคม 2562 – เกษตรกรกว่า 300 รายในจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าร่วมงานเปิดตัวโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทํานาเพื่อการพัฒนาที่ยังยืน หรือ ‘ไทย ไรซ์ นามา’ เรียนรู้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน
นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า “โครงการไทย ไรซ์ นามา ผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตข้าวให้กับเกษตรกรจํานวน 100,000 ครัวเรือน ในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และสุพรรณบุรี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2.8 ล้านไร่ โดยมีเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนระบบการทํานาในปัจจุบันไปสู่ระบบการทํานาแบบยั่งยืน”
ทั้งนี้ โครงการฯ ได้ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พัฒนาเงินทุนหมุนเวียนเพื่อจ่ายค่าบริการปรับพื้นที่ด้วยระบบเลเซอร์ให้แก่เกษตรกร โดยเกษตรกรสามารถผ่อนชําระคืนภายหลังได้ในช่วงระยะเวลา 3 ฤดูปลูก เงินทุนหมุนเวียนนี้จะเชื่อมโยงกับกับสินเชื่อสีเขียวของ ธ.ก.ส. ซึ่งให้เงินทุนแก่ผู้ประกอบการที่ต้องการซื้อเครื่องจักรกลมาใช้ในกิจกรรมการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยโครงการคาดการณ์ว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 1.73 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
เมื่อภาวะโลกร้อนยังคงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงทั่วทุกมุมโลก ฯพณฯ เอกอัครราชทูตเกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตเยอรมันประจําประเทศไทย ได้เน้นย้ำว่า “เมื่อพูดถึงเรื่องภาวะโลกร้อน เราทุกคนต่างตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน เกษตรกรเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ในขณะเดียวกัน เกษตรกรเองก็สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนได้ ผมรู้สึกดีใจที่พวกเราทุกคนร่วมมือกันหาทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทํานาภายใต้โครงการไทย ไรซ์ นามา และแสดงวิธีการผลิตข้าวรูปแบบใหม่ที่จะช่วยดูแลรักษาธรรมชาติ เพิ่มผลผลิตและรายได้ให้กับเกษตรกร”
นายสุริยัน วิจิตรเลขการ รองผู้อํานวยการโครงการเกษตรกรรมและอาหาร องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจําประเทศไทย กล่าวว่า “เทคโนโลยีที่โครงการฯ จะช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตข้าวได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะมีด้วยกัน 4 วิธี ได้แก่ เทคนิคการปรับหน้าดินด้วยเลเซอร์ ซึ่งช่วยทําให้หน้าดินเรียบเท่ากัน ส่งผลให้เกษตรกรสามารถประหยัดค่าสูบน้ำได้มากถึงร้อยละ 50 เทคนิคการทํานาแบบเปียกสลับแห้งที่ช่วยให้ระบบรากข้าว การแตกกอ และความสมบูรณ์ของข้าวดีขึ้น เทคนิคการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ช่วยลดต้นทุนการใช้ปริมาณปุ๋ยที่มากเกินความจําเป็น และรักษาแร่ธาตุในดิน ทําให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น และวิธีสุดท้ายคือ การจัดการฟางและตอซัง ซึ่งช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรหยุดเผาเศษวัสดุเหลือใช้ในนาข้าว ลดฝุ่นละอองและหมอกควัน ในขณะเดียวกัน เกษตรกรสามารถนําฟางข้าวไปแปรรูปเพิ่มมูลค่าได้ การใช้เทคนิคเหล่านี้นอกจากจะทําให้เกษตรกรลดต้นทุนในการปลูกข้าวได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวและได้ข้าวที่มีคุณภาพดีขึ้น อีกทั้งยังมีการสนับสนุนการเข้าถึงตลาดจากภาคธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม
ทั้งนี้ โครงการไทย ไรซ์ นามา เป็นโครงการที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือหลักระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจําประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจํานวน 14.9 ล้านยูโร (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 530 ล้านบาท) จากรัฐบาลประเทศเยอรมนี รัฐบาลสหราชอาณาจักร รัฐบาลเดนมาร์ก และสหภาพยุโรป ผ่าน NAMA Facility มีระยะเวลาการดําเนินโครงการ 5 ปี (ตั้งแต่ พ.ศ.2561-2566)