Mislabeled CBD Products Unveiled by US FDA

Photo by Kimzy Nanney on Unsplash

 

According to a report, FDA uncovers mislabeled CBD products, written by Sam Danley from Food Business News, a preliminary study by the US Food and Drug Administration found many products containing cannabidiol (CBD) are mislabeled, containing either significantly more or less CBD than advertised.

 

Nearly a quarter of food products tested by the agency did not meet their label claims, according to a report sent to the House Appropriations Committee obtained by Hemp Industry Daily. The numbers come from the agency’s recent sampling study of the CBD marketplace, which only included products available online.

The FDA randomly tested 200 tinctures, oils, capsules, edibles, drinks and pet products containing CBD, a non-intoxicating compound. Nearly half were found to contain THC, the psychoactive component of cannabis.

Of the 20 food and beverage products that listed a specific amount of CBD on the label, five contained less than 80% of the amount indicated and six contained more than 120% of the amount indicated. Eight food products were found to contain THC.

The results are from a limited sample size and warrant a longer-term study that includes products sold in brick-and-mortar stores, the FDA said.

Recent efforts to gather data on the CBD marketplace, including a public hearing last May, raised concerns about mislabeling, according to the report. The FDA also said it “lacks significant information on what CBD-containing products are on the market” and that there is little information available about the products themselves.

The agency has yet to give CBD a Generally Recognized As Safe (GRAS) status or approve products that contain it.

Besty Boren, senior vice president of regulatory and technical affairs at the Consumer Brands Association, said the FDA should do more to regulate the CBD marketplace.

“The FDA’s recent report on the labeling accuracy of CBD products further affirms the need for federal regulatory clarity,” she said. “Allowing bad actors to continue to put products on the market, unchecked, is a threat to consumer safety everywhere.”

A similar study from the Minnesota Hemp Farmers & Manufacturers Association and Confidence Analytics found some CBD products contain as much as three times the stated amount while others contain no CBD. The association tested 25 products sold in Minneapolis and found 64% did not meet their label claims.

 

THE IMPACT OF COVID-19 ON FOODSERVICE (Clip)

การระบาดใหญ่ได้สร้างความเสียหายให้กับบาร์และร้านอาหารเป็นอย่างมาก Amanda Topper, Mintel Associate Director of Foodservice ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับกลุ่มต่างๆ ในอุตสาหกรรมการบริการอาหาร (Food service) ที่จะได้รับผลกระทบในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ไปติดตามชมรายงานจากมินเทลกันเลย

The pandemic has been largely damaging for bars and restaurants. Mintel Associate Director of Foodservice Amanda Topper, looks at the prospects for the short, medium and long-term impact on Foodservice.

DITP เตรียมลุยโปรโมตร้านอาหาร Thai SELECT ในตลาดสหรัฐฯ

 

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เตรียมลุยโปรโมตร้านอาหาร Thai SELECT ในตลาดสหรัฐฯ เฟส 2 หลังสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย มอบ สคต. 4 แห่งลุยสร้างโอกาสขายอาหารไทย ทั้งออนไลน์และจัดส่งถึงบ้าน พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าเกษตร อาหาร จัดการเจรจาธุรกิจออนไลน์ เพิ่มโอกาสขายสินค้าไทย

 

 

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยถึงแผนการบุกตลาดสหรัฐฯ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และหลังโควิด-19 คลี่คลาย ว่า กรมได้ปรับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในตลาดสหรัฐฯ โดยมีโครงการสำคัญที่จะดำเนินการ คือ การจัดกิจกรรมส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ร้านอาหารที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เฟส 2 ที่จะมุ่งเน้นการสร้างและขยายการรับรู้อาหารไทย และกระตุ้นการบริโภคอาหารไทยในร้านอาหาร Thai SELECT เพิ่มมากขึ้น โดยใช้ช่องทางออนไลน์ สื่อโซเชียลมีเดีย และสนับสนุนการบริการในรูปแบบ Delivery เพื่อใหเสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ยังคงต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ในสหรัฐฯ ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ นิวยอร์ก ไมอามี ลอสแองเจลิส และชิคาโก ไปดำเนินการแล้ว

ส่วนกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าอาหาร จะเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมอาหารไทยและบริการร้านอาหารไทย ส่งเสริมภาพลักษณ์อาหารไทยร่วมกับเซเลป อินฟลูเอนเซอร์ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และการประชาสัมพันธ์อาหารสำหรับผู้บริโภคกลุ่มฮิสแปนิก เป็นต้น

สำหรับกิจกรรมอื่นๆ จะเน้นการส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตร เช่น สคต.ชิคาโก จัด In-store Promotion ตลาดฮิสแปนิก ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทย ประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในงานเทศกาลอาหาร สคต.ลอสแอนเจลิส จัดส่งเสริมการขายอาหารและข้าว , จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยผ่านออนไลน์ Top Thai Store ร่วมกับ Amazon.com

นอกจากนี้ จะจัดการเจรจาธุรกิจออนไลน์ และงานแสดงสินค้าออนไลน์ โดยสคต.นิวยอร์ก สินค้าอาหาร ไลฟ์สไตล์ และสินค้าอุตสาหกรรม , สคต.ลอสแอนเจลิส แอนิเมชันในงาน MOVE อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่น จิวเวลรี่ ไลฟ์สไตล์ และชิ้นส่วนยานยนต์ , สคต.ชิคาโก สินค้าอาหาร ไลฟ์สไตล์ และสินค้าอุตสาหกรรม และสคต.ไมอามี สินค้าวัสดุทางการแพทย์และวัสดุป้องกันการติดเชื้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารพร้อมทาน อาหารเกษตรอินทรีย์

ขณะเดียวกัน มีแผนที่จะนำคณะผู้แทนการค้าเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ลอสแอนเจลิส โดยนำสินค้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ ร่วมงาน Automotive Aftermarket Products Expo (AAPEX 2020) และนำธุรกิจบันเทิงร่วมงาน American Film 2020 (AFM 2020) รวมทั้งจะจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ประกอบการในตลาดสินค้าอาหารสำหรับกลุ่ม Food Service ในสหรัฐฯ พฤติกรรมผู้บริโภคฮิสแปนิกในการใช้ของตกแต่งบ้าน ของขวัญ ของที่ระลึก เครื่องประดับที่เกี่ยวกับความเชื่อโชคลาง ความรู้ตลาดสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ และการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อเจาะตลาดสินค้าออร์แกนิกและธรรมชาติในงาน Natural Products Expo West 2021 (NPEW 2021)

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169

Eating Right for Two: Important Ingredients for Better Maternal Nutrition

 

ส่วนผสมสำคัญสำหรับโภชนาการที่ดีขึ้นสำหรับคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ : การบริโภคที่เป็นประโยชน์ทั้งคุณแม่และลูกน้อย

 โภชนาการที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในทุกช่วงของชีวิต แต่ความต้องการสารอาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และวางแผนจะตั้งครรภ์เนื่องจากสิ่งที่คุณแม่รับประทานจะมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตที่มีค่าทั้งสอง

 

คุณแม่ส่วนใหญ่ตระหนักดีถึงสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อการดูแลสุขภาพของตัวเองและลูกน้อยในครรภ์ เช่นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันที่จำเป็น แร่ธาตุและวิตามิน อย่างไรก็ตามคุณแม่ยังสามารถทำได้มากกว่านั้นเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ได้แก่การรักษาระดับน้ำตาลในเลือด การดูแลสุขภาพทางเดินอาหารด้วยการบริโภคอาหารที่มีเส้นใยอาหาร (Dietary Fibre) และการส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่เป็นประโยชน์ (Gut Microbe)

 

การเลือกส่วนผสมที่ชาญฉลาดเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

ในประเทศสิงคโปร์พบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ประมาณหนึ่งในสี่ถึงห้าคนเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์1 (Gestational Diabetes Mellitus : GDM) GDM เป็นโรคเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกในช่วงไตรมาสที่สองถึงสามของการตั้งครรภ์ซึ่งชัดเจนว่าไม่เป็นอยู่ก่อนแล้ว จึงเป็นเรื่องน่ากังวลเนื่องจากระดับกลูโคสที่สูงในระหว่างตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานทั้งในคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ รวมถึงความเสี่ยงในการให้กำเนิดทารกที่เป็นโรคหัวใจอีกด้วย2

 

ในบรรดาวิธีการสำคัญในการจัดการกับ GDM คือการบริโภคคาร์โบไฮเดรตที่มีคุณภาพในการเผาผลาญที่ดี (Good Metabolic Quality Carbohydrates) คาร์โบไฮเดรตที่มีคุณภาพในการเผาผลาญที่ดีนั้นจะถูกย่อย ดูดซึมและเผาผลาญอย่างช้า ๆ ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสและอินซูลินในเลือดของเราเพิ่มขึ้นช้าลงและในอัตราการเพิ่มที่ลดลง ในขณะที่ให้พลังงานที่จำเป็นอย่างต่อเนื่องและสมดุล ในทางตรงกันข้ามคาร์โบไฮเดรตที่มีคุณภาพการเผาผลาญไม่ดีจะถูกย่อยและเผาผลาญอย่างรวดเร็วทำให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คาร์โบไฮเดรตที่รับประทานทั่วไปที่มีคุณภาพในการเผาผลาญไม่ดี ได้แก่ ซูโครส มอลโตเด็กซ์ตรินและแป้ง

 

อย่างไรก็ตาม มีคาร์โบไฮเดรตจำนวนไม่มากนักที่มีคุณภาพการเผาผลาญที่ดี  Palatinose™ (หรือที่เรียกว่า isomaltulose ที่แสดงในรายการส่วนผสมบนฉลากอาหาร) เป็นตัวอย่างที่ดีมากของคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยได้ช้า ๆ แต่สมบูรณ์ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างเช่นในน้ำผึ้ง เนื่องจากคุณสมบัติการปลดปล่อยน้ำตาลช้าที่ไม่เหมือนใครของ Palatinose™ ทำให้มีค่าดัชนีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Glycaemic Index : GI) เท่ากับ 32 ความเร็วที่ช้าลงของ Palatinose™ ในการถูกย่อยมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เมื่อถูกย่อยและดูดซึมอย่างช้า ๆ โดยร่างกายจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดและการตอบสนองของอินซูลินที่ช้าลงและในอัตราการเพิ่มที่ลดลง ในขณะที่ให้พลังงานอย่างคงที่และต่อเนื่อง

 

ผลตามที่กล่าวมาแสดงให้เห็นอย่างสอดคล้องกันจากการศึกษาทางคลินิกหลายครั้งที่ดำเนินการในกลุ่มประชากรต่าง ๆ3 ตัวอย่างเช่นการศึกษาทางคลินิกเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ดำเนินการในประเทศสิงคโปร์4 ในหมู่ผู้เข้าร่วม 40 คนที่มีสุขภาพดีประกอบด้วยคนจีน คนมาเลเซีย คนอินเดียและคนคอเคเชียน (Caucasian) แสดงให้เห็นว่าการแทนที่ซูโครสด้วย Palatinose™ ในอาหารจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในทุกกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ตามข้อเท็จจริงจะเป็นคนเอเชียที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจาก Palatinose™ เนื่องจากพวกเขามีระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับคนคอเคเชียน ศาสตราจารย์ Jeyakumar Henry ซึ่งเป็นผู้นำในการศึกษานี้กล่าวว่า “คนเอเชียอาจจะได้รับประโยชน์จากการใช้ส่วนผสมอาหารที่มีค่า GI ที่ต่ำ (lower GI ingredients) มากกว่าคนคอเคเชียน”

 

เนื่องจากมีผลต่อการตอบสนองของระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า เมื่อใช้ Palatinose™ ทดแทนคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยได้อย่างรวดเร็วทั้งหมดหรือบางส่วน โดยส่งผลให้มีการรับรองทางด้านสุขภาพสำหรับ Palatinose™ ในสหภาพยุโรปและที่อื่น ๆ รวมทั้งในประเทศมาเลเซียด้วย

 

เส้นใยรากชิโครี (Chicory Root Fibres) เช่นอินนูลิน (Inulin) และโอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) เป็นเส้นใยพรีไบโอติก (Prebiotic Fibres) ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายได้แก่ช่วยให้สุขภาพทางเดินอาหารดีขึ้น การดูดซึมแคลเซียมที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุลและอื่น ๆ

 

เส้นใยรากชิโครีช่วยให้รักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นอย่างไร ? พรีไบโอติกเหล่านี้ไม่สามารถย่อยได้ในร่างกายของเราดังนั้นจึงไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดเลย อีกทั้งยังสามารถใช้เพื่อลดหรือทดแทนน้ำตาลในสูตรการปรุงอาหารได้ ในขณะที่การเพิ่มเส้นใยพรีไบโอติกจากพืชและรักษารสชาติที่เป็นธรรมชาติและน่าพึงพอใจ จากหลายการศึกษาแสดงให้เห็นว่ายิ่งน้ำตาลถูกแทนที่ด้วยเส้นใยรากชิโครีมากเท่าไร จะมีการตอบสนองของน้ำตาลในเลือด (Blood Glucose Response) ที่ลดลงและเป็นผลให้การตอบสนองของอินซูลิน (Insulin Response) ลดลงตามไปด้วย5 แม้การทดแทนน้ำตาลเพียงแค่ 20% ก็แสดงให้เห็นระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งนี้ทำให้เส้นใยรากชิโครีเหมาะสำหรับการทดแทนน้ำตาล – เป็นผลทำให้ได้รับการรับรองทางด้านสุขภาพในสหภาพยุโรป

 

พรีไบโอติก (Prebiotics) เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อสุขภาพของลำไส้ (และอื่น ๆ )

 นอกเหนือจากการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุลแล้ว อินนูลินและโอลิโกฟรุคโตสยังเป็นหนึ่งในพรีไบโอติกที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วซึ่งมีอยู่น้อยมาก ปัจจุบันมี พรีไบโอติกเพียงสามชนิดที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วได้แก่ อินนูลินและโอลิโก-ฟรุคโตสซึ่งเป็นเส้นใยพรีไบโอติกจากพืชซึ่งได้มาจากรากชิโครีตามธรรมชาติรวมทั้ง   กาแลคโต-โอลิโกแซคคาไรด์  (Galacto-oligosaccharide)6 ซึ่งเกิดจากการสังเคราะห์น้ำตาลแลกโตสจากนมดังนั้นจึงถือว่ามาจากสัตว์ เส้นใยพรีไบโอติกจากรากชิโครี (อินนูลิน, โอลิโกฟรุคโตส) เป็นส่วนผสมพิเศษที่ช่วยบำรุงจุลินทรีย์ในลำไส้7 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นใจในการทำงานของระบบย่อยอาหารที่เหมาะสมและยังมีบทบาทในด้านอื่น ๆ ที่สำคัญต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ อย่างเช่นระบบภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง เส้นใยรากชิโครียังมีประโยชน์เพิ่มเติมในการปรับปรุงสุขภาพทางเดินอาหารโดยการทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องผูก8 ซึ่งมักเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์

 

การรับประทานแคลเซียมมีความสำคัญมากในระหว่างตั้งครรภ์และเส้นใยรากชิโครีสามารถช่วยได้

 แม้ว่าแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในระหว่างตั้งครรภ์ แต่คุณแม่หลายคนยังไม่ได้บริโภคในปริมาณที่เพียงพอ นอกจากนี้แคลเซียมส่วนใหญ่ที่บริโภคจะถูกขับออกโดยร่างกาย

 

วิธีหนึ่งในการเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมคือการบริโภคส่วนผสมของเส้นใยรีพรีไบโอติกจากรากชิโครีทั้งอินนูลินและโอลิโกฟรุคโตสซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตร และมีชื่อเรียกว่า Orafti® Synergy1 การศึกษาทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าการบริโภค Orafti® Synergy1 ปริมาณ 8 กรัมต่อวันช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกของเรา นอกจากนี้ความหนาแน่นของมวลกระดูกและปริมาณแร่ธาตุในกระดูกล้วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ9,10

 

ในขณะที่วิตามินดีทำงานได้ดีในการช่วยส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียม แต่จะทำในลำไส้เล็ก ส่วนเส้นใยรากชิโครีทำงานแตกต่างจากวิตามินดี – โดยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ใหญ่11 ซึ่งหมายความว่าลำไส้ใหญ่เป็นสถานที่เพิ่มเติมสำหรับการดูดซึมแคลเซียม

 

การรักษาสุขภาพคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ให้แข็งแรงด้วยสารอาหารที่เหมาะสม 

เห็นได้ชัดว่า Palatinose™ และเส้นใยพรีไบโอติกจากรากชิโครีมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพของคุณแม่ในหลาย ๆ ด้าน เนื่องจากสุขภาพและโภชนาการที่ดียังคงเป็นจุดสนใจของผู้ผลิตอาหาร ส่วนผสมจากธรรมชาติเหล่านี้ ที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้ว สามารถใช้เป็นอีกหนทางหนึ่งในการเพิ่มประโยชน์ด้านสุขภาพให้กับคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์


 

Good nutrition is important at every stage of life but the need for optimal nutrition is particularly key for pregnant women and those planning to conceive, since what mothers eat will have a big impact on two valuable lives.

Most mums-to-be are well-aware of the kinds of nutritious foods they need to cater for their health and that of their baby — things like proteins, carbohydrates, essential fats, minerals, and vitamins. However, there’s more that can be done to stay healthy, including keeping blood glucose levels in check, taking care of digestive health by considering dietary fibre intake and by encouraging the growth of beneficial gut microbes.

 

Choosing Smart Ingredients to Keep Your Blood Glucose Levels in Balance

In Singapore, about one in four to five pregnant women develop diabetes mellitus during their pregnancy[1]. This is called gestational diabetes mellitus (GDM). GDM is described as diabetes that is first diagnosed in the second to third trimester of the pregnancy, that is clearly not pre-existing. This is worrying, as high glucose levels during pregnancy increases the risk of developing diabetes in both mother and child, as well as the risk of giving birth to babies with heart defects[2].

Among the key methods to address GDM is by consuming carbohydrates of good metabolic quality. Good metabolic quality carbohydrates are slowly digested, absorbed and metabolised, thereby causing a slower and lower rise of our blood glucose and insulin levels, while providing the needed energy in a sustained and well-balanced way. In contrast, carbohydrates of poorer metabolic quality are quickly digested and metabolised, leading to a rapid increase in blood glucose and insulin levels. Some of the commonly eaten carbohydrates of poor metabolic quality include sucrose, maltodextrin, and starches.

There are unfortunately not that many carbohydrates that have this high metabolic quality. Palatinose™ (also known as isomaltulose in the ingredient list of food labels) is a very good example of a carbohydrate suitable for a healthy diet. It is a slowly yet fully digestible carbohydrate that occurs naturally in small amounts in honey. Because of the unique slow-release property of Palatinose™, it has a low glycaemic index (GI) of 32. The slow speed in which Palatinose™ is broken down is particularly important for pregnant mothers. As it is slowly digested and absorbed by the body, it leads to a slower and lower rise in blood glucose and insulin response, while providing a more constant and sustained energy supply.

This has been consistently demonstrated in many clinical studies conducted in different population groups[3]. For instance, a recent clinical study[4] conducted in Singapore among 40 healthy Chinese, Malay, Indian and Caucasian participants showed that replacing sucrose with Palatinose™ significantly decreases blood glucose levels in all groups. In fact, it was the Asians who benefited the most from Palatinose™ as they had a comparatively lower blood glucose response as compared to the Caucasians.  Professor Jeyakumar Henry who led the study states: “Asians may benefit more from the inclusion of lower GI ingredients into foods than Caucasians.”  

Because of the low effect on blood glucose response when Palatinose™ is used to fully or partially replace rapidly digestible carbohydrates a corresponding health claim for Palatinose™ in the European Union and e.g. Malaysia does exist.

Chicory root fibres such as inulin and oligofructose are prebiotic fibres that provide us with numerous health benefits, including improved digestive health, enhanced calcium absorption, balanced blood glucose levels and more.  

How do chicory root fibres support blood glucose levels better? These prebiotics are not digestible in our body, and hence do not affect blood glucose levels at all. They can also be used to reduce or replace sugar in recipes while adding plant-based prebiotic fibre and maintaining a natural and pleasant taste. Studies have shown that the more sugar that is replaced with chicory root fibres, the lower the blood glucose response and its corresponding insulin response[5]. Even a 20% sugar replacement shows significant reduction in blood glucose levels. This makes chicory root fibres ideal for replacing sugars — resulting in an approved health claim in the European Union.

 

Prebiotics are important nutrients for gut health (and more)

Aside from balancing blood glucose levels, inulin and oligofructose are one of the very few scientifically proven prebiotics. There are three clinically proven prebiotics available today — inulin and oligofructose, which are plant-based prebiotic fibres that are naturally derived from the chicory root, as well as galacto-oligosaccharide[6], which is synthesised from the milk sugar lactose and thus of animal origin. Prebiotic chicory root fibres (inulin, oligofructose) are special ingredients that help nourish beneficial gut microbes[7], which is important in ensuring proper digestive function and also play a role in a number of other aspects important to health and well-being, such as a strong immune system. Chicory root fibres also have the added benefit of improving digestive health by softening stools, thereby relieving constipation[8], which commonly occurs during pregnancy.

 

Calcium intake is key during pregnancy, and chicory root fibres can help

Even though calcium is an essential mineral required during pregnancy, many women still do not consume adequate amounts. Further, most of the calcium that is consumed is excreted by the body.

One way to enhance calcium absorption is by consuming a patented mix of prebiotic chicory root fibres inulin and oligofructose called Orafti® Synergy1. Clinical studies have shown that consuming 8g Orafti® Synergy1 per day enhances calcium absorption in our bones. Additionally, both bone mineral density and bone mineral content were significantly increased[9][10].

While vitamin D already does a good job at helping to promote calcium absorption, it does so in the small intestine. Chicory root fibres work differently from vitamin D — they increase calcium absorption in the large intestine[11]. This means that the large intestine is now an additional place for calcium absorption.

 

Keeping mothers healthy with the right nutrition

Clearly, Palatinose™ and prebiotic chicory root fibres play a valuable role in supporting mothers’ health in many ways. As good health and nutrition continue to be a focus for food manufacturers, these clinically proven ingredients from nature can serve as another way to extend more health benefits to mothers and their babies.

 

Written By: Christian Philippsen, Managing Director, BENEO, Asia Pacific


 

[1] http://www.ace-hta.gov.sg/public-data/our-guidance/GDM%20-%20An%20update%20on%20screening,%20diagnosis%20and%20follow-up%20(May%202018).pdf

[2] https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5869072/pdf/

[3] https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5409720/pdf

[4] Tan WSK, Tan S-Y, Henry CJ (2017) Ethnic Variability in Glycemic Response to Sucrose and Isomaltulose. Nutrients 9(4)

[5] Lightowler H, Thondre S, Holz A et al. (2018) Replacement of glycaemic carbohydrates by inulin-type fructans from chicory (oligofructose, inulin) reduces the postprandial blood glucose and insulin response to foods: Report of two double-blind, randomized, controlled trials. Eur J Nutr 57(3): 1259–1268

[6] http://www.nature.com/articles/nrgastro.2017.75

[7] http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/pai.12232/epdf

[8] http://www.tandfonline.com/doi/pdf/10.1080/09637486.2016.1212819 

[9] Griffin IJ, Hicks PMD, Heaney RP, Abrams SA. Enriched chicory inulin increases calcium absorption in mainly girls with lower calcium absorption. Nutr Res 2003;23:901–9.

[10] https://www.cambridge.org/core/journals/british-journal-of-nutrition/article/inulin-oligofructose-and-bone-health-experimental-approaches-and-mechanisms/6E729207DF9C9A12F46461E4DA9A692C

[11] https://d347awuzx0kdse.cloudfront.net/ariyahealth/product-download/apsin200g_sl1.pdf

สรุปสาระสำคัญ Food Focus Virtual Roadshow Southern Caravan

Food Focus Virtual Roadshow Southern Caravan

วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 เวลา 9.00-16.00 น.

 

วิทยากรรับเชิญพิเศษ

📌   ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เยาวภา หล่อเจริญผล

ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร

คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

📌    คุณธวัฒน์ชัย ขำวิจิตราภรณ์

ที่ปรึกษา บริษัท เอ็มที โอเปอเรชั่น จำกัด

——————————————————————————————————————————— Continue reading “สรุปสาระสำคัญ Food Focus Virtual Roadshow Southern Caravan”

DITP เผยผลไม้ไทยยังได้รับความนิยมในตลาดสิงคโปร์ 4 เดือนส่งออกเพิ่ม 4.83%

 

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยส่งออกผลไม้ไทยไปตลาดสิงคโปร์ 4 เดือนยังสดใส เพิ่มขึ้น 4.83% ภาพรวมยังแข่งขันได้ดี แนะผู้ผลิต ผู้ส่งออก เร่งเพิ่มมูลค่าผลไม้ด้วยนวัตกรรม และเจาะตลาดผลไม้ออร์แกนิก หลังมีแนวโน้มเติบโตสูง ส่วนการเข้าสู่ตลาด เน้นนำผลไม้ไทยเปิดตัวในงานแฟร์ต่างๆ แต่ช่วงนี้ ต้องรอไปก่อน เหตุติดโควิด-19 แนะร่วมมือผู้นำเข้าใช้ช่องทางออนไลน์เพิ่มโอกาสขายผลไม้ไทยอีกทาง

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานผลการสำรวจตลาดผลไม้ของไทยในตลาดสิงคโปร์ จากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงสิงคโปร์ โดยพบว่าในช่วง 4 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) สิงคโปร์มีการนำเข้าผลไม้จากไทยมูลค่า 11.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.83% โดยผลไม้ไทยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 5.06% ของการนำเข้าผลไม้ทั้งหมดของสิงคโปร์ โดยผลไม้ที่มีการนำมากที่สุด ได้แก่ มะม่วงสดและแห้ง ฝรั่งสดและแห้ง ลำไยสด มะพร้าวอ่อน ลำไยอบแห้ง ทุเรียน แตงโม มังคุด สับปะรด กล้วย ส้มโอ เงาะ มะขาม ลิ้นจี่ เป็นต้น ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะผลไม้สด พบว่า สิงคโปร์นำเข้าผลไม้สด จากไทย ช่วง ม.ค.-เม.ย 63 มีอัตราขยายตัวสูงถึง 10.24% โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีกำหนดจัดงานเทศกาล Thai Fruits Golden Month เพื่อส่งเสริมการบริโภคผลไม้ในตลาดสิงคโปร์ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดผลไม้ในสิงคโปร์ ยังเติบโตต่อเนื่อง แต่มีการแข่งขันกันสูง เนื่องจากผู้บริโภคสิงคโปร์มีกำลังซื้อสูง และนิยมเลือกซื้อสินค้าผลไม้ที่มีคุณภาพ คุ้มค่ากับราคา และเริ่มให้ความสำคัญกับการบริโภคผลไม้อินทรีย์เพิ่มมากขึ้น จากการที่ผู้บริโภคใส่ใจในเรื่องสุขภาพ และการปกป้องสิ่งแวดล้อม

น.ส.สุปราณี ก้องเกียรติกมล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงสิงคโปร์ กล่าวว่า ปัจจุบันสิงคโปร์ได้มีการวางแผนและพัฒนาการทำเกษตรในเขตเมืองด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือ Living Lab เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า แต่ขณะนี้ยังเน้นการปลูกผักเป็นหลัก ดังนั้น ผลไม้จึงยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลักต่อไป จึงเป็นโอกาสของไทยในการขยายการส่งออกผลไม้ไปยังสิงคโปร์ได้เพิ่มขึ้น โดยมีความต้องการผลไม้แบบแช่เย็นแช่แข็ง และผลไม้ออร์แกนิกเพิ่มขึ้น โดยมีคู่แข่งสำคัญ ที่มีผลไม้ใกล้เคียงกับไทย เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา เป็นต้น

ทั้งนี้ ในการเจาะตลาดผลไม้สิงคโปร์ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยควรคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ สร้างความหลากหลายของตัวสินค้า การแปรรูปผลไม้เพื่อเพิ่มมูลค่า และควรให้ความสำคัญกับกระแสผลไม้ออร์แกนิกที่กำลังมาแรงและมีการขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกผลไม้ของไทย

สำหรับการเข้าสู่ตลาด ควรจะเข้าเข้าร่วมงานแสดง Thai Festival หรือ Thailand Week ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าที่จำหน่ายเฉพาะสินค้าไทย รวมถึงผลไม้ไทย และพิจารณาการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารในสิงคโปร์ เช่น Asia Pacific Food Expo และ Singapore Food Expo แต่ขณะนี้ สิงคโปร์ยังมีคำแนะนำให้ยกเลิกหรือชะลอการจัดงานขนาดใหญ่ออกไปก่อน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดรัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือธุรกิจสิงคโปร์หลายมาตรการ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง 3 แพ็กเกจ มีมูลค่ารวม 59.9 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ และยังมีการประกาศแพ็กเกจ E-Commerce Booster ที่ให้การสนับสนุนและผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคการค้าปลีกในสิงคโปร์ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจจากออฟไลน์เป็นออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการค้าปลีกสามารถประคองตัวได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก รวมถึงสามารถพัฒนาศักยภาพในการทำธุรกิจเพื่อการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้พร้อมกันทั้งประเทศ ซึ่งก็เป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งออกไทย ที่จะร่วมมือกับผู้นำเข้าในการทำตลาดผลไม้ไทยทางออนไลน์ด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169

ECOLAB’s Free Webinar on “COVID-19 Impacts on Food Safety”

 

บริษัท เอ็กโคแล็บ จำกัด (Ecolab Ltd.)  ขอเรียนเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการอบรมสัมมนาออนไลน์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

“ผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 กับความปลอดภัยของอาหารในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม”

 

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563

เวลา 14:00 – 15:00 น.

เข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ผ่านทาง Cisco Webex

 

สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อีเมล์ foodbeverageSEA@ecolab.com

ลงทะเบียน ฟรี!  http://bit.ly/EcolabAd

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://bit.ly/Ecolabdetails

การจัดการคลังสินค้า และความสำคัญ

คลังสินค้าก็เปรียบเสมือนบ้านของสินค้าทำหน้าที่เก็บและรักษาสินค้า บ้านก็มีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นในแต่ละวัน คลังสินค้าก็เช่นกันมีทั้งกิจกรรมหลักและกิจกรรมย่อยเที่เกิดขึ้น

การจัดการคลังสินค้าเป็นคำรวมระหว่าง “การจัดการ” คือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิผล กับ “คลังสินค้า” คือสถานที่ที่เก็บรักษาสินค้าในปริมาณมากเพราะฉะนั้นการจัดการคลังสินค้าคือกระบวนการการบูรณาการทรัพยากรต่างๆเพื่อให้การดำเนินกิจกรรมคลังสินค้าเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ความสำคัญของการจัดการคลังสินค้า นอกจากจเป็นที่จัดเก็บวัตถุดิบเพื่อป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ยังช่วยรักษาความต้องการในตลาดและการกระบวนผลิตให้มีความสมดุลกัน เนื่องจากความต้องการในตลาดไม่แน่นอนแต่การผลิตมีความแน่นอน อีกทั้งยังทำหน้าที่รวบรวมสินค้าต่างชนิดจากโรงงานหลายๆ แห่ง เอามาไว้ที่เดียวกัน ก่อนจะส่งต่อให้ตรงกับความต้องการของตลาด

กิจกรรมหลักในงานคลังสินค้า

ในแต่ละคลังสินค้ามีความแตกต่างกันในระบบงานย่อยๆ แต่กิจกรรมหลักๆในคลังสินค้าก็ไม่แตกต่างกันโดยแบ่งได้ 4 กิจกรรมหลักๆดังนี้

  • งานรับสินค้า (Good recipient ) กิจกรรมต่างๆที่ปฏิบัติในขณะที่สินค้าส่งมายังคลังสินค้าเพื่อการจัดเก็บโดยมีกิจกรรมย่อยดังนี้
    1. การตรวจพิสูจน์ทราบ เป็นการปฏิบัติเพื่อรับรองความถูกต้องในเรื่อง ชื่อ แบบหมายเลข สินค้าคืออะไร ใช้ทำอะไรหรือข้อมูลอื่นๆที่จำเป็น
    2. การตรวจสภาพ ตรวจสภาพ จำนวนและคุณสมบัติของสินค้าถูกต้องตามเอกสารการส่งหรือไม่
    3. การตรวจแยกประเภท สินค้าบางอย่างต้องแยกประเภทเพื่อสะดวกในการรักษา
  • งานจัดเก็บสินค้า (Bulk storage) การขนย้ายสินค้าจากพื้นที่รับสินค้าเข้าไปยังตำแหน่งจัดเก็บและจัดวางสินค้าให้เป็นระเบียบ รวมถึงการบันทึกเอกสารเก็บรักษาที่เกี่ยวข้อง เช่น บัตรตำแหน่งเก็บป้ายประจำกองสินค้า และพิจารณาเครื่องมือยก (Forklift) ให้เหมาะสมกับลักษณะสินค้าตัวนั้นๆ
  • งานดูแลรักษา (Stock maintain) เป็นภาระรับผิดชอบผู้เก็บรักษาสินค้า ป้องกันความเสียหาย สูญหายเสื่อมสภาพ สภาพอากาศและการทำลายของสัตว์และแมลง รวมทั้งป้องกันการการโจรกรรมจากพนักงานในคลังสินค้าหรือบุคคลภายนอก ประกอบด้วยงานย่อยต่างๆดังนี้
    1. การตวจสภาพ จะต้องมีการตรวจสภาพด้วยสายตาประจำวัน ตรวจละเอียดตามระยะเวลา
    2. การถนอม สินค้าบางประเภทย่อมต้องการถนอมตามระยะเวลา เช่น สินค้าที่อาจเกิดสนิม
    3. การตรวจสอบ คือการตรวจนับสินค้าที่เก็บรักษาให้ตรงสอบยอดกับบัญชี
  • งานจัดส่งสินค้า (Goods dispatch) มีขั้นตอนย่อยดังนี้
    1. การเอาออกจากที่เก็บ (Picking) เป็นการเลือกเอาสินค้าจากพื้นที่ต่างๆรวมกันพื้นที่จัดส่ง
    2. การบรรจุหีบพอหรือบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้มั่นคงแข็งแรงป้องกันความเสียหายในการขนส่งไปยังจุดหมายปลายทาง
    3. การทำเครื่องหมาย เช่น ชื่อสินค้า จำนวนน้ำหนัก ปริมาตร ข้อความระบุว่าแตกง่าย ห้ามโยน
    4. การบรรทุกและการส่งมอบ นำสินค้าจากพื้นที่ที่จัดส่งไปที่มียานพาหนะขนส่งจอดรอรับอยู่ และต้องมีเอกสารส่งมอบสินค้ากับผู้ขนส่งสินค้า เมื่อได้ส่งมอบแล้ว ได้สิ้นสุดกิจกรรมของการคลังสินค้า

กิจกรรมหลักในงานคลังสินค้า คนส่วนใหญ่อาจมองว่าเป็นงานที่ง่ายแค่เก็บสินค้าแต่ที่จริงแล้วมีรายละเอียดและกระบวนการทำงานที่ซับซ้อน ต้องมีความรับผิดชอบต่อสินค้าทุกชิ้นที่เก็บ ถ้าสูญหายหรือเสียหายก็คือค่าใช้จ่ายของบริษัทที่เพิ่มขึ้น

การบูรณาการระบบในคลังสินค้ายุคใหม่ ในปัจจุบัน เพื่อการจัดการและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เช่น การนำเทคโนโลยี RFID มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการคลังสินค้า

องค์ประกอบของ RFID มีอยู่ 3 ส่วนด้วยกันได้แก่ ส่วนแรกคือทรานสปอนเดอร์หรือป้าย (TransponderหรือTag) จะประกอบด้วยเสาอากาศและไมโครชิปสำหรับบันทึกข้อมูล ส่วนที่สองคือ เครื่องอ่าน เขียน ข้อมูลภายในป้าย(Interrogator หรือTag)  โดยอาศัยคลื่นความถี่วิทยุในการทำงาน ส่วนที่สาม คือระบบประยุกต์การใช้งาน ระบบฐานข้อมูล ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละองค์กรณ์

ลักษณะ RFID มีอยู่ 2 แบบคือ Active Tag เป็นชนิดที่มีแบตเตอรีอยู่ภายใน จึงสามารถอ่านและเขียนข้อมูลได้ มีอายุการใช้งานตามอายุของแบตเตอรี่เป็นชนิดที่มีกำลังส่งสูง และสามารถทำงานได้ดีในบริเวณที่มีสัญญาณรบกวน และ  Passive Tag เป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมากกว่า มีอายุการใช้งานไม่จำกัด เนื่องจากไม่ได้ใช้แบตเตอรี่ และอาศัยพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากการเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล้กไฟฟ้า จะมีปัญหาเมื่อนำไปใช้งานในสถานที่มีสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี RFID ในปัจจุบันก็ได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการนำมาใช้ในการจัดการคลังสินค้าในปัจจุบัน และสามารถส่งเสริมประสิทธิภาพในคลังสินค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น การใช้ในการบันทึกแหล่งผลิตอาหาร จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หากมีเหตุการณ์ที่มีสารปนเปื้อนในอาหาร จะทำให้เราทราบได้อย่างแน่ชัดว่ามาจากแหล่งผลิตใด ทำให้เราแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงหากมีการบันทึกข้อมูลยาภายในโรงพยาบาลอย่างชัดเจน จะทำให้การเลือกใช้ยาได้เหมาะสมตามข้อบ่งชี้และข้อห้ามของผู้ป่วย รวมทั้งสามารถดูอายุยาเพื่อป้องกันการใช้ยาหมดอายุ เป็นต้น

 

โดย บริษัท เบทเตอร์แพค จำกัด

Interroll intensifies exchange of expertise with digital channels

 

Interroll เพิ่มการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ ผ่านช่องทางดิจิตัล

21 เมษายน 2563 เซนต์ แอนโตนิโน การแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์เพียงแค่คลิ๊กเมาท์ Interroll กำลังขยายความเชื่อมโยงกับลูกค้า ทั้งในแนวกว้างและลึก ด้วยบริการใหม่ๆทางออนไลน์ โดยจากนี้เป็นต้นไป ลูกค้าสามารถเข้าจองและรับการฝึกอบรม หรือรับการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้อย่างง่ายดายผ่านทางอินเตอร์เน็ต และยังสามารถเข้าถึงวิดิโอสั้นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่างๆได้อีกด้วยนับเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญที่ Interroll Academy นำเสนอ ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนและเบื้องหลังของการถ่ายทอดความรู้ระหว่างเหล่าพนักงาน ลูกค้า และพันธมิตรธุรกิจ โปรแกรมการเรียนรู้ ที่นำเสนอโดย ศูนย์ฝึกอบรมและความร่วมมืออย่างกว้างขวาง(Group-wide Training and Collaboration Center) ช่วยสร้างความมั่นใจต่อการผนวกรวมอย่างไร้รอยต่อของวิธีการเรียนรู้ เทคนิค และเอกสารคู่มือ ด้วยวิธีการเหล่านี้ สิ่งที่ได้เรียนรู้จะถูกนำไปปฏิบัติและต่อยอดอย่างมีประสิทธิภาพ Interroll Academy มีการประสานความร่วมมือกับองค์กรระดับแนวหน้าของโลก เช่น สถาบัน Fraunhofer Institute for Material Flow and Logistics ในด็อทมุนด์ เยอรมนี และ สถาบัน Krauthammer

ด้วยระบบการเรียนการสอนแบบ E-learning ที่นำเสนอโดย Interroll Academy ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาการฝึกอบรมทางออนไลน์ได้จากทุกที่ทุกเวลา ตัวอย่างหนึ่งของหัวข้อการฝึกอบรมคือ โปรแกรมออกแบบเลย์เอาท์ ซึ่งเป็นโปรแกรมการออกแบบที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับโซลูชั่นการไหลของวัสดุอีกหนึ่งความเป็นไปได้ของการแลกเปลี่ยนโนว์ฮาว ที่รวดเร็ว ครอบคลุม และตรงกลุ่มเป้าหมาย คือการจองออนไลน์สำหรับรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญอย่างส่วนตัว เช่น การปรึกษาปัญหาด้านเทคนิคหรืออุตสาหกรรม นอกจากนี้ คลิปวิดิโอสั้นที่เต็มไปด้วยความรู้ ก็ทำให้ผู้ที่สนใจได้รับข้อมูลและความรู้สำคัญๆเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ เช่น อาหาร หรือ แฟชั่น

“นอกจากเราจะให้ความมั่นใจต่อลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจ ในด้านคุณภาพ ความรวดเร็ว และความสะดวกในผลิตภัณฑ์และบริการจาก Interroll เรายังรักษาคำมั่นสัญญาในโลกติจิตัลอีกด้วย ด้วยการเพิ่มช่องทางการมีปฏิสัมพันธ์ ที่ทำให้ลูกค้าและพันธมิตรของเราสามารถเข้าถึงความเชี่ยวชาญของเราได้มากขึ้น และสะดวกยิ่งขึ้น”  กล่าวโดย มร. Jens Karolyi, Senior Vice President Corporate Marketing & Culture แห่ง  Interroll Group

 

 

Sant’Antonino, Switzerland. April 21, 2020. Exchange of information and experience at the click of a mouse: Interroll is expanding and deepening interactive contact with its customers with new online services. From now on, training events for customers can be easily booked and conducted via the Internet, meetings with experts can be organized, and short videos on important industry topics can be accessed.

 

An important cornerstone of the new offering is the Interroll Academy, which for many years has been the driving force behind the transfer of knowledge between employees, customers and partners. The integrated learning programs offered by the Group-wide training and collaboration center ensure a seamless combination of different learning methods, techniques and materials. In this way, what has been learned can be optimally deepened and applied. The Interroll Academy cooperates with leading organizations such as the Fraunhofer Institute for Material Flow and Logistics in Dortmund, Germany, and Krauthammer.

With the new e-learning offering by the Interroll Academy, users can access online training content from anywhere at any time. One example of the range of programs on offer is the user training course on the Interroll Layout designer, the popular planning software for the user-friendly design of complete material flow solutions.

Another possibility for a fast, targeted and worldwide exchange of know-how is the online booking of personal expert discussions, for example on technical or industry-specific issues. In addition, informative short videos—educational clips—provide interested parties with a quick introduction to topics that affect important industries such as the food or fashion industry.

“Our customers and partners rely on quality, speed and simplicity from Interroll. We consistently deliver on this promise in the digital world as well. By further expanding our channels for virtual interaction, they can now access our expertise even more easily and enter into a professional exchange with us,” explains Jens Karolyi, Senior Vice President Corporate Marketing & Culture of the Interroll Group.

สถาบันอาหารเผยโควิด-19 พลิกโฉมแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารในเอเชีย

18 พ.ค. 2563 – สถาบันอาหาร เผยแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารในเอเชียเปลี่ยน ชี้โควิด-19 เป็นตัวเร่งสำคัญ ผู้บริโภคต้องการอาหารที่มีนวัตกรรมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายรูปแบบต่างๆ  ส่วนอาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมรับประทาน อาหารที่มีอายุเก็บรักษานาน และอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและดีต่อสุขภาพมีอัตราเติบโตสูง  ผู้บริโภคเกิดพฤติกรรมการซื้ออาหารกลับไปรับประทานที่บ้านมากขึ้น เกิดกิจกรรมการปรุงอาหารรับประทานเองมากขึ้น และนิยมซื้อทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็น New Normal แนะผู้ประกอบการแปรรูปอาหารของไทยต้องปรับกลยุทธ์ตอบโจทย์ตลาดให้ทัน สร้างช่องทางจำหน่ายแบบออนไลน์อย่างจริงจัง จับมือพันธมิตรด้านขนส่ง สร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้า คุณภาพและความปลอดภัย สถาบันอาหารพร้อมดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่ม SME ในระยะสั้นด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ เพื่อบรรเทาภาระของผู้ประกอบการ เช่น ส่วนลดในการใช้บริการด้านต่างๆ ทั้งยังคงสนับสนุนผู้ประกอบการในเกือบทุกภาคทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการที่หลากหลาย

นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (Food Intelligence Center) สถาบันอาหาร ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคและอุตสาหกรรมอาหารในเอเชียช่วงสถานการณ์โควิด-19  พบว่า ผู้บริโภคมีความต้องการอาหารที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ซึ่งจะเป็นโอกาสของแบรนด์ต่างๆ ในการสร้างสินค้านวัตกรรมที่จะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของโรคในอนาคต เช่น ผู้บริโภคเวียดนาม นิยมรับประทานกระเทียมดำ เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย หรือผู้บริโภคฟิลิปปินส์ นิยมรับประทานผลิตภัณฑ์จากมะรุมและน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มากขึ้น ส่วนผู้บริโภคสิงคโปร์มีความต้องการวิตามินซีและวิตามินรวมมากขึ้น 3-5 เท่า สำหรับในญี่ปุ่น โรงงานแปรรูปอาหารต่างๆ หันมาเน้นช่องทางค้าปลีกเพื่อผู้บริโภคโดยตรงมากกว่าป้อนช่องทางธุรกิจบริการอาหารต่างๆ อาหารที่มีอายุเก็บรักษานานมียอดขายเติบโดมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และเครื่องดื่ม เป็นต้น

ที่เกาหลีใต้ บริษัท CJ CheilJedang บริษัทชั้นนำเกาหลีใต้ด้านอาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ ได้เผยแพร่ผลงานวิจัย “2020 HMR Trend” หลังเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ว่าชาวเกาหลีใต้เน้นการประหยัดระยะเวลาในการเตรียมอาหาร โดยรับประทานอาหารที่บ้านมากขึ้นราวร้อยละ 83 ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับปีก่อน มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอาหารพร้อมรับประทานที่เติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 46.4 เช่น สินค้าอาหารที่ใช้การทอดอย่างเดียว หรือที่ใช้ไมโครเวฟอุ่น รวมถึงสินค้า Meal Kit ที่ใช้วิธีปรุงแค่เทส่วนประกอบอาหารทั้งชุดลงไปในหม้อและต้มอย่างเดียว  ขณะเดียวกันยังเกิดพฤติกรรมรับประทานอาหารมื้อดึกหรือมือที่ 4 เพิ่มมากขึ้น เรียกว่า “4th Meal” อาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ สินค้าไก่แช่แข็ง เช่น ไก่ทอด ไก่นักเก็ต นอกจากนี้ยังมีเกี๊ยวซ่าแช่แข็ง ไส้กรอก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวพร้อมรับประทาน ลูกชิ้น เบเกอรี่แช่แข็ง เป็นต้น โดยผู้บริโภคยังให้ความสำคัญเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดีต่อสุขภาพแม้ว่าราคาจะสูงก็ตาม

ด้านบริษัทวิจัย Nielsen สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค 11 ประเทศในเอเชีย หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 พบว่า ผู้บริโภคร้อยละ 86 ในจีน จะรับประทานอาหารที่บ้าน รองลงมาคือ ฮ่องกง ร้อยละ 77 และมาเลเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ ร้อยละ 62  โดยพบว่ามูลค่าค้าปลีกอาหารในเอเชียมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 20-25 ต่อสัปดาห์ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา

นางอนงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดอาหารในเอเชียมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นตลาดที่บ่มเพาะสินค้านวัตกรรมมากขึ้น วิถีชีวิตผู้บริโภคที่กลายเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ธุรกิจบริการจัดส่งอาหาร(Food Delivery) เติบโตขึ้น สถานการณ์โควิด-19 กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมให้เกิดการซื้อกลับไปรับประทานที่บ้านและเกิดกิจกรรมการปรุงอาหารรับประทานเองมากขึ้น เช่น ในญี่ปุ่นและไทย พฤติกรรมนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติของวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่(New Normal) โดยเป็นการสั่งซื้อผ่านออนไลน์มากขึ้นด้วย

            “การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคทำให้ธุรกิจการให้บริการอาหาร ธุรกิจค้าปลีก และผู้ผลิตอาหารจำเป็นต้องปรับตัว และเมื่อมีสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่ง ผู้ประกอบการ แปรรูปอาหารยิ่งต้องปรับกลยุทธ์ของตนอย่างรวดเร็ว จึงจะตอบสนองทันต่อความต้องการ การสร้างช่องทางจำหน่ายแบบออนไลน์อย่างจริงจังกลายเป็นโอกาสของธุรกิจขนาดเล็กที่เข้าถึงได้ง่ายเพราะต้นทุนไม่สูง และต้องหาพันธมิตรมาช่วยเรื่องการจัดส่งสินค้า แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ ในสถานที่ผลิต และการให้ข้อมูลผู้บริโภคเพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของอาหาร เชื่อว่าทุกคนจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้หากพร้อมปรับตัว”

นางอนงค์ กล่าวว่าในส่วนของสถาบันอาหารได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มกลุ่ม SME ในระยะสั้นด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ เพื่อบรรเทาภาระของผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เช่น ส่วนลดในการใช้บริการศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่วนลดในการใช้บริการห้องปฏิบัติการวิเคราะห์  ส่วนลดในการใช้บริการตรวจสอบหรือรับรองระบบ และส่วนลดในการใช้บริการฝึกอบรมแก่บุคลากร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำหลักสูตรออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการในการเตรียมความพร้อมที่จะดำเนินธุรกิจหากสภาพการค้าเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนผู้ประกอบการในเกือบทุกภาคทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการต่างๆ อาทิ “โครงการสร้างความเข้มแข็ง เครือข่ายผลิตและแปรรูปผลไม้ เกษตรอินทรีย์เกษตรปลอดภัยครบวงจรด้วยระบบคุณภาพและนวัตกรรมเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงเกษตรภาคตะวันออก” ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี และสระแก้ว เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์และตรวจวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยอาหาร

“โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มศักยภาพสู่ตลาดสากลปี 2563” ดำเนินการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ธุรกิจเพื่อต่อยอดเป็นการท่องเที่ยวเชิงอาหารโดยชุมชน เน้นการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรด้านมาตรฐานบริการและสินค้าเพื่อลดจุดอ่อนสร้างจุดแข็ง และให้คำปรึกษาเชิงลึกพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ “โครงการ SME Regular Level ปี 2563”  ดำเนินการตรวจวิเคราะห์ฉลากโภชนาการแบบไทยและต่างประเทศ ตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ(สินค้าปลอดภัย) หรือสอบเทียบเครื่องมือวัด  “โครงการเตรียมความพร้อมอุตสาหกรรมอาหารสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในกระบวนการผลิต”  “โครงการพัฒนาศักยภาพนวัตกรรมสู่ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป” ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส  “โครงการการเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมสมุนไพรปี 2563”  ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง พังงา กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา และสตูล  “โครงการยกระดับและเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องเชิงสุขภาพ” ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี พังงา ชุมพร ภูเก็ต กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง  พัทลุง  สงขลา และสตูล และโครงการพัฒนาช่องทางการตลาดเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการ SME ปี 2563  เป็นต้น

ทั้งนี้ผู้ประกอบการ SME หรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการต่างๆ สามารถสอบถามรายละเอียด หรือขอรับบริการที่เกี่ยวข้องได้ที่สถาบันอาหาร โทร. 02 422 8688 หรือติดตามข่าวสารเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ www.nfi.or.th และทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ NFI SmartClub