Brenntag hosted Phytonutrients seminar in Thailand

On 23 August 2018, Brenntag with support from its European Suppliers, Breko and Asiros, held a Seminar on the health benefits of phytonutrients. Phytonutrients are natural compounds produced by plants that could provide significant benefits to humans. The speakers highlighted phytonutrients from premium grape and olive extracts, organic plant proteins and grass powders, berries and mito actives, emphasizing its individual and unique functionalities. Attendees showed much interest in trying the prototypes of Drinking yogurts and RTD beverages containing phytonutrients prepared by Brenntag Service Application centre.

For more information – please contact Brenntag Ingredients (Thailand)

ครั้งแรกในเมืองไทยกับงาน Taiwan Expo 2018 งานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดล้ำส่งตรงจากไต้หวันสู่สายตาชาวไทย

สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (The Taiwan External Trade Development Council – TAITRA) สมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน (Thai-Taiwan Business Association) กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน (Bureau of Foreign Trade – MOEA) และสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปในประเทศไทย (Taipei Economic and Cultural Office in Thailand – TECO) ร่วมมือกับสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (Thailand Trade and Economic Office) กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment – BOI) และสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (Thailand Convention and Exhibition Bureau – TCEB) ร่วมเปิดงาน Taiwan Expo 2018 ครั้งแรกในประเทศไทยภายใต้แนวคิด “Let’s Tie Together” จัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นนำควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าระหว่างไทยและไต้หวัน

นายเจมส์ ซี เอฟ ฮวง ประธานสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) กล่าวถึงไฮไลต์ของงาน “งาน Taiwan Expo 2018 ที่จัดครั้งแรกในเมืองไทยนี้ เราได้นำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ภายใต้ 7 เทรนด์อุตสาหกรรมชั้นนำ คือ สมาร์ทซิตี้ กรีนเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม วัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยว เทคโนโลยีทางการเกษตร และสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ เราจัดให้มีการจับคู่ธุรกิจและการแลกเปลี่ยนความรู้เชิงอุตสาหกรรมเพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสองประเทศ”

นายชู-เทียน หลิว ประธานสมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน กล่าวว่าทางไต้หวันได้นำกลุ่มอุตสาหกรรมมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางธุรกิจมากมาย เช่น กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มนวัตกรรมทางการเกษตร กลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์ และกลุ่มการศึกษา “ภายในงานมีผู้ประกอบการกว่า 200 รายนำเสนอผลิตภัณฑ์และธุรกิจของตนเพื่อแสดงถึงอุตสาหกรรมที่หลากหลายของไต้หวัน งานนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทยจะได้สัมผัสนวัตกรรมในรูปแบบดิจิทัลไลฟ์สไตล์รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นของไต้หวันในมิติต่างๆ เราหวังว่าการจัดงานครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และสร้างประโยชน์ทางการค้าร่วมกันระหว่างไทยและไต้หวันในระยะยาว”

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมแบ่งปันมุมมองว่า “งานครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งจากนักประดิษฐ์และพัฒนาสินค้า ผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย ที่ร่วมนำเสนอสินค้าใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค งานนี้ถือเป็นหนึ่งในการทำงานร่วมกันของกลุ่มประเทศในเอเชียที่คนในแวดวงธุรกิจไม่ควรพลาด”

ไฮไลต์ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ iTrash – ถังขยะอัจฉริยะที่ช่วยคัดแยกขยะและทำการรีไซเคิลโดยใช้ระบบ Cloud และ IoT นวัตกรรม iTrash มีระบบระงับกลิ่นเหม็นและช่วยจัดสรรค่าเก็บขยะส่วนบุคคล สร้างสภาพแวดล้อมการรีไซเคิลขยะอย่างชาญฉลาด

Switchable Smart Laminated Glass – คือกระจกที่ออกแบบให้สามารถปรับพื้นผิวให้โปร่งใสเมื่อผู้ใช้ต้องการให้สามารถมองเห็นภายนอกได้ หรือจะปรับพื้นผิวให้มีความขุ่นเมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว นวัตกรรมกระจกนี้รองรับการออกแบบทั้งภายในและนอกอาคาร และยังช่วยประหยัดพลังงานได้อีกด้วย

Facepass – คือเทคโนโลยีการสแกนใบหน้าสำหรับการจัดงานอิเว้นท์ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เข้าร่วมชมและ ผู้จัดงานภายใต้การให้บริการของ ACCUPASS อีกมากมาย เช่น การลงทะเบียน การชำระเงิน E-ticket E-check-in บริการปริ้นต์ป้ายสำหรับผู้เข้าร่วมงาน รวมทั้งยังทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดได้อีกด้วย เรียกได้ว่า ACCUPASS ตอบโจทย์สำหรับการทำงานอีเว้นท์ที่ครบวงจรได้ในที่เดียว

ในงาน Taiwan Expo 2018 นอกเหนือจากการนำเสนอเทคโนโลยีและความร่วมมือทางธุรกิจแล้ว ยังมีการแสดงทางวัฒนธรรมช่วยสร้างบรรยากาศให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสความเป็นไต้หวันอีกมุมหนึ่ง เช่น Design Show คือศิลปะการแสดงที่นักแสดงใช้ร่างกายวาดลวดลายสะท้อนความงามที่เป็นเอกลักษณ์ Acrobatics Show คือการแสดงประกอบดนตรี EDM ที่ใช้ Flower Sticks เป็นอุปกรณ์คู่กับการแสดงกายกรรม Mirror Man คือการแสดงบทบาทหุ่นยนต์ของนักแสดงที่มีภาพสะท้อนกระจกนับร้อยชิ้นที่ประดับบนร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า

นายสุทธิชัย บัณฑิตวรภูมิ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ชี้ให้เห็นว่างาน Taiwan Expo 2018 จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและไต้หวันในด้านการค้าและเศรษฐกิจอีกมากมาย “วัตถุประสงค์ของงาน Taiwan Expo 2018 ที่นอกเหนือไปจากการนำเสนอเทคโนโลยีและวัฒนธรรมของไต้หวันแล้ว ผู้จัดงานยังมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของทั้งสองฝ่าย ผมหวังว่างานนี้จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจและความร่วมมือสำหรับนักลงทุนในอนาคต และคาดหวังว่างาน Taiwan Expo 2018 จะมาจัดในประเทศไทยอีกครั้งในปีหน้า”

DuPont Nutrition & Health Creates ‘Clean Label Hub’, Expands R&D Team

DuPont Clean label hub news release

 

Strengthened Organization Will Focus on R&D Project Pipeline Growth
in Ingredient and Process Development

Brabrand, DENMARK, August 29, 2018

DuPont Nutrition & Health today announced it is expanding its R&D team by creating a “clean label hub” at the Brabrand facility. Intending to boost its project pipeline in healthy nutrition and clean label texturant offerings, six new employees will join the existing team to focus on both ingredient and process development.

The hub will feature experts with backgrounds in clean label and sustainability – two fields that often work together and serve related purposes. Working closely with existing project teams, the hub will bring products to market quickly and help grow the existing project pipeline.

“Clean label is about creating foods and beverages with ingredients that consumers recognize, feel good about putting into their bodies, and that respect the Earth and its resources,” said Gerard Lynch, R&D Leader, Systems & Texturants, Emulsifiers & Sweeteners. “Our ingredients are already used in many applications that consumers consider clean label, but there are tremendous opportunities to innovate – creating ingredients that are even more sustainable, using a larger part of the natural raw materials, while providing health benefits to consumers. Committing to this innovation is critical for our ongoing success and growth.”

With the ability to utilize the broadest capabilities in terms of natural raw materials access, processing, across fruits, vegetables, seaweeds and nutritional science, DuPont Nutrition & Health has huge potential to develop functional ingredients that meet consumer expectations.

The hub will help customers continue to navigate clean label trends in a proactive and sustainable way. DuPont Nutrition & Health is seeking creative scientists and engineers to identify ways to convert sustainable and natural raw materials into clean label solutions that meet consumer demands for simplicity and authenticity, all without compromising taste, texture and nutritional qualities.
Planned to be in place by early 2019, the clean label texturants team will have the opportunity to tackle exciting projects to provide texture and stability for multiple food applications.

“We are excited to launch this hub and put additional team members into place that will help us advance our innovation strategy to support our customers,” said Mikkel Thrane, Global Sustainability Lead, DuPont Nutrition & Health. “This hub will enable us to continue integrating sustainability and the UN Sustainable Development Goals into our work, and the investment we are making will help us develop healthier, more nutritious and sustainable ingredients for our food supply.”

To learn more about DuPont Nutrition & Health, visit www.food.dupont.com.

เบทาโกร จับมือ ศธ. มท.และ 11 สถาบันอุดมศึกษา ขยายผลโมเดล HAB ยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตชุมชน

กรุงเทพฯ, สิงหาคม 2561 – นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร เครือเบทาโกร (ที่ 6 จากซ้าย) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่แบบองค์รวม (Holistic Area Based Community Development; HAB) 5 ด้าน เศรษฐกิจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม สังคม และการศึกษา ผ่านเครือข่ายปฏิบัติการทางสังคม กับสถาบันอุดมศึกษา 11 แห่ง สร้างชุมชนต้นแบบที่มีคุณภาพชีวิตดี 17 พื้นที่ ใน 12 จังหวัด โดยมี ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ที่ 8 จากขวา) เป็นประธาน และนายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย (ที่ 7 จากขวา) ให้เกียรติร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล อาคารรัชมังคลาภิเษก กระทรวงศึกษาธิการ

สำหรับ 11 สถาบันอุดมศึกษา ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฎเลย มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

SIG Leads the Industry with 100% Renewable Energy – Electricity and Gas – for Production Worldwide

Switzerland, August 2018 – SIG is the first in the industry to produce all its packs using 100% renewable energy – electricity and gas – at production sites worldwide. By effectively eliminating greenhouse gas emissions from production, this represents a major milestone on SIG’s journey to go Way Beyond Good by contributing more to society and the environment than it takes out.

SIG has met its 2020 goal to source 100% renewable energy and Gold Standard CO2 offset for all non-renewable energy at production plants two years early. The company made the switch to 100% renewable electricity in 2017 and is now sourcing renewable alternatives for the remaining energy used in production that comes from natural gas.

SIG is purchasing biogas certificates that are certified to the recognised GoldPower® standard to offset 100% of the natural gas used at its production sites as of 1 January 2018.

Arnold Schuhwerk, SIG’s Global Category Manager for energy procurement, said: “We achieved a big milestone last year by securing 100% renewable electricity for production. Sourcing renewable alternatives for gas was even more challenging because the market for renewable biogas is not yet well established.”

With no viable option to source renewable biogas directly, SIG is sourcing it indirectly instead by supporting projects to construct and operate waste-to-energy systems in China, Thailand and Turkey that capture gas generated at landfill sites and use it to produce renewable energy.

Landfill gas from decomposing waste includes large amounts of methane, a potent greenhouse gas. Preventing this gas from escaping into the atmosphere helps to avoid harmful climate impacts.

The projects are certified to the GoldPower® standard which verifies that they will not only deliver measurable greenhouse gas emissions reductions, but also create benefits for local communities, such as air or water quality improvements or job opportunities.

“We are supporting projects that capture harmful greenhouse gases from landfill and convert these into energy,” said Schuhwerk. “We chose the projects because they are certified to a recognised standard to make sure they have a positive social impact as well as supporting environmental savings.”

All other remaining greenhouse gas emissions from production sites, such as small amounts released in the printing process, are also being offset to completely eliminate greenhouse gas emissions from production.

The switch to renewable gas will save an estimated 28,600 tonnes of CO2 equivalent emissions per year. This will make an important contribution towards SIG’s science-based targets to cut Scope 1 and 2 greenhouse gas emissions by 50% by 2030 – and by 60% by 2040 – from the 2016 base-year.

By reducing the climate impact of SIG’s solutions, this latest step to go Way Beyond Good will also help customers cut the lifecycle impacts of their products and meet their own sustainability goals.

Epi Ingredients Enters the Protein Ingredient Market with EPIPROT 60UL

France, August 2018 – As consumer interest in protein continues to grow, their new expectations in terms of sustainability, transparency, animal welfare and the like, are transforming the market and urging food, beverage and nutrition manufacturers to continuously innovate. To support them, Epi Ingredients is now launching its first ever protein concentrate, EPIPROT 60 UL.

“As a major food producer, we have a responsibility to contribute to people’s quality of life through our products. This is why we are fully committed to assist our customers by supplying sustainable, high-quality ingredients designed to tackle their current challenges as well as to meet consumers ever evolving requirements”, explains Mathieu Lucot, Marketing Manager at Epi Ingredients.

This innovative native ingredient fits into the company’s new protein range, EPIPROT, which also includes caseinates and acid caseins and will soon feature additional offerings of milk protein concentrates and isolates. EPIPROT 60 UL is a milk protein concentrate containing 60% total native protein. It is produced directly from fresh milk using a unique ultra-low heat process which allows for minimal denaturation and optimal functional & nutritional properties. It also preserves the 80/20 casein/native whey protein ratio unadulterated.

EPIPROT Dairy proteins are considered high-quality proteins as they provide adequate amounts of all the essential amino acids as well as excellent digestibility and bioavailability, allowing the body to perform its countless functions flawlessly. “And Epi Ingredients takes it a step further with full control over the entire value chain from field to fork as well as the implementation of its very comprehensive CSR initiative, Passion du Lait®; ultimately allowing us to offer the highest quality, most natural and safest ingredients possible”, adds Mathieu Lucot. This commitment to quality and sustainability goes a long way in today’s landscape, especially as consumer demand for familiar ingredients and recognizable protein sources is rising, per Katy Askew, editor at FoodNavigator.com. The article also suggests that milk protein remains the most popular source of protein, according to a new consumer survey.

In this context, native protein EPIPROT 60 UL is the ideal solution for product developers seeking a highly functional quality protein source with outstanding nutritional properties. Not only does the ingredient offer superior gelling, emulsifying and water retention capabilities, but it also features the unique ability to provide enhanced creaminess and a rich mouthfeel in low-fat, high-protein applications. EPIPROT 60 UL also presents a superior nutritional profile high in native calcium and low-lactose. This new ingredient is easy to use and can be incorporated into a wide range of applications such as cheese, yogurt, quark, beverages, nutritional products and more!

“At Epi Ingredients, we take our mission to drive innovation very seriously and the best way for us to feature what our ingredients can do is to develop finish product concepts with them”, explains Mathieu Lucot. After the massive success of SoFlexi, first concept of the SoUnik range, last year, the company has decided to repeat the experience and will soon be launching a new concept using EPIPROT 60 UL. It will be available to sample at the company’s upcoming trade show appearances: Gulfood Manufacturing and HIE. Stay tune for the big announcement in September!

TILOG–LOGISTIX 2018 เวทีบูรณาการภาคธุรกิจโลจิสติกส์ไทย สร้างโอกาสเชื่อมโยงสู่ภูมิภาค

15 สิงหาคม 2561

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับ รี้ด เทรดเด็กซ์ จัดงาน TILOG–LOGISTIX 2018 ระหว่างวันที่ 29 – 31 สิงหาคม 2561 ณ ไบเทค กรุงเทพ เพื่อเป็นเวทีบูรณาการส่งเสริมการพัฒนาและเชื่อมโยงธุรกิจการค้าโลจิสติกส์ไทยในการเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาคอาเซียน นำผู้แสดงสินค้าจำนวนกว่า 415 แบรนด์ จาก 25 ประเทศ จัดแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรม โซลูชั่นและบริการด้านโลจิสติกส์ พร้อมกิจกรรมเพิ่มองค์ความรู้ และสัมมนาระดับนานาชาติ คาดผู้เข้าชมงานกว่า 11,000 ราย เป้ามูลค่าเจรจาธุรกิจจากการจัดงานกว่า 600 ล้านบาท

นางวรรณภรณ์ เกตุทัต รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ประธานแถลงข่าวการจัดงาน TILOG–LOGISTIX 2018 โดยกล่าวว่า “ธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นหนึ่งในธุรกิจบริการที่เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการ ทั้งยังสร้างรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี จ้างแรงงานกว่า 1 ล้านคน รัฐบาลจึงมีนโยบายส่งเสริมธุรกิจ โลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพสูง โดยกำหนดไว้ชัดเจนทั้งในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2561 – 2564) และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (2560-2564) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จึงได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งจากภาครัฐและเอกชน และบริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด จัดงาน TILOG-LOGISTIX 2018 เป็นครั้งที่ 4 แต่นับเป็นปีที่ 15 สำหรับงาน TILOG เพื่อให้เป็นกิจกรรมรองรับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่มุ่งยกระดับประสิทธิภาพและมาตรฐานการให้บริการโลจิสติกส์ให้เทียบเคียงกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ และส่งเสริมการสร้างเครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศ”

ผลจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์และความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน ส่งผลให้อันดับดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ (International Logistics Performance Index: LPI) ของธนาคารโลก ปี 2561 ไทยอยู่อันดับที่ 32 จาก 160 ประเทศทั่วโลก ดีขึ้นกว่าปี 2559 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 45

นอกจากนี้ ในปีนี้ให้ความสำคัญกับการบูรณาการโลจิสติกส์ด้านการเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตโดยใช้กระบวนการโลจิสติกส์เข้ามาบริหารจัดการ อาทิ การเก็บรักษา/ยืดอายุสินค้า บรรจุภัณฑ์
การขนส่ง เพื่อรักษาคุณภาพจนถึงผู้ซื้อ ซึ่งจะสามารถขยายโอกาสและสร้างช่องทางการตลาดให้กับผลผลิตที่มีคุณภาพ ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าอีกด้วย งาน TILOG-LOGISTIX 2018 จึงไม่เพียงแต่ยกระดับงานแสดงสินค้าด้านโลจิสติกส์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการพัฒนาต่อยอดไปสู่การเชื่อมโยงเครือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ทั้งไทยและในภูมิภาคอาเซียนเท่านั้น ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก แสดงถึงศักยภาพของโลจิสติกส์ไทยในการเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาค นางวรรณภรณ์ กล่าวเสริม

นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวถึงมุมมองต่อบทบาทธุรกิจโลจิสติกส์ว่า “ธุรกิจโลจิสติกส์มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับการค้าระหว่างประเทศได้ ด้วยคุณภาพบริการที่ดี ต้นทุนที่เหมาะสมกับคุณภาพบริการ และการขยายเครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมทั่วโลก นอกจากนี้ การขยายตัวของตลาด Cross Border e-Commerce
ที่ต้องการบริการโลจิสติกส์สำหรับพัสดุขนาดเล็ก ที่ส่งสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงการจัดส่งแบบ door-to-door service ส่งผลให้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ต้องพัฒนาระบบภายในของตนเองให้เชื่อมโยงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานสากล และป้องกันอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ รวมถึงการจัดการข้อมูลที่รวดเร็วที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ต้องพัฒนาให้ทันตลาด e-Commerce ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จึงจะสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการจากต่างชาติ และเป็นแรงสนับสนุนให้ผู้ส่งออก/ผู้นำเข้าของไทย สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก”

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ นายกสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA)
ได้ชี้ให้เห็นถึงทิศทางภาคธุรกิจโลจิสติกส์ไทยว่า “จากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศไทยฉบับที่ 3 ต้องการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้า การบริการ และการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค โดยมีดัชนีชีวัดความสำเร็จของการพัฒนาที่สำคัญ 3 ด้าน คือ ดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index- LPI) โดย World Bank ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นเป็นลำดับที่ 32 จาก 160 ประเทศ และถือเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน และอันดับ 7
ในเอเชีย สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2564 เท่ากับ 12%
ซึ่งมีสัดส่วนลดลงตามรายงานของสภาพัฒน์ฯ และประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกทางการค้าของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นในปี 2564 จาก Trading Across (อันดับด้านการค้าระหว่างประเทศของธนาคารโลก) จากดัชนีชี้วัดดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าโลจิสติกส์ไทยมีทิศทางการเติบโตทีสูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจการค้าของประเทศ รวมถึงการเชื่อมโยงสู่การค้าในระดับภูมิภาค”

ภายในงานประกอบด้วยองค์ความรู้มากมายจากงานสัมมนาที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ
โลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ อาทิ Trade Logistics Symposium 2018 นำเสนอองค์ความรู้
ด้านโลจิสติกส์เพื่อสินค้าเกษตรและสินค้าเน่าเสียง่าย World Transport & Logistics Forum Thailand (WTLFT) เผยดัชนี Logistics Performance Index (LPI) และบทวิเคราะห์เพื่อการพัฒนาภาคโลจิสติกส์
โดยธนาคารโลก (World Bank) และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิตัลไปกับองค์ความรู้ด้าน
e-commerce ต่อผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์และผู้ให้บริการโลจิสติกส์เพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศ
ในอนาคต และประเด็นสัมมนาอื่นๆ กว่า 20 หัวข้อ รวมทั้งกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น พบต้นแบบนวัตกรรมการบริหารจัดการคลังสินค้าแห่งอนาคต (Virtual Reality Advanced Distribution Centre)
ที่โซน “Innovation Showcase” เรียนรู้จากแนวคิดและกลยุทธ์ของผู้นำวงการโลจิสติกส์ เพื่อพัฒนามาตรฐานธุรกิจสู่ระดับสากล ณ “ELMA Showcase” พบเคล็ดลับลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายและขนส่งสินค้าเกษตร โดยใช้ประโยชน์โลจิสติกส์จากธุรกิจต้นแบบ พร้อมรับคำแนะนำโดยตรงที่ “Agri Logistics Value Chain Pavilion” เทคโนโลยีระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์จากสตาร์ทอัพไทยที่ “Logistics Startup Pavilion” ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการโลจิสติกส์ ไม่ควรพลาดโอกาสสำคัญในการพัฒนาประสิทธิภาพการประกอบธุรกิจ รองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก

เตรียมตัวให้พร้อมกับ Taiwan Expo 2018 ครั้งแรกในเมืองไทย

30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2561 ณ อีเว้นท์ฮอลล์ 99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

 

กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน (Bureau of Foreign Trade, MOEA) ร่วมกับ สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (Taiwan External Trade Development Council) และสมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน (Thai-Taiwan Business Association) พร้อมด้วยสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (Thailand Convention and Exhibition Bureau – TCEB) จัดงาน Taiwan Expo 2018 ครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Let’s Tie Together” ชูเทคโนโลยีเพื่อให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม และกระตุ้นความร่วมมือทางการค้าระหว่างไทยกับไต้หวัน งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2561 ณ อีเว้นท์ฮอลล์ 99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

นายเฟลิกซ์ เฮช. แอล. ชิว ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอุตสาหกรรม สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) กล่าวถึงวัตถุประสงค์หลักในการจัดงาน Taiwan Expo ว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไต้หวัน ผู้คนต่างพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น และมีศักยภาพทางด้านธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง จึงกำหนดจัดงาน ไต้หวัน เอ็กซ์โป 2018 ขึ้น ภายใต้แนวคิด “Let’s Tie Together” เพื่อแสดงถึงความร่วมมือกันระหว่างไทยกับไต้หวัน ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานในครั้งนี้จะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนมีความสุขและสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมกับสร้างโอกาสสำคัญในการขยายความร่วมมือทางการค้าในภูมิภาคอาเซียน

ภายในงานไต้หวัน เอ็กซ์โป 2018 จะได้พบกับสินค้า เทคโนโลยีและนวัตกรรมของไต้หวันที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากขึ้น และได้รู้จักไต้หวันอย่างใกล้ชิดขึ้นในมุมมองใหม่ที่หลากหลายผ่าน 7 โซนแสดงสินค้าไฮไลท์ ได้แก่ โซนเทคโนโลยีเพื่อชีวิตคนเมือง (Smart City) โซนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Tech) โซนสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพ (Health Care) โซนศิลปวัฒนธรรม (Culture) โซนการท่องเที่ยว (Talents & Tourism) โซนสินค้าการเกษตร (Agricultural) และโซนสินค้าเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น (Good Living) จากผู้ประกอบการที่มาร่วมออกบูธกว่า 210 ราย นอกจากนี้ ผู้เข้าชมงานยังมีสิทธิ์ลุ้นตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ-ไทเป จำนวน 2 รางวัล นายเฟลิกซ์ กล่าว

นายชู-เทียน หลิว ประธาน สมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน กล่าวว่า จัดงาน Taiwan Expo 2018 ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในเมืองไทย หลังจากที่ได้มีการจัดงานหลากหลายประเทศในเอเซียมาแล้ว เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยแต่ละประเทศได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เฉลี่ยมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 18,000 คน ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมาไต้หวันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 14,307 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 480,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะมีความร่วมมือทางการค้าเพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้น การจัดงาน ไต้หวัน เอ็กซ์โป 2018 ครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนสื่อกลางของนักลงทุนไทยและไต้หวันได้พบปะแลกเปลี่ยนมุมมองธุรกิจและการเจรจาทางการค้าต่อไปในอนาคต ผ่านกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจ พร้อมส่งเสริมความรู้ผ่านงานสัมมนาในอุตสาหกรรมต่างๆ (Industry Forums) อาทิ Taiwan Excellence Smart Transportation Forum, Taiwan Smart Machinery Forum และ Taiwan Digital Commerce & Startups Forum ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าได้ฟรี ทาง https://thai.taiwanexpoasean.com/en_US/index.html

นายเจสัน ฮู ผู้อำนวยการ ฝ่ายการค้า สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย เผยว่า ไต้หวัน ตั้งเป้าลงทุนในตลาดอาเซียน และประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกมากขึ้นตามนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southbound) ของรัฐบาลที่มุ่งก่อให้เกิดความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ และผลักดันให้ผู้ประกอบการไต้หวันก้าวออกไปลงทุนในประเทศต่างๆ มากขึ้น โดยประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่มีศักยภาพทางการค้า มีวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตที่คล้ายคลึงกัน จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะมีการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม เทคโนโลยี การศึกษา รวมทั้งการร่วมลงทุนทางธุรกิจ

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (TCEB) กล่าวว่างาน Taiwan Expo 2018 ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนไทยที่ได้สัมผัสกับความเป็นไต้หวันทั้งในแง่ของผู้บริโภคที่สนใจนวัตกรรมช่วยเสริมการใช้ชีวิตให้สะดวกสบายขึ้น และกลุ่มผู้ทำธุรกิจที่อยากต่อยอดทั้งเรื่องเทคโนโลยีและการค้า ในภาพรวมหวังว่าจะเห็นความร่วมมือที่ได้รับการต่อยอดอย่างมีคุณภาพต่อไป

 

Website: https://thai.taiwanexpoasean.com/

Facebook: https://www.facebook.com/twexpointhai/

เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง บุกตลาดค้าปลีก ขยายธุรกิจสู่ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ

 

กรุงเทพฯ, 2 สิงหาคม 2561 – บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด บริษัทในเครือข้าวหงษ์ทอง ขยายธุรกิจสู่ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ เข้าซื้อกิจการร้าน “ใบเมี่ยง” ร้านสินค้าเพื่อสุขภาพชื่อดัง พร้อมเดินหน้าขยายสาขาครอบคลุมกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงเพิ่มช่องทางการจำหน่าย เข้าถึงกลุ่มคนรักสุขภาพ หวังเติบโตปีละร้อยละ 30

นางแคทลียา มานะธัญญา ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า “เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง มีนโยบายที่เปรียบเสมือนหัวใจขององค์กร คือ การมุ่งมั่นสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย จึงทำให้ข้าวหงษ์ทองพัฒนาเป็นข้าวที่มีคุณประโยชน์สูงและดีต่อสุขภาพ เพราะเราเชื่อว่าการรับประทานอาหารที่ดีมีส่วนช่วยให้มีสุขภาพดีในระยะยาว แต่แน่นอนว่าข้าวไม่ใช่สิ่งเดียวที่คนรับประทานกัน เราจึงมีแนวคิดที่จะรวมเอาสินค้าเพื่อสุขภาพมาไว้ในที่ๆ เดียว เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและผู้ที่รักสุขภาพทุกคน แนวคิดนั้นก่อให้เกิดร้านสินค้าเพื่อสุขภาพชื่อว่า “Hongthong Health Station”

Hongthong Health Station ได้รับผลตอบรับอย่างดีจากกลุ่มคนรักสุขภาพ แต่ด้วยจำนวนสาขาเพียง 3 สาขา ทำให้ไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่อยู่ห่างไกล เจียเม้งมาร์เก็ตติ้งจึงวางแผนที่จะขยายไลน์ของสินค้าเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น โดยการเข้าซื้อกิจการร้าน ‘ใบเมี่ยง’ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2560 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ร้านใบเมี่ยง เป็นร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีชื่อเสียงในกลุ่มของคนรักสุขภาพในประเทศไทย มีสาขาอยู่หลายสาขาทั่วกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล จุดเด่นของร้านใบเมี่ยงคือ ชื่อเสียงและฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี มีไลฟ์สไตล์ที่ชอบออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และชอบอัพเดทเทรนด์สุขภาพแนวใหม่ๆ จุดเด่นอีกอย่างคือ สินค้าภายในร้านที่มีครบวงจร ตั้งแต่ของกิน ของใช้ รวมไปถึงสินค้าแม่และเด็ก นับว่าตอบโจทย์ความต้องการของคนรักสุขภาพได้อย่างตรงจุด

นางแคทลียา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “หลังจากบริษัทได้ซื้อกิจการร้านใบเมี่ยงแล้ว ก็ได้มีการปรับปรุงระบบการขาย รวมถึงปรับกลุ่มสินค้าในร้านให้เป็นแบบแผนและมีมาตรฐานมากขึ้น รวมไปถึงวางแผนการตลาดที่เน้นในทางเชิงรุก ซึ่งเราวางแผนการเติบโตของร้านใบเมี่ยงไว้ปีละประมาณร้อยละ 20-30 ขึ้นอยู่กับแผนการขยายสาขา โดยเน้นสร้างในทำเลที่เหมาะสม เริ่มจากการขยายสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง ทำให้ตอนนี้มีร้านใบเมี่ยงในเครือของเจียเม้งมาร์เก็ตติ้งอยู่ทั้งหมด 6 สาขา และวางแผนขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้สะดวก สร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ ให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย”

“ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลัง ที่มีร้านสินค้าเพื่อสุขภาพเกิดขึ้นใหม่มากมาย ร้านใบเมี่ยงก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน และเพื่อทำให้ผู้บริโภครู้สึกมั่นใจในทางร้าน เจียเม้งมาร์เก็ตติ้งจึงมุ่งมั่นนำประสบการณ์จากการทำธุรกิจระดับสากล ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกมาปรับใช้กับร้านให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างความแตกต่างและยกระดับมาตรฐานทั้งเรื่องการคัดสรรสินค้าและในด้านการให้บริการ สอดคล้องกับหัวใจหลักขององค์กร คือ มุ่งมั่นสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย” นางแคทลียา กล่าวทิ้งท้าย

Krispy Kreme Doughnuts เตรียมเปิดสาขาแรกในเมียนมา

 

วินสตัน-เซเลม นอร์ทแคโรไลนา, 2 สิงหาคม 2561 – ร้าน Krispy Kreme สาขาแรกในเมียนมามีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2561 นี้ โดย Krispy Kreme จะเป็นหนึ่งในแบรนด์ธุรกิจร้านอาหารจากตะวันตกเพียงไม่กี่รายที่จะเปิดให้บริการในเมียนมาผ่านการทำธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชส์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในแบรนด์ขนมหวานจากตะวันตกแบรนด์แรกที่เข้าสู่ตลาดเมียนมา

ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจและการที่ประชากรมีความตื่นตัวต่อแบรนด์ระดับโลก เวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับ Krispy Kreme ที่จะนำเสนอขนมหวานชนิดนี้สู่ตลาดเมียนมา โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดร้านในเมียนมาราว 10 แห่ง ในอนาคต