FHA-HoReCa 2020 Postponed to Later Date in Light of Ongoing Coronavirus Situation but FHA-Food & Beverage to Take Place as Planned

Informa Markets, the organiser of FHA-HoReCa, today announced that it will postpone the event to 13-16 July 2020 at Singapore Expo due to the evolving 2019 novel coronavirus situation. The decision was made following extensive consultations with exhibitors & industry partners and considering the knock-on effects on the wider HoReCa industry as a direct consequence of the significant impact to international travel during this period. FHA-HoReCa was scheduled to be held at Singapore Expo from 3-6 March 2020.

The event is an expansion from the comprehensive international food and hospitality biennial trade event in the region, Food&HotelAsia (FHA). FHA is returning to Singapore this year as two dedicated shows – FHA-HoReCa and FHA-Food & Beverage. The former seeks to bring together an extensive line-up of leading hospitality suppliers in the region while the latter is Asia’s largest international event for the food and beverage industry.

FHA-Food & Beverage will take place as planned from 31 March – 3 April 2020 at Singapore Expo. Serving a wide range of industry segments including retail, wholesale, e-commerce and foodservice, the FHA-Food & Beverage event remains robust in the current climate and visitor pre-registrations continue to pour in.

Mr Martyn Cox, Event Director for FHA-HoReCa and FHA-Food & Beverage at Informa Markets, said, “Postponing FHA-HoReCa was a difficult decision but a necessary one, considering the effects on the wider HoReCa industry in Asia. We are now focused on working closely with our exhibitors, event partners and registered visitors to ensure that we offer them the necessary support required as a result of this decision.”

“Moving forward, we will continue to work with the local authorities and take all measures in accordance with the latest advisories published by the Singapore Ministry of Health, the Ministry of Manpower and the Singapore Tourism Board. Our sole focus remains, that is to deliver high quality experiences for our participants attending FHA-HoReCa and FHA-Food & Beverage,” Mr Cox added.

“We are working closely with Informa Markets, industry stakeholders and the relevant government agencies, and are committed to supporting the continued success of both FHA-HoReCa and FHA-Food & Beverage. There is as yet no evidence of widespread community transmission of the novel coronavirus in Singapore and most of our events are still proceeding as planned with added precautions, which is in line with the latest advisory from MOH. Our MICE industry continues to operate and remains open for business. Nonetheless, we will continue to stay vigilant, strengthen our defences, and prepare for all scenarios. The health and safety of locals, visitors and industry partners remain a priority and we are monitoring the situation closely,” said Mr Andrew Phua, Director of Exhibitions and Conferences, Singapore Tourism Board.

Safe Seeds for Healthy Sprouts

Vegetable sprouts are extremely healthy and contain lots of power, because they are full of concentrated vitamins and minerals.

Yet sprouts can also be dangerous to the consumer if the seeds are contaminated. That is why the brand SunGarden® Seed has developed what it calls the world’s safest seed output.

With its specially developed and validated process, SunGarden® Seed can deliver a bacterial reduction factor of Log6, while current industry standards can only achieve a reduction of Log3.

This innovation thus not only drastically eliminates pathogens, but also uses an organic and non-thermal process that does not impair germination and the seeds’ nutritional values.

——————————————————————————————————————–

Source: https://www.fruitlogistica.de/en/TradeVisitors/Spotlight/

ขึ้นทะเบียนสินค้า GI อีก 2 รายการ “มะพร้าวทับสะแก” และ “ข้าวไร่ดอกข่าพังงา”

กรมทรัพย์สินทางปัญญาประกาศขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) อีก 2 รายการ คือ “มะพร้าวทับสะแก” และ “ข้าวไร่ดอกข่าพังงา”

โดยมะพร้าวทับสะแกถือเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และข้าวไร่ดอกข่าพังงา ของจังหวัดพังงา ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีสินค้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI แล้ว 118 รายการ จาก 75 จังหวัด และขณะนี้ยังมีสินค้าอีก 3 รายการที่อยู่ระหว่างพิจารณาคำขอ ได้แก่ ข้าวหอมปทุมธานี กล้วยหอมทองปทุม จังหวัดปทุมธานี และกลองเอกราช จังหวัดอ่างทอง

เมื่อพิจารณาถึงลักษณะความเป็นเอกลักษณ์สำหรับสินค้า GI 2 รายการล่าสุดที่ได้รับการขึ้นทะเบียน พบว่ามะพร้าวทับสะแกมีลักษณะเอกลักษณ์คือมีผลขนาดใหญ่ เปลือกหนา เนื้อมะพร้าวสีขาวหนา 2 ชั้น ให้เปอร์เซ็นน้ำมันสูง รสชาติ (กะทิ) หอมและมัน ส่วนข้าวไร่ดอกข่าพังงาเป็นข้าวไร่พันธุ์พื้นเมืองที่มีสีน้ำตาลแดงอมม่วง สีแดง หรือสีแดงแกมขาว เมล็ดเรียวยาว เมื่อหุงสุกจะมีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย หุงขึ้นหม้อ ไม่แข็ง รสชาติอร่อย

ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ดำเนินการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้า GI ทั้ง 2 รายการเพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายภายในประเทศ และเพื่อสร้างโอกาสจำหน่ายให้กับสินค้า ตลอดจนเพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสบริโภคสินค้าท้องถิ่นซึ่งมีคุณภาพ เป็นของดี ของแท้ ของหายาก และเพิ่มโอกาสจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการเพิ่มการจดทะเบียนคุ้มครอง GI โดยมีตลาดเป้าหมายอย่างจีน สหภาพยุโรป (อียู) และอินเดีย

Food Allergen Workshop by the Romer Labs APAC Solutions Centre

A Workshop by the Romer Labs APAC Solutions Centre, the exclusive event for customers was held in Bangkok with the topic “Allergen free? The role of testing in your food allergen management program”.

At this workshop, customers could learn about allergen risk assessment in the production workflow and some practical ways to carry out analysis in their food allergen management plan. The workshop also provides a unique knowledge-sharing platform for food manufacturers to exchange knowledge and experience in food allergen management with professional speakers from Romer Labs.

The seminar session featured on global regulations providing insightful food allergen situation in global, covering a prevalence, regulation issues, trends of food allergen, labeling as well as introducing a special promotion on allergen analytical service from Romer Labs APAC Solutions Centre to food manufactures in Thailand. Moreover, allergen management, allergen analysis and risk review scenario as well as product recall case study were also discussed with highly interested from more than 40 attendees together with speakers coming from abroad.

เครือเบทาโกรเดินหน้าเติมเต็มอุตสาหกรรมอาหาร เปิดโรงงานแปรรูปไก่มหาสารคาม มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพความปลอดภัย

เบทาโกรขยายตลาดสู่ภูมิภาคสำคัญในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  เปิดโรงงานแปรรูปไก่แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในจังหวัดมหาสารคาม  เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร

เครือเบทาโกร จัดพิธีเปิดโรงงานแปรรูปไก่มหาสารคาม บริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม จำกัด  อย่างเป็นทางการ ณ ตำบลนาโพธิ์  อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม โดยมี นายเกียรติศักดิ์ จันทรา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารเครือเบทาโกร นำโดย นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  และแขกผู้มีเกียรติ   ตลอดจนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีอย่างคับคั่ง

นายสมศักดิ์ บุญลาภ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร สายงานปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจอาหาร เครือเบทาโกร เปิดเผยว่า เบทาโกรมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ประชาชนและชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยอาหารที่มีคุณภาพมากขึ้น  ปลอดภัยมากขึ้น ในราคาที่เป็นธรรม จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานแปรรูปไก่แห่งใหม่ที่จังหวัดมหาสารคาม  ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีที่ตั้งเป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถเชื่อมโยงด้านการคมนาคมขนส่งและการท่องเที่ยว อุตสาหกรรม และการศึกษา จึงเหมาะสมในการเป็นจุดยุทธศาสตร์ เพื่อขยายตลาดไปสู่ผู้บริโภคในภูมิภาคที่ต้องการอาหารคุณภาพ และมีทางเลือกมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์จากโรงงานแปรรูปไก่แห่งใหม่นี้ จัดจำหน่ายในชื่อแบรนด์เบทาโกร ส่งจำหน่ายในจังหวัดมหาสารคามและพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก ทั้งผ่านช่องทางในร้านเบทาโกร ช็อป และตลาดสด  รวมทั้งส่งให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร  ภัตตาคาร โรงแรม โรงพยาบาล และสถานศึกษาในพื้นที่

สำหรับโรงงานแปรรูปไก่มหาสารคาม นับเป็นโรงงานแปรรูปไก่แห่งที่ 5 ของเครือเบทาโกร เริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนมกราคม พ.ศ 2562  แล้วเสร็จสมบูรณ์และดำเนินการผลิตได้เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 โดยมีมูลค่าการลงทุน 180 ล้านบาท มีกำลังการผลิตจำนวน 40,000 ตัวต่อวัน  หรือประมาณ 1,000,000 ตัวต่อเดือน ปัจจุบันถือเป็นโรงงานแปรรูปไก่แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในจังหวัดมหาสารคาม

โรงงานแปรรูปไก่แห่งนี้เป็นไปตามมาตรฐานกรมปศุสัตว์  ขับเคลื่อนโดยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจปศุสัตว์และการแปรรูปเนื้อสัตว์ ใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ทันสมัย มีระบบการผลิตและการจัดการด้วยมาตรฐานและคุณภาพ ภายใต้นโยบายอาหารคุณภาพและปลอดภัยของเครือเบทาโกร   จึงมั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่และชิ้นส่วนไก่ที่ผลิตจากโรงงานแปรรูปไก่มหาสารคาม สด สะอาด มีคุณภาพสูงและปลอดภัยต่อผู้บริโภค

“ นอกจากนี้ ผมหวังว่าการดำเนินงานของโรงงานแปรรูปไก่มหาสารคาม จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน  ทั้งยังเป็นการสร้างงาน ส่งเสริมด้านอาชีพให้แก่คนท้องถิ่นให้เกิดการเพิ่มผลผลิตและมูลค่าเพิ่ม การกระจายรายได้  ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม  ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน  และดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนรอบโรงงาน  ซึ่งถือเป็นแนวทางในการขยายธุรกิจของเครือเบทาโกรตลอดเวลาที่ผ่านมา” นายสมศักดิ์กล่าวในตอนท้าย

ความท้าทายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเตรียมรับมือปี 2020

ธนาคาร TD แคนาดาได้ทำการสำรวจข้อมูลความท้าทายที่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มควรรับมือซึ่งการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้าและบริการในปี 2020 ภายในงานสัมมนา 2019 Groceryshop เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา พบว่าการค้าขายรูปแบบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) ภายใต้ช่องทางใหม่ๆ เป็นสิ่งที่น่าจับตามองที่สุดตามด้วยการใช้เทคโนโลยีในธุรกิจค้าปลีกและศึกษาการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อหาช่องทางขยายตลาดสินค้าตนเองให้มากที่สุด โดยเทรนด์รูปแบบทางการค้าและบริการในปี 2020 ที่น่าจับตามอง มีดังนี้

เทรนด์ 1 แบรนด์ธุรกิจจะเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนได้จากข้อมูลพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในยุคนี้ โดยสอดคล้องกับกลยุทธ์ห้าง Loblaw ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของแคนาดาที่มองว่า เทคโนโลยีปัจจุบันนี้เปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกกันมากขึ้น ผู้บริโภคเองสามารถเปรียบเทียบการให้บริการขายสินค้าออนไลน์จากทุกเซกเมนต์ได้ (ไม่ใช่เฉพาะผู้จำหน่ายค้าปลีกเท่านั้น) โดยผู้บริหาร Loblaw มีการวางแผนที่จะให้แบรนด์ธุรกิจของตนเองกว่าร้อยละ 70 อยู่บนแพลตฟอร์มมือถือ ซึ่งก็เพื่อความสะดวกของผู้บริโภคในการจับจ่ายสินค้ามากขึ้น และปีที่ผ่านมาได้มีการจัดหาบุคลากรอีก 1,000 ตำแหน่งสำหรับการเก็บข้อมูลลูกค้าต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมค้าปลีกในวันข้างหน้านี้

เทรนด์ 2 กลยุทธ์ด้านเวลาเป็นสิ่งจำเป็น จากพฤติกรรมความเร่งรีบในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคทำให้หลายคนรู้สึกว่าการเดินซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจอีกต่อไป โดย Ms. Kathrine Black หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ร้านค้าปลีกและผู้บริโภคบริษัท KPMG ได้กล่าวถึงข้อมูลการจับจ่ายของผู้บริโภคในงาน 2019 Groceryshop ว่าปัจจัยด้านเวลาและราคาสินค้าเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการค้าปลีกควรคำนึงให้มากต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องเดินทางไปซื้อสินค้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะผลการสำรวจทัศนคติผู้บริโภคยุคปัจจุบันต่อการไปเลือกซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต พบว่าสิ่งที่สร้างความไม่พอใจ ได้แก่

– ผู้บริโภคร้อยละ 29 พบว่าการค้นหาสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นค่อนข้างยาก

– ผู้บริโภคร้อยละ 29 รู้สึกว่าการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก เพราะสินค้าที่วางจำหน่ายมีความหลากหลายเกินไป

– ผู้บริโภคร้อยละ 60 พบว่ามีการขาดสต๊อกสินค้าที่ต้องการบนชั้นวาง ทำให้ต้องกลับไปอีกครั้ง

– ผู้บริโภคร้อยละ 59 พบว่า ต้องมีการรอชำระเงินนานเกินไป ซึ่งค่อนข้างเสียเวลาตนเอง

ดังนั้นแล้วหากผู้ประกอบการคำนึงถึงปัจจัยด้านเวลาที่ผู้บริโภคเผชิญดังกล่าวข้างต้น ก็อาจจำเป็นสร้างกลยุทธ์การขายต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ต้องการประหยัดเวลาในการเดินทางมาซูเปอร์มาร์เก็ตให้ได้

เทรนด์ 3 ประสบการณ์ช้อปปิ้งใหม่ๆ ในยุดดิจิทัล ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้บริโภคทุกวันนี้มีความคาดหวังถึงประสบการณ์ซื้อสินค้าที่ดีสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยช่องทางจำหน่ายทางออนไลน์ มือถือหรือแม้แต่การขายหน้าร้าน (Off-line) ดังเช่นบริษัท Coca-Cola ผู้ผลิตเครื่องดื่มขนาดใหญ่ของโลกพยายามที่จะหากลยุทธ์เชื่อมต่อกับลูกค้าให้มากที่สุด โดยล่าสุดได้มีการออกแอพพลิเคชัน Sip N Scan เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคให้รับข่าวสาร รางวัล กิจกรรรมโปรโมชั่นสินค้าและอื่นๆ อีกมากมาย โดยเชื่อว่าการใช้เทคโนโลยีดิจิตัลจะสามารถเข้าถึง Mindset ของผู้บริโภคยุคนี้ได้ดีที่สุด ในการนี้ Coca-Cola ภูมิภาคอเมริกาเหนือยังออกแบบระบบดิจิตัลที่เชื่อมโยงกับร้านค้าปลีกที่จำหน่ายและพาร์ทเนอร์ที่ให้บริการอาหารและสินค้าของบริษัท เพื่อเก็บข้อมูลและศึกษาการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค อันนำมาซึ่งโอกาสการขยายตัวสินค้าของบริษัทต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในปี 2020 นี้เชื่อว่าการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกค้าปลีกจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและจะเกิดการแข่งขันข้ามเซกเมนต์มากขึ้น รวมถึงการแข่งขันด้านราคา การเพิ่มความหลากหลาย และสร้างความแตกต่างในสินค้า โดยเฉพาะการที่ห้างค้าปลีกรายใหญ่จะเข้ามาออกจำหน่ายสินค้าแบรนด์ตัวเอง (Private Brand) กันมากขึ้นเพราะสามารถสร้างกำไรและทำโฆษณาการตลาดได้ง่ายกว่าแบรนด์ทั่วไป ทั้งนี้จุดแข็งของซูเปอร์แห่งอนาคตนี้จะอยู่ที่การใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มทางมือถือที่กลมกลืนไปกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ดังนั้นแล้วในส่วนของผู้ประกอบการไทยในฐานะเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าอาหารที่ต้องปรับตัวรับมือคือการพัฒนาช่องทางสินค้าออนไลน์และข้อมูลสินค้าบนบรรจุภัณฑ์ที่ผู้บริโภคสามารถสแกนบาร์โค้ดหรือ QR โค้ด เพื่อรับข้อมูลที่มาสินค้าได้อย่างรวดเร็ว อันจะทำไปสู่ความสามารถการแข่งขันได้ทันท่วงทีต่อไป

 ——————————————————————————————————————–

ที่มา: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) ขนทัพอาหารทะเลสดใหม่ ร่วมงาน “Seafood under the Stars” ประจำปี 2563

หอการค้าไทย-นอร์เวย์ ร่วมกับสถานทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทยจัดงานรับประทานอาหารค่ำ “Seafood under the Stars” ประจำปี 2563 ณ บ้านพักเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 13 ด้วยจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวนอร์เวย์และผลักดันให้นอร์เวย์เป็นที่รู้จักในฐานะประเทศแห่งอาหารทะเล

ในงานนี้ สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) ตัวแทนอุตสาหกรรมอาหารทะเลของประเทศนอร์เวย์ เป็นผู้สนับสนุนอาหารทะเลสดใหม่คุณภาพเยี่ยมส่งตรงจากนอร์เวย์ โดยมีอาหารทะเลที่เป็นตัวหลักในงานคือสัตว์น้ำทะเลที่มีเปลือกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปูจักรพรรดิ (King Crabs) ที่เลื่องชื่อในรสชาติหวานอร่อยและก้ามเนื้อนุ่มฉ่ำ กุ้งลังกู้สตีน (Langoustines หรือ Norwegian Lobsters) กุ้งเปลือกสีชมพูอ่อนจากทะเลน้ำลึกอย่าง กุ้งกรีนแลนด์ (Cold Water Prawns) ที่มีรสชาติออกหวานและเค็ม หอยรสหวานเนื้อนุ่ม อาทิ หอยเชลล์ (Scallops) หอยมะฮอกกานี (Mahogany Clams) และ หอยแมลงภู่สีน้ำเงิน (Blue Mussels) รวมไปถึงเหล่าปลายอดนิยมอย่าง แซลมอน ฟยอร์ดเทราต์ และคอด (Atlantic Cod) ปลารสอร่อยที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์นอร์เวย์ และฮาลิบัต (Halibut) ปลาเนื้อขาวเนื้อแน่นและนุ่มฉ่ำ

 

สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) ได้เผยถึงมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลนอร์เวย์สู่ไทยในปี 2563 ที่ผ่านมานั้น มีมูลค่าสูงถึง 5.2 พันล้านบาท สัดส่วนของแซลมอนและฟยอร์ดเทราต์นับเป็น 87% ของมูลค่าการส่งออกนี้ ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาแซลมอนสดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 25% และแตะ 32% เป็นครั้งแรกในปีที่แล้ว ปัจจัยหลักมาจากความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของร้านอาหารญี่ปุ่นและร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ในไทยที่ใช้แซลมอนสดจากนอร์เวย์เป็นวัตถุดิบหลัก

ดร.อัสบีเยิร์น วาร์วิค เรอร์ทเว็ท ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) เผยว่า “ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่มีการเติบโตของการส่งออกอาหารทะเลสูงมาก โดยเฉพาะตลาดไทย นอกเหนือจากแซลมอนแล้ว ฟยอร์ดเทราต์มีการเติบโตที่สูงและเป็นที่น่าจับตามองที่สุดในหมู่อาหารทะเลนอร์เวย์ อยู่ที่ 68% โดยรวมแล้วตลาดไทยมีโอกาสขยายการส่งออกที่สูงมาก ครั้งนี้เราจึงนำเสนออาหารทะเลจากนอร์เวย์ชนิดอื่นๆ อย่างสัตว์น้ำทะเลที่มีเปลือกต่างๆ ภายในงาน ‘Seafood under the Stars’ ปี 2563 จะเป็นปีที่น่าติดตามของอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์อย่างแน่นอน”

งาน “Seafood under the Stars” ปี 2563 มีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมกว่า 320 ราย ซึ่งล้วนเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของประเทศนอร์เวย์ เจ้าของร้านอาหารชั้นนำ เชฟชื่อดัง และผู้ประกอบการค้าปลีกในประเทศไทย ถือเป็นงานสานสัมพันธ์เชิงธุรกิจที่สำคัญสำหรับบริษัทในไทยและนอร์เวย์ และเป็นการต่อยอดความสัมพันธ์อันดีที่มีมาอย่างยาวนานของทั้งสองประเทศ เชฟอาหารนอร์ดิกชื่อดัง เชฟเฟ-รุ่งทิวา ชุ่มมงคล หัวหน้าเชฟประจำห้องอาหาร ฟร้อนท์ รูม ณ โรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ได้ให้เกียรติมารังสรรค์เมนูอาหารมื้อค่ำสุดพิเศษที่ผสมผสานอาหารสไตล์นอร์ดิกกับรสชาติความเป็นไทยได้อย่างลงตัว โดยใช้อาหารทะเลสดใหม่คุณภาพสูงส่งตรงจากนอร์เวย์

ความโดดเด่นของอาหารทะเลนอร์เวย์ เกิดจากการเติบโตในน้ำเย็นเฉียบ ใส สะอาดของนอร์เวย์และได้รับการเพาะเลี้ยงด้วยความเชี่ยวชาญในด้านการประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์เป็นที่เลื่องชื่อในด้านการใช้อาหารสัตว์น้ำจากวัตถุดิบธรรมชาติตามมาตรฐานของสหภาพยุโรปทีปราศจากพยาธิ และมีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคทำให้แทบจะปราศจากการใช้ยาปฏิชีวนะในปลา กระบวนการผลิตอาหารทะลที่มีมาตรฐานสากลเป็นเครื่องการันตีถึงคุณภาพที่สดใหม่และปลอดภัยของอาหารทะเลจากนอร์เวย์ ประเทศนอร์เวย์ยังเป็นที่รู้จักในด้านการผลิตอาหารโดยใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ มีการทำฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาตามแนวทางปฏิบัติที่ยอดเยี่ยม โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์น้ำและใส่ใจในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืนของนอร์เวยจึงสามารถช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกของโลกได้อีกด้วย

“ชาวนอร์เวย์ขึ้นชื่อในเรื่องของความใส่ใจและเข้าใจในธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้นอร์เวย์เป็นประเทศผู้ผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืนที่สุดเจ้าหนึ่งและยังเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับสองของโลก นอร์เวย์มีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมอาหารทะเลและสร้างมาตรฐานที่ดีให้แก่ผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ขึ้นผ่านอุตสาหกรรมอาหารทะเลที่ยั่งยืน” ดร. อัสบีเยิร์น กล่าวทิ้งท้าย

Advanced Packaging Cuts Fresh Green Bean Waste

StePac automated bulk packaging solutions cut food loss in the foodservice sector

Tefen, Israel – The US foodservice industry is discovering the benefits of receiving fresh green bean supplies in lean, modified atmosphere bulk packaging (MAP) newly developed by sustainable packaging experts StePac, Ltd. The company’s advanced solution under the brand name Xtend® targets food waste in the foodservice supply chain and delivers added benefits of preserving the quality, crispiness, and glossy green color of fresh green beans while maintaining full fresh flavor. Stepac will showcase this innovative solution at the upcoming Fruit Logistica in Berlin, February 5-7, hall 26, booth #D10.


Green beans are grown extensively in South Florida and Tennessee, with peak season from November to May. A large percentage of the green beans are packed and shipped to the foodservice industry. But fresh green beans have a short shelf life of around 8 to 12 days. Dehydration, a common post-harvest problem, causes the pods to shrivel and become limp from progressive weight loss and plastic packaging is often used to reduce this waste.

However, excess moisture generated in standard packaging aggravates decay and russeting — reddish-brown spots that result from chilling injury when beans are stored at 5-7.5°C (41-45°F).  Foodservice outlets must discard food supplies that do not meet specifications for appearance and quality and are rendered unfit for consumption.

StePac developed modified atmosphere packaging films inbuilt with ideal water vapor transmission rates (WVTR) that eliminate the excess moisture from fresh green bean packaging, mitigating risk of decay and reducing sensitivity to russeting. The company’s proprietary solution also preserves the crispiness and glossy green color of fresh green beans and prevents excessive weight loss caused by dehydration.

Food waste is an estimated $100bn problem within the hospitality sector alone, reports Winnow, producers of a device that monitors food waste in commercial kitchens. “Food waste in the foodservice sector is a major challenge, affecting the entire global food value chain,” notes Gary Ward, Ph.D., Business Development Manager for StePac. “Our technology offers a solution for helping curb that waste and enhancing the quality of the produce reaching the kitchens. It also isn’t limited to green beans but extends to a range of other vegetables, such as peas, carrots, broccoli, brussels sprouts, and others that are freshly bulk packed exclusively for the foodservice sector.

StePac’s packaging solutions can help increase the shelf life of green beans and other vegetables, often by as much as 50-100%, and allows foodservice providers to serve vegetables cooked from higher quality fresh produce, more sustainably and with reduced waste.

StePac offers a range of films that cater to nearly every requirement. In addition to Xtend carton liners, its groundbreaking Xflow™ films, with their patented sealing layer, have facilitated applicability for automated packaging, such as vertical form-fill and seal (VFFS) packing. This lets the packaging of green beans and other vegetables meet the demands of high turnover facilities and is already gaining momentum within facilities in regions of the US, especially Florida.

“The new Xflow packaging supports high-speed, high-throughput automated packaging lines for fresh vegetables; supports distributors and growers; and better meets the needs of hotels, restaurants, hospitals, and other institutions across the US,” adds Ward. “Foodservice sites can receive enhanced quality produce while enjoying the benefits of reduced labor costs.”

This solution for automated packing of fresh green beans for foodservice applications adds to the comprehensive portfolio of packaging solutions StePac offers for fresh vegetables. The portfolio includes bulk carton liners, preformed bags (including standing pouches for retail applications) as well as films for VFFS, flowpack and topseal for retail packaging formats.

VICTAM และ VIV ผนึกกำลังจัดงาน VICTAM and Animal Health and Nutrition Asia 2020

VICTAM และ VIV ผนึกกำลังจัดงาน VICTAM and Animal Health and Nutrition Asia 2020 เปิดตัวงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีด้านอาหารสัตว์ สุขภาพและโภชนาการสัตว์ครบวงจรครั้งแรกของเอเชีย ระหว่างวันที่ 24- 26 มีนาคม 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค นำเสนอเทคโนโลยีการผลิตอาหารสัตว์ สารอาหารและโภชนาการสัตว์ตลอดจนสุขภาพสัตว์แบบเต็มรูปแบบ พร้อมตอบโจทย์ผู้เข้าเยี่ยมชมงานอย่างครบวงจร

การจับมือกันประกาศการเป็นพันธมิตรจัดงานในครั้งนี้ นับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารสัตว์ เมล็ดพันธุ์ เวชภัณฑ์สัตว์ พันธุ์สัตว์ และห้องปฏิบัติการ ซึ่งงานก่อนหน้านี้ VIV Health & Nutrition Asia วางแผนที่จะจัดงานในช่วงเดือนมกราคม 2563 และ VICTAM Asia มีกำหนดจัดงานในเดือนมีนาคม 2563 เช่นเดียวกัน

Sebastian Van Den Ende ผู้จัดการทั่วไป VICTAM International เปิดเผยถึงโอกาสในความร่วมมือของการจัดงานแสดงสินค้าครั้งนี้ว่า “การนำเสนอรูปแบบการจัดงานแบบคู่ขนาน ซึ่งจัดทั้งสองงานในเวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน โดยผู้จัดงานสองรายที่มีชื่อเสียงระดับโลกนั้นเป็นกลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ประกอบการและผู้เข้าชมงานที่จะได้รับประสบการณ์การชมงานทั้งสองงานภายในครั้งเดียว โดยเราเชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งแน่นอนว่าไทยมีตลาดการค้าที่มีศักยภาพในด้านการลงทุน ผู้ซื้อ และผู้แทนจำหน่ายที่มีคุณภาพ งานแสดงสินค้าครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างแพลตฟอร์มทางธุรกิจในระดับนานาชาติโดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งถือเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว”

ทางด้าน Heiko M.Stutzinger เสริมว่า “บทสรุปของการหารือในครั้งนี้ นำมาสู่ข้อตกลงความร่วมมือทางการจัดงานระหว่างทั้งสองผู้จัด ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นและเชื่อมั่นว่าตลาดปศุสัตว์ของภูมิภาคเอเชียยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง การจัดงานครั้งนี้จะเป็นการผนึกนวัตกรรมด้านเครื่องจักรการผลิตจากผู้จัดแสดงสินค้าทั่วโลก และไฮไลท์สำคัญคือการอัปเดตข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการอาหารสัตว์ที่จะมาร่วมแชร์เทรนด์ระดับโลกซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมดังกล่าว นอกจากนี้เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจอย่างมืออาชีพ”

การรวมกันของเทคโนโลยีการผลิตอาหารสัตว์กับสารเติมแต่ง

Heiko M.Stutzinger กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสแบ่งปันมุมมองการทำงานและความต้องการในการพัฒนาการจัดงานแสดงสินค้าเพื่อให้บริการกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และโปรตีนจากสัตว์อย่างเต็มที่ ซึ่งการร่วมกันจัดงานครั้งนี้ ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจของตลาดส่วนผสมอาหารและสารปรุงแต่งที่กำลังเป็นภาคธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีอุปทานมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทาง VIV ตระหนักถึงความสำ คัญของธุรกิจนี้ จึงนำมาสู่การสร้างงานแสดงสินค้าที่มุ่งเน้นทางด้านสุขภาพสัตว์ สำหรับอุตสาหกรรมโปรตีนสัตว์ ซึ่งรวมถึงความสำคัญของการใช้เวชภัณฑ์ และสารต่างๆ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนแนวคิดการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ไข่ ปลา และนม”

“เมื่อประมาณ 20 ปี ที่แล้ว ทั้ง VICTAM และ VIV เคยตัดสินใจร่วมกันจัดสองงานเข้าด้วยกันที่ยุโรป ในนาทีสุดท้ายเพื่อสู้กับวิกฤตการณ์โรคระบาดในสัตว์ ซึ่งในขณะนั้นปฏิกริยาการตอบรับจากคนในอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ออกมาในเชิงลบ ผมคิดว่าเราจะได้เห็นการตอบรับในเชิงบวกเช่นเดียวกัน ในการร่วมกันจัดงานครั้งนี้ที่กรุงเทพ ในปี 2563” Sebas van den Ende กล่าว

ในโอกาสนี้ คุณกนกพร ดำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ TCEB ได้เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของการจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทยว่า “ธุรกิจการจัดแสดงสินค้านั้นยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีนี้และทุกงานที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นช่องทางของการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาคได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส n-CoV นั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมและชี้แจงมาตรการแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้การจัดงานเป็นไปตามแผนอย่างดีที่สุด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าร่วมงาน”

ในโอกาสนี้ ศ.สพ.ญ. ดร. อัจฉริยา ไศละสูต ผู้อำนวยการ FAVA Secretariat Office เปิดเผยถึงโอกาสการติดเชื่อไวรัส n-CoV ในสัตว์ว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นในสัตว์ โดยเชื้อดังกล่าวทำให้เกิดโรคท้องเสียในสุกร และอย่างไรก็ตามก็มีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ได้

นอกจากความร่วมมือจัดงานครั้งแรกในเอเชียแล้ว ทั้ง VICTAM International และ VIV Worldwide ยังสานต่อความร่วมมือยกระดับการจัดงานแสดงสินค้าครั้งสำคัญ VICTAM International exhibition และ VIV Europe 2022 ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2565 ณ Jaarbeurs เมืองอูเทรคต์ (Utrecht) ประเทศเนเธอร์แลนด์

เทรนด์ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์กลุ่มประเทศนอร์ดิกส์

จากการรายงานสถานการณ์การตลาดโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งมีพื้นที่ดูแลประเทศเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ เปิดเผยภาพรวมตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์ พบว่ากลุ่มสินค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์เป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง จึงมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยที่สูง ประกอบกับประชากรมีความนิยมอุปโภคบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ ทั้งกลุ่มสินค้าอาหารและไม่ใช่อาหาร

ภาพรวมตลาดกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์พบว่ามีอัตราการอุปโภคบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ต่อหัวประชากรสูงที่สุดในโลก นำโดยเดนมาร์ก และสวีเดน ทั้งนี้ สินค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดครอบคลุมเกือบทุกสินค้า ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อสัตว์ ปลาและอาหารทะเล ขนมขบเคี้ยว ผักและผลไม้สดและแปรรูป ผักและผลไม้อบแห้ง เครื่องดื่ม ชา กาแฟ น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารสำหรับเด็กอ่อนและทารก เป็นต้น

สถานการณ์การแข่งขันและคู่แข่งที่สำคัญของไทย

จากสถานการณ์และความต้องการของตลาดนับว่าเป็นโอกาสให้กับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มของไทยโดยเฉพาะผู้ที่มุ่งมั่นเจาะตลาดผู้บริโภคเฉพาะทาง ทั้งนี้ คู่แข่งสำคัญสำหรับตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์นั้นคือสินค้าที่มาจากกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์เอง เนื่องจากกระแสความนิยมการอุปโภคบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาดนี้มีสูง กลุ่มผู้ผลิต หน่วยงานรัฐ และเอกชนจึงมุ่งลงทุนและพัฒนาด้านการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ทั้งนี้ ในปี 2561 เดนมาร์กนำเข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์รวมทั้งหมด 578 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์รวมทั้งสิ้น 442 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเดนมาร์กใช้พื้นที่ทำเกษตรอินทรีย์รวม 279,299 เฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 8.6 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด) ฟาร์มเนื้อสัตว์เกษตรอินทรีย์รวม 4.23 ล้านตัว (กลุ่มปศุสัตว์ สุกร สัตว์ปีก และอื่นๆ) ทั้งนี้ มูลค่าตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในร้านค้าปลีกในเดนมาร์กมีมูลค่ารวม 1.93 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยกลุ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดคือ กลุ่มนมสด ชีส และไข่ รองลงมาได้แก่ กลุ่มผัก ผลไม้ และข้าว ขนมปัง เส้นพาสต้า แป้งทำอาหาร กลุ่มเนื้อสัตว์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดในร้านค้าปลีกคือ เนื้อวัว แฮมและไส้กรอก (Cold cut meat and poultry) เนื้อสุกร และเนื้อไก่

ทางด้านสวีเดนนั้น จากข้อมูลล่าสุดปี 2560 สวีเดนมีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์รวมประมาณ 477,685 เฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 19.2 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด) นอร์เวย์ 48,000 เฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 4.8 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด) ฟินแลนด์ 240,600 เฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 11.4 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด) และไอซ์แลนด์ มีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์คิดเป็นร้อยละ 0.4ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด ทั้งนี้ การทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์จะมีหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละประเทศ ได้แก่ Danish Agriculture & Food Council, Swedish Board of Agriculture, Norwegian Agricultural Counseling และ Finnish Food Safety Authority Evira โดยฟินแลนด์มีฟาร์มเนื้อสัตว์เกษตรอินทรีย์รวม 959 แห่ง ซึ่งส่วนมากผลิตนมเกษตรอินทรีย์ มีฟาร์มผลิตเนื้อสุกรเกษตรอินทรีย์จำนวน 14 แห่ง ฟาร์มผลิตเนื้อสัตว์ปีกเกษตรอินทรีย์จำนวน 3 แห่ง ฟาร์มผลิตไข่ไก่เกษตรอินทรีย์ 48 แห่ง

โอกาสและความท้าทายของสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทย

แม้ว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์จากประเทศไทยจะยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในตลาดกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์มากนัก  แต่สินค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ที่มีโอกาสขายได้ในตลาดกลุ่มดังกล่าว ได้แก่ ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อสัตว์ ปลาและอาหารทะเล ขนมขบเคี้ยว ผักและผลไม้สดและแปรรูป ผักและผลไม้อบแห้ง น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารสำหรับเด็กอ่อนและทารก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญที่ส่งผลให้สินค้าเกษตรอินทรีย์จากประเทศไทยบางกลุ่มยังไม่เป็นที่เชื่อถือในตลาดมากนัก เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป เนื่องจากมีส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง รวมถึงการสร้างแบรนด์สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีความสำคัญ รวมทั้งการจัดหาเอกสารรับรองจากมาตรฐานนานาชาติเพื่อให้คู่ค้าสามารถวางใจได้ในมาตรฐานของสินค้าไทยด้วย

ด้านปัจจัยสนับสนุนพบว่ากระแสความนิยมการบริโภคสินค้าจากท้องถิ่นได้กลายมาเป็นหนึ่งในแนวโน้มการบริโภคที่สำคัญในปัจจุบัน เนื่องจากกระแสการลดภาวะโลกร้อนที่ภาคการขนส่งเป็นส่วนหนึ่งในปัญหานี้ ผู้บริโภค ร้านค้าปลีก ภัตตาคาร และผู้นำเข้าจึงหันมานิยมจับจ่ายซื้อของจากท้องถิ่นที่สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการใช้พลังงานในการขนส่ง รวมทั้งลดปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่เกิดจากการขนส่งด้วย

แนวทางการขยายตลาดและลู่ทางการจำหน่าย

ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในด้านคุณภาพสินค้า เนื่องจากสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาดกลุ่มประเทศ นอร์ดิกส์โดยทั่วไปจะมีราคาเฉลี่ยสูงกว่าราคาสินค้าทั่วไปร้อยละ 20 ผู้นำเข้าและผู้บริโภคจึงคาดหวังว่าจะได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพด้วย และควรพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น นวัตกรรมการบรรจุภัณฑ์ที่ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ช่วยลดต้นทุนในการขนส่ง มีมาตรฐานสูง และสามารถเก็บสินค้าได้เป็นเวลานาน

นอกจากนี้ ควรศึกษาข้อมูลเครื่องหมายทางการค้าตราสัญลักษณ์เกษตรอินทรีย์ในกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์ที่ได้รับการยอมรับ และใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยปัจจุบันมี 5 ตราสัญลักษณ์ด้วยกันตามแต่ละประเทศ และยังสามารถใช้ EU Organic logo ได้ด้วย ทั้งนี้ จากการสำรวจประชากรกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์โดย Nordic Swan Ecolabel กว่า 9 ใน 10 คนรู้จัก Nordic Swan Ecolabel และกว่าครึ่งนึงมองหาสัญลักษณ์นี้เมื่อซื้อสินค้า ดังรูปด้านล่าง

เครื่องหมายอาหารเกษตรอินทรีย์ในเดนมาร์ก (Danish Organic Logo) สวีเดน (KRAV) นอร์เวย์ (Debio) กลุ่มประเทศนอร์ดิกส์ (Nordic Swan Ecolabel) สำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มิใช่อาหารและยุโรป (EU Organic logo) (เรียงจากซ้ายไปขวา)

สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Danish Organic Logo http://en.mfvm.dk/focus-on/organic-denmark/danish-organic-logo/ KRAV www.krav.se Debio https://debio.no/english/ Nordic Swan Ecolabel www.nordic-ecolabel.org และ EU Organic logo https://ec.europa.eu/agriculture/organic/index_en

ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ส่งออกและผู้ที่สนใจขยายตลาดกลุ่มประเทศดังกล่าวควรเตรียมการจัดทำข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อประโยชน์สำหรับการค้าออนไลน์ โดยผู้นำเข้า/ร้านค้าปลีกรายใหญ่หลายแห่งมีระบบการลงทะเบียนข้อมูลผู้ส่งออก/suppliers ออนไลน์ผ่านเวปไซต์ของตนเอง เช่น บริษัท S – Group ฟินแลนด์ https://s-ryhma.fi/en/for-suppliers บริษัท ICA Gruppen AB สวีเดน ซึ่งทำให้สะดวก รวดเร็ว การติดต่อมีประสิทธิภาพ และได้รับข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของตนมากขึ้น

หากผู้ส่งออกต้องการส่งอีเมล์ถึงบริษัทผู้นำเข้า/ร้านค้าปลีกในกลุ่มประเทศนอร์ดิกส์เพื่อแนะนำสินค้าและบริษัทของตน สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากปริมาณอีเมล์จากผู้ส่งออกจากทั่วโลกที่บริษัทผู้นำเข้าได้รับแต่ละวันมีจำนวนมหาศาล จึงควรเขียนอีเมล์ที่สั้น กระชับใจความ มีข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจการสั่งซื้อ เช่น รายละเอียดสินค้า/บริษัท รูปภาพสินค้า เพื่อสร้างความสนใจและน่าดึงดูดในการติดต่อกลับเพื่อทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต

ผู้ส่งออกควรเน้นกลยุทธ์โดยการพัฒนารูปแบบสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูง รวมทั้งพัฒนาหีบห่อบรรจุภัณฑ์ให้มีขนาดกับพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น ชาวนอร์ดิกส์นิยมรับประทานข้าวเป็นครั้วคราว ขนาดบรรจุที่ได้รับความนิยมในตลาดคือ 1 กิโลกรัม อาจช่วยให้สินค้าสามารถขยายตลาดเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น

นอกจากนี้ จากประเด็นความนิยมสินค้าที่ลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) การให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาที่เป็นธรรมแก่ผู้ผลิต (Fair price) และการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสามารถช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อให้เพิ่มมากขึ้น

—————————————————————————————————————————————–

ที่มา: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน