กรมประมง แจงด่วน!! สหรัฐอเมริกา ไม่ได้ห้ามนำเข้า “น้ำปลาไทย” ทั้งระบบ และไม่ได้สุ่มตรวจพบสารก่อมะเร็ง

กรุงเทพฯ, 24 ตุลาคม 2561 – นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง ชี้แจงหลังกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวน้ำปลาจากประเทศไทยมีปัญหาในการนำเข้าสหรัฐอเมริกาว่า กรมประมงในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าประมงก่อนส่งออกไปต่างประเทศได้เร่งประสานข้อเท็จจริง ซึ่งพบว่าสาเหตุที่ทางองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ (USFDA) ได้ขึ้นบัญชี Import Alert เลขที่ 16-120 ประเภท Detention without Physical Exam (DWPE) โรงงานผู้ผลิตน้ำปลาจากประเทศไทยบางแห่งไว้ เนื่องจากมีการตรวจพบว่ากระบวนการควบคุมการผลิต (HACCP) ของโรงงานไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัย HACCP (21 CFR 123.3) ของ USFDA ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดสารโบลูทินัมและสารฮีสตามีนในผลิตภัณฑ์ หากตรวจพบในปริมาณที่เกินมาตรฐานกำหนดจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

ทั้งนี้ USFDA ได้เสนอแนวทางแก้ไขกรณีดังกล่าว 2 แนวทาง คือ (1) ให้โรงงานผู้ผลิตน้ำปลาของไทยปรับกระบวนการผลิตให้มีขั้นตอนการผ่านความร้อน หรือ (2) นำเสนอข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์มายืนยันว่ากระบวนการผลิตน้ำปลามีการควบคุมที่เทียบเท่ากับข้อกำหนด HACCP ของ USFDA และสามารถป้องกันการเกิดสารพิษดังกล่าวได้ ซึ่งขณะนี้ โรงงานฯ ได้มีการจัดส่งเอกสารชี้แจงตามข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัย HACCP ให้ USFDA แล้ว แต่มีการเรียกขอข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งนี้ โรงงานฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขและจัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้เจ้าหน้าที่ USFDA พิจารณา

โดยในส่วนของกรมประมงอยู่ระหว่างการจัดทำและรวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกระบวนการหมักน้ำปลาที่สามารถป้องกันการเกิดสารโบลูทินัมและฮีสตามีนในผลิตภัณฑ์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการนำเสนอแนวทางการป้องกันปัญหากับ USFDA ต่อไป ส่วนกระบวนการให้ความร้อนซึ่งเป็นอีกแนวทางที่ USFDA เสนอนั้น ผู้ผลิตส่วนใหญ่ของไทยไม่นิยมนำมาใช้ปฏิบัติเนื่องจากจะทำให้กลิ่นและรสเฉพาะของน้ำปลาเปลี่ยนแปลง ประกอบกับกระบวนการผลิตน้ำปลามีการใช้เกลือในปริมาณสูงเพียงพอที่จะยับยั้งการเกิดเชื้อโรคและสารที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อีกทั้ง กระบวนการผลิตน้ำปลาของไทย ซึ่งไม่ได้ใช้วิธีการต้ม แต่ก็เป็นการผลิตตามมาตฐานการผลิตน้ำปลา(Standard for Fish Sauce; Codex Stan 302-2011) ของ CODEX ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก

ดังนั้น การออกประกาศเตือน Import Alert น้ำปลาไทยในครั้งนี้ จึงไม่ได้มีเหตุเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การห้ามนำเข้า (Import Ban) น้ำปลาจากประเทศไทยทั้งหมดอย่างที่เป็นข่าว แต่เป็นการห้ามนำเข้าเฉพาะโรงงานที่อยู่ใน Import Alert เท่านั้น และไม่ได้มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสุ่มตรวจสารก่อมะเร็งแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะ USFDA ไม่ได้มีข้อกำหนดให้ตรวจสารก่อมะเร็งในผลิตภัณฑ์น้ำปลาตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในการผลิตน้ำปลา ประกอบกับประกาศ Import Alert เลขที่ 16-120 ก็มิได้มีการกล่าวถึงการสุ่มตรวจสารก่อมะเร็งในน้ำปลาด้วย

อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกามีระบบการควบคุมการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยมี USFDA เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแล มีการใช้ระบบการป้องกันอันตรายจากสินค้าที่นำเข้าที่ USFDA เชื่อว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของสหรัฐอเมริกา (Import Alert) การประกาศ Import Alert เป็นวิธีการของ USFDA ในการแจ้งเจ้าหน้าที่ของตนที่ประจำอยู่ที่ด่านตรวจต่างๆ ให้ทราบว่าจะจัดการกับสินค้าดังกล่าวอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ปกติที่มีการออกประกาศฯ เป็นประจำของ USFDA ที่จะเตือนและให้มีการกักกันสินค้าจากผู้ส่งออก/ผู้ผลิต ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีสารอันตรายปนเปื้อนหรือไม่ได้มาตรฐานตามที่ FDA กำหนด การออกประกาศเตือน (Import Alert) มิได้มีเหตุเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การประกาศ Import Ban ประเทศผู้ส่งออกแต่อย่างใด โดยเหตุผลหลักที่สินค้าถูกระบุ Import Alert แบ่งเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ สินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยที่ USFDA กำหนด และระบบการควบคุมการผลิตของโรงงานไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัยของกฎระเบียบ HACCP (21 CFR 123.3) ทั้งนี้ การประเมินระบบ HACCP ของ USFDA จะประเมินจากเอกสารคู่มือคุณภาพที่โรงงานส่งให้และมีระบบการสุ่มตรวจโดยการส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจ ณ โรงงานผู้ผลิตเป็นครั้งคราว หลังจากถูกประกาศขึ้น List แล้ว การจะหลุดจาก List ได้ผู้ผลิต/ผู้ส่งออก ต้องมีการพิสูจน์ตนเอง หมายความว่า หากพบว่าระบบการควบคุมการผลิต (HACCP) ไม่ได้มาตรฐาน โรงงานต้องจัดทำเอกสารเพื่อพิสูจน์ว่ามีการควบคุมตามข้อกำหนด ในกรณีสินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานฯ USFDA จะสุ่มตรวจสินค้าที่เข้ามาใหม่โดยต้องไม่มีปัญหาใดๆ อีกอย่างน้อย 5 Shipments แล้วจึงทำการยื่นเรื่องต่อ USFDA ขอถอดถอนรายชื่อตนจาก List ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาประกาศรายชื่อประเทศผู้ส่งออกใน Import Alert เลขที่ 16-120 กว่า 40 ประเทศ และมีโรงงานในรายชื่อดังกล่าวกว่า 200 โรงงาน

สุดท้ายนี้ อธิบดีกรมประมง เน้นย้ำให้ผู้ส่งออกของไทยเคร่งครัดปฏิบัติตามกฎระเบียบของ USFDA เพื่อให้สินค้าของตนเป็นไปตามเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนด และสามารถส่งออกไปขายสหรัฐอเมริกาได้ และขอให้ประชาชนผู้บริโภคอย่าเพิ่งวิตกกังวลต่อกรณีดังกล่าว

Hitec Food Equipment ย้ายสำนักงานแห่งใหม่ 29 ตุลาคม 2561

สมุทรปราการ, 29 ตุลาคม 2561 – บริษัท ไฮเทค ฟู๊ด อีควิปเมนท์ จำกัด ได้ดำเนินการย้ายสำนักงานแห่งใหม่ ทั้งนี้ ลูกค้าผู้มีอุปการคุณและผู้ผลิตทุกท่านสามารถติดต่อบริษัทฯ ได้ที่ 1970, 1971, 1972 หมู่ 1 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 10270 โทรศัพท์ 0 2026 3543, 0 2117 3658 โทรสาร 0 2117 3659 เว็บไซต์ www.hitec-th.com ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2561 นี้เป็นต้นไป

Relocation Announcement of Hitec Food Equipment
Samut Prakan, 29 October 2018 – Hitec Food Equipment Co., Ltd. is going to relocation to its new office from 29 October, 2018 onwards. Valuable customers and suppliers can contact Hitec Food Equipment at the new address; 1970,1971,1972 Moo 1, Samrong Nuea, Muang Samutprakarn, Samutprakarn, 10270 Thailand. Tel: +(66)2-026-3543, +(66)2-117-3658 Fax: +(66)2-117-3659 Website: www.hitec-th.com

วันไข่โลก 2561” ย้ำกินไข่ทุกวัน กินได้ทุกวัย มุ่งส่งเสริมคนไทยกินไข่ 300 ฟอง/คน/ปี

Getting into the spirit of things: Brits set to spend nearly £420 million on Halloween in 2018

It’s that time of year again, when the nation takes great delight in scaring friends and neighbours. New Mintel research forecasts that Brits will spend a spooktacular £419 million on Halloween this year, up by 5% from £400 million in 2017.
Keen to be a part of the Halloween spectacle, a fang-tastic half (52%) of all Brits splashed out on Halloween in 2017, rising to 85% of parents of under fives. But according to Mintel research, the generation most set on scaring their friends and neighbours are young Millennials, 77% of whom splashed out on the Halloween extravaganza in 2017.
A quarter (25%) of Halloween purchasers spent between £10-£25 on Halloween last year, while around the same number (24%) spent £10 or less. Meanwhile, a fearless 17% spent between £26-£50.
A highlight in many Brits’ calendars, 56% of Halloween spenders say they enjoy taking part in Halloween activities. But while many Brits love the thrill of Halloween celebrations, a thrifty 43% of Halloween purchasers say the cost of holding one puts them off hosting.
Across the UK, the regions most likely to take part in creepy inspired celebrations include the North East/North West and East Midlands, where 56% of consumers indulged in Halloween purchases in 2017. Meanwhile, those in the South East/East Anglia are the least likely to partake in ghoulish goings-on, as just 45% bought Halloween merchandise in 2017.
Chana Baram, Retail Analyst at Mintel, said “Halloween continues to grow in popularity benefiting from the booming leisure market, and is a perfect opportunity for retailers to create experiences for customers. Once again, sales are set to increase as retailers dedicate more shelf space and merchandise to this key seasonal event. Food and drink prices have been rising over the summer months; as this is the biggest category for Halloween, we expect it will help boost sales. There has also been an increase in events and Halloween dedicated stores this year, as well as increased focus on more high value items such as makeup and fashion. A number of supermarkets also have Halloween party ideas featured on their websites, including money saving tips such as cooking Halloween-inspired recipes from scratch and ways to decorate homes, in an effort to inspire consumers on a budget to celebrate as well.”
Brits keep Halloween trick-or-treaters sweet, Keeping it sweet, chocolates and sweets were a firm Halloween favourite in 2017, with 40% of Brits having treated their spooky visitors to these items last year. While for many traditionalists no Halloween is complete without a pumpkin, only a fifth (18%) of Brits bought one last year, rising to 24% of those living in the South West and 33% of 25-34s. Around one in seven (15%) Brits spent money on fancy dress, while 14% splashed out on decorations and 11% purchased special food and drink for the home.
“Confectionery is the biggest purchase for Halloween and even those who do not take part in the celebrations are likely to buy sweets or chocolates for any visiting trick-or-treaters. We are also seeing more evidence of retailers promoting some everyday products as being appropriate for Halloween. Fashion and beauty retailers are doing this by putting outfits together that can double up as a costume idea, or makeup that is perfect for creating a Halloween look. This has proved a very effective way to entice Millennial consumers, in particular, who are buying more beauty products for Halloween.” Adds Chana.
A green Halloween, Traditionally a season for orange and black, today’s environmentally friendly Brits are keen to stay green, as some 75% of Halloween spenders say they would reuse Halloween costumes/decorations. Looking to up their game, 40% of Halloween purchasers use social media for inspiration. Finally, for half (50%) of Halloween purchasers, shopping for the big night is a last minute affair.
“As sustainability continues to dominate the headlines, it has become a big part of many retailers’ strategies. An overwhelming majority of consumers would like to reuse their Halloween items, as they become more informed about and wary of today’s throwaway culture. There is therefore room for retailers to sell more robust products, while highlighting the fact that they can be reused.” Concludes Chana.

Jojo Mendoza appointed Managing Director of Krones Filipinas Inc.

Philippines, 1 September 2018 – Krones Filipinas Inc. announces the arrival of Jojo Mendoza, in the company’s position of Managing Director. Jojo brings to his new role, a wealth of business management experience from over 17 years in the food and water industry sector where he specialised in process technologies within the food and water operations. As such, Jojo is well equipped and skilled in leading the Krones subsidiary serving the Philippines market and the Krones Group looks forward to the further development of the local liquid food market with Jojo at the helm of its Philippines team.

Krones Filipinas, Inc. is the subsidiary of the Krones Group and its offices are located in Taguig City, Philippines. The subsidiary aims to position itself closer to its customers thereby more responsively serving its customers in Philippines by offering a local contact point, faster trouble-shooting capability, and also delivering a quality service in the local language and currency.

Krones AG is a German packaging and bottling machine manufacturer. It is the world’s leading manufacturer of lines for filling beverages in plastic and glass bottles or beverage cans. The company manufactures stretch blow-moulding machines for producing polyethylene terephthalate (PET) bottles, plus fillers, labellers, bottle washers, pasteurisers, inspectors, packers and palletisers. Krones product portfolio is complemented by material flow systems and process technology for producing beverages, plus syrup kitchens, for clients like breweries, dairies and soft-drink companies. Krones earned 3.69 million euro revenue in 2017, with stable growth of 10% in order intake. Revenues and performance are expected to increase further in 2018.

“โคคา-โคลา” จับมือ “ดอยคำ” ร่วมสนับสนุนเกษตรกรไทย

กรุงเทพฯ, 8 ตุลาคม 2561 – กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ประกอบด้วย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความร่วมมือกับบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ร่วมสนับสนุนผลผลิตในประเทศ ด้วยการใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทยที่ผ่านการคัดสรรคุณภาพจากดอยคำ มาเป็นส่วนผสมในสองผลิตภัณฑ์ใหม่จากน้ำผลไม้พร้อมดื่มมินิทเมด ได้แก่ มินิทเมด น้ำมะเขือเทศผสมเนื้อส้ม และมินิทเมด น้ำรสเสาวรสผสมน้ำผึ้งและมะนาว โดยเป็นความร่วมมือครั้งแรกของโคคา-โคลาในอุตสาหกรรมน้ำผลไม้พร้อมดื่มไทย ที่ชูความแกร่งของมินิทเมด ในฐานะแบรนด์น้ำผลไม้อันดับหนึ่งของโลก และดอยคำ ในฐานะแบรนด์น้ำผลไม้ซึ่งดำเนินกิจการเพื่อสังคมที่ผู้บริโภคมอบความรักและความวางใจให้เป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย ที่ร่วมกันนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่มที่มีส่วนผสมจากน้ำผลไม้แท้ รสชาติถูกปากคนไทยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ตอบรับเทรนด์สุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง

นายพรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า “โคคา-โคลา ไม่เพียงดำเนินธุรกิจโดยรับฟังความต้องการของผู้บริโภคเป็นสำคัญ แต่ยังมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนในทุกประเทศที่มีการดำเนินธุรกิจ การได้ร่วมมือกับบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ในการส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเกษตรกรชาวไทย โดยที่น้ำผลไม้พร้อมดื่มมินิทเมด ซึ่งเป็นแบรนด์น้ำผลไม้อันดับหนึ่งของโลก ทำการจัดหาสินค้าจากผู้ผลิตในท้องถิ่น (Local ingredient source) นำมาผสมผสานกับน้ำส้มนำเข้าจากมินิทเมด ซึ่งคัดสรรจากแหล่งคุณภาพ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์มินิทเมด น้ำมะเขือเทศผสมเนื้อส้ม และมินิทเมด น้ำรสเสาวรสผสมน้ำผึ้งและมะนาว ยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย”

จากเทรนด์สุขภาพที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง โคคา-โคลา จึงเดินหน้านำเสนอนวัตกรรมเครื่องดื่มที่ช่วยขยายพอร์ตโฟลิโอให้สนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภค ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทย และสะท้อนการเป็นบริษัทเครื่องดื่มเต็มรูปแบบอย่างแท้จริง

จากข้อมูลที่ได้รับจากดัชนีค้าปลีกของเดอะนีลเส็นคอมปะนี (ประเทศไทย) แบรนด์น้ำผลไม้พร้อมดื่มมินิทเมดครองส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 11.5 ของตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มในประเทศไทยที่มีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท และภายใต้ความร่วมมือนี้ โคคา-โคลา จะทำการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร คือ มะเขือเทศ และเสาวรส จากเกษตรกรส่งเสริมของดอยคำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำผลไม้พร้อมดื่ม มินิทเมด สองรสชาติใหม่

นายพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด กล่าวว่า “ดอยคำ เป็นหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบกิจการเพื่อสังคมมากว่าครึ่งศตวรรษจวบจนปัจจุบัน อันเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงก่อตั้ง บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ด้วยแนวคิด “เกษตรเพื่อชุมชน ผลิตผลเพื่อคนไทย” มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการส่งมอบผลิตผลทางการเกษตรที่มีคุณภาพ และถือเป็นความภาคภูมิใจของดอยคำ ทั้งน้ำมะเขือเทศ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ในตลาด และน้ำเสาวรส ที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภค โดยความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นการส่งเสริมภาคการเกษตรของประเทศ และที่สำคัญคือจะทำให้เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความกินดี อยู่ดี อย่างยั่งยืน สมดังพระราชปณิธานของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 พระผู้ทรงก่อตั้งบริษัทฯ”

ร่วมยินดีเกียรติยศแห่งความสำเร็จ ประธานคณะกรรมการบริหาร เครือเบทาโกร

กรุงเทพฯ, ตุลาคม 2561 – นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร (ที่ 3 จากขวา) นำคณะผู้บริหารเครือฯ ร่วมด้วย รศ. ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ที่ 4 จากขวา) แสดงความยินดีในโอกาสที่นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร เครือเบทาโกร เข้ารับพระราชทานปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเร็ว ๆ นี้

สมาคมโสมเกาหลีให้การรับรองคุณภาพโสมเกาหลีผ่านงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ

โซล เกาหลีใต้, 27 กันยายน 2561 – สมาคมโสมเกาหลี เผยแพร่ข้อมูลเอกสารเพื่อยืนยันถึงความเป็นเลิศของโสมเกาหลี ในโอกาสที่ทางสมาคมเตรียมจัดเทศกาลโสมในระหว่างวันที่ 5-28 ตุลาคม 2561 ตามเมืองสำคัญทั่วประเทศเกาหลีใต้

จากการวิจัยโดยศูนย์วิจัยอุตสาหกรรมโสม มหาวิทยาลัยจุงอัง เมื่อปี 2555 รายงานว่า เมื่อศึกษาเปรียบเทียบโสมเกาหลีกับโสมจากญี่ปุ่น แคนาดา และจีน โสมเกาหลีมีสารออกฤทธิ์หลัก 6 ชนิด ได้แก่ G-Rb2, G-Rh1, Ge, G-Rg1, G-Rf และ Se ในระดับที่สูงกว่า นอกจากนี้ ในปี 2560 องค์การพัฒนาชนบทของเกาหลีใต้ยังได้เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยระยะเวลา 10 ปี ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ถึงสรรพคุณของโสมเกาหลี

ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ไม่มีความผิดปกติทางด้านสติปัญญาจำนวน 90 ราย ได้รับประทานผงโสมปริมาณ 3 กรัม เป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งหลังจากนั้น พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองได้รับคะแนนจากการทดสอบด้านการมองเห็นและความสามารถในการจดจำสูงเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการทดลอง

ขณะที่ผู้เข้าร่วมการทดลองซึ่งไม่มีความผิดปกติทางสติปัญญาจำนวน 70 ราย ได้รับประทานผงโสมปริมาณ 3 กรัม เป็นเวลา 12 สัปดาห์ เมื่อนำระดับความเครียดของผู้เข้าร่วมการทดลองมาวิเคราะห์ พบว่ามีคุณภาพในการนอนหลับเพิ่มขึ้น และความกังวลลดลงถึงร้อยละ 48.1

สำหรับการทดลองกับสัตว์ ปรากฏว่าระดับของ ALT (Alanine aminotransaminase) และ AST (Aspartate aminotransferase) ซึ่งจะเพิ่มขึ้นในภาวะตับล้มเหลวนั้น ลดลงถึงร้อยละ 38.7 และ 31.9 ตามลำดับ

โสมสดที่คงสภาพเดิมจะมีความชื้นมากกว่าร้อยละ 75 ซึ่งโดยปกติโสมสดจะถูกนำไปอบแห้งและชงเป็นชา ผสมกับนมและน้ำผึ้ง หรือนำไปใช้ในการประกอบอาหาร อาทิ ผักแช่เย็น กิมจิ และไก่ตุ๋น

นายฮัน ผู้บริหารจากสมาคมโสมเกาหลี กล่าวว่า “โสมเกาหลีได้รับการพิสูจน์และการยอมรับจากการวิจัยต่างๆ ว่ามีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันภาวะตับวาย ลดระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันริ้วรอย เราขอแนะนำให้รับประทานโสมที่ยังไม่แปรรูป เราคาดหวังว่านักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะให้ความสนใจในเทศกาลโสม ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-28 ตุลาคม 2561 นี้ ตามเมืองสำคัญทั่วประเทศเกาหลีใต้”

ธ.ก.ส. จับมือเบทาโกร เพิ่มศักยภาพเกษตรกรโครงการฟาร์มจ้างเลี้ยงและประกันราคา สร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

กรุงเทพฯ, กันยายน 2561 – ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จับมือ เบทาโกร เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้แก่เกษตรกร ตามโครงการสนับสนุนสินเชื่อและพัฒนาระบบฟาร์มจ้างเลี้ยงและประกันราคา เพื่อยกระดับการผลิตและการบริหารจัดการที่ทันสมัย โดยได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจว่าด้วย “โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming)” ระหว่าง ธ.ก.ส. กับ บริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม จำกัด และ บริษัท ไทยเอส พี เอฟ โปรดักส์ จำกัด ในเครือเบทาโกร ณ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ บางเขน เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้าผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตรภายใต้ระบบฟาร์มจ้างเลี้ยงและประกันราคา ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน และเพิ่มศักยภาพการผลิตของเกษตรกรสู่ความยั่งยืนและทันสมัย ยกระดับมาตรฐานคุณภาพและประสิทธิภาพการผลิต ภายใต้ยุทธศาสตร์ในการเพิ่มขีดความสามารถภาคการเกษตรของประเทศ

นายศรายุทธ ยิ้มยวน ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ.2560 ซึ่งสนับสนุนระบบการผลิตหรือการบริการทางการเกษตรระหว่างผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรและผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมตั้งแต่ 10 รายขึ้นไป หรือกับสหกรณ์การเกษตร หรือวิสาหกิจชุมชน ที่มีเงื่อนไขการผลิต จำหน่าย หรือรับจ้างผลิต หรือการบริการทางการเกษตร โดยเกษตรกรตกลงที่จะผลิตหรือจำหน่าย ตามจำนวน ราคา หรือระยะเวลาที่กำหนดไว้ และผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตรก็ตกลงที่จะซื้อผลิตผลดังกล่าวพร้อมจ่ายค่าตอบแทนตามที่ได้ทำสัญญาไว้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ช่วยลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสให้เกษตรกรได้พัฒนาองค์ความรู้ด้านการผลิตและเทคโนโลยีสมัยใหม่ จากผู้ประกอบการที่ร่วมทำสัญญา เพื่อนำมาพัฒนาการผลิตให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงกับความต้องการของตลาด ทั้งนี้ ในส่วนของ ธ.ก.ส. เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดพื้นที่เป้าหมาย และสนับสนุนสินเชื่อให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ โดยเตรียมวงเงินไว้กว่า 2,000 ล้านบาท ตลอดจนให้ความรู้และประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวแก่เกษตรกร

นางศิริวรรณ อินทรกำธรชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร เครือเบทาโกร กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์ เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและเติบโตอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนให้เกษตรกรมีธุรกิจฟาร์ม เป็นการเพิ่มโอกาสการจ้างงาน ช่วยพัฒนาภาคการเกษตรและปศุสัตว์ซึ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฟาร์มจ้างเลี้ยงและประกันราคากับเครือเบทาโกร จะได้รับคำแนะนำ ดูแล ในด้านวิชาการและการบริหารจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สัตว์ที่เลี้ยงในฟาร์มมีคุณภาพตามมาตรฐานและมีตลาดที่แน่นอน ผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าอาหารที่มีคุณภาพสูงขึ้น มีมาตรฐานและปลอดภัย ที่สำคัญช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของภาวะราคาสินค้าปศุสัตว์ในตลาด ทำให้เกษตรกรมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถสืบต่อธุรกิจไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้ในอนาคต การที่เครือเบทาโกรได้รับความช่วยเหลือจาก ธ.ก.ส. เพื่อสนับสนุนโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมและพัฒนาระบบการจ้างเลี้ยงและประกันราคาในครั้งนี้ จึงเป็นการตอบสนองต่อกลุ่มเกษตรกรผู้ประกอบธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์โดยตรง เพราะทำให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ถือเป็นการช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในซัพพลายเชนของอุตสาหรรมเกษตรและอาหาร เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายในการส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัยให้เข้าถึงผู้บริโภค

MULTIVAC Builds New Center of Excellence for Slicers and Automation Solutions

Wolfertschwenden, 28 September 2018 – As part of an official ceremony, the Directors of MULTIVAC Hans-Joachim Boekstegers (CEO), Guido Spix (CTO and COO) and Christian Traumann (CFO) turned the first spadeful of earth for the construction of a new building complex in Wolfertschwenden. It is intended primarily for the new Slicer Business Unit. The floor space of more than 17,000 square metres will also create 180 high-quality office workstations as well as conference and function rooms, which will be capable of being used very flexibly. The investment amounts to around 35 million euros. Completion is planned for 2020.

“The new building complex is designed as an Application Center for our Slicing Solutions Business Unit, which is now seeing very encouraging development in our new business sector. In future automated packaging lines will be commissioned here as well,” explains Hans-Joachim Boekstegers. “We have successively expanded our product range in recent years to include process equipment upstream and downstream of the packaging procedure. By founding the Slicer Business Unit, we have taken an important strategic step in the direction of ‘Better Processing’.”

The production space on the ground floor of the new Building 16 will be around 7,500 square metres. Building 17 will house the new Slicer Application Center as well as a reception area and an additional company restaurant, which will extend over two floors. In addition to this, a total of 180 high-quality office workstations will be created on the third floor, while versatile conference and function rooms will be housed on the top floor.

In the Application Center the range of services on offer for slicers will be similar to those in the existing Training and Innovation Center (TIC), namely sample production and machine demonstrations as well as a wide range of training programs for the MULTIVAC slicers and slicer lines. “We have designed the Application Center in such a way, that our customers will find themselves in an environment, which reflects the real conditions in their own production sites,” says Hans-Joachim Boekstegers. “There our customers will be able to experience the complete process chain live: this will extend from the demonstration of the various slicers handling a wide range of products, through to the presentation of different loading solutions downstream of the slicer, and right up to the actual packaging procedure itself. It will be possible to carry out individual trials with customers’ own products as well as testing the slicing solutions for feasibility, output, return on investment, give-away and other critical factors.”

A large number of guests took part in the ceremony, including Karl Fleschhut, Mayor of Wolfertschwenden. The MULTIVAC Group has approximately 5,600 employees worldwide, with some 2,100 based at its headquarters in Wolfertschwenden. The production site in the Allgäu region of Germany currently comprises more than 72,000 square metres in total. In the early part of 2018 new production areas for the Traysealer Business Unit were completed, as well as additional office space for the Control Technology department, covering a total of around 4,000 square metres.