NFI เปิดตัวแอพพลิเคชัน Thai Halal ช่องทางตรวจสอบและโปรโมทผลิตภัณฑ์ฮาลาล

กรุงเทพฯ, 21 ธันวาคม 2560 –

สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน Thai Halal ได้แล้ววันนี้ทั้งบน iOS และ Android ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ฮาลาลได้ทันทีเพียงกรอกเลขที่รับรองฮาลาล หรือสแกนคิวอาร์โค้ด/บาร์โค้ดของผลิตภัณฑ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งเป็นช่องทางใหม่ให้ผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิต โดยเฉพาะเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนสามารถนำผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ผ่านการรับรองฮาลาลมาโปรโมทผ่านแอพพลิเคชันนี้ได้อีกด้วย โดยใช้ฐานข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสถาบันอาหาร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาฐานข้อมูลสนับสนุนการพัฒนาฮาลาลไทย ต่อยอดจากการจัดทำเว็บไซต์ www.thaihalalfoods.com ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกด้านอาหารฮาลาลมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าภายใต้การดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ซึ่งนอกจากจะมีการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการกลุ่มหลักคือเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชุนเพื่อเข้าสู่ระบบมาตรฐานอุตสาหกรรมฮาลาลแล้ว สถาบันอาหารยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพการตลาดฮาลาลไทยสู่สากล โดยก่อนหน้านี้ได้พัฒนาฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการพัฒนาฮาลาลไทยผ่านการจัดทำเว็บไซต์ www.thaihalalfoods.com เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกด้านอาหารฮาลาลให้บริการแก่ภาคธุรกิจและผู้ที่สนใจ อาทิ ข้อมูลสถิติการค้า รายงาน บทวิเคราะห์ งานวิจัยตลาด หลักการและแนวทางปฏิบัติการใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาล ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การเป็นผู้ประสานงานให้ผู้ประกอบการที่ต้องการขอรับรองฮาลาลกับสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ด้านอุตสาหกรรมของประเทศในอนาคต

“วันนี้เราได้พัฒนาแอพพลิเคชัน Thai Halal ขึ้นมา ทั้งระบบ iOS และ Android เพื่อให้ผู้บริโภคที่ดาวน์โหลดมาใช้ สามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ฮาลาลได้ทันทีว่าได้รับการรับรองฮาลาลจริงหรือไม่ โดยการใส่ข้อมูลเลขที่รับรองฮาลาล หรือสแกนบาร์โค้ด หรือคิวอาร์โค้ดของผลิตภัณฑ์ จะปรากฎข้อมูลวันที่ขอรับรอง และวันหมดอายุ หากข้อมูลผลิตภัณฑ์ยังไม่เข้าระบบจะแจ้งให้ตรวจสอบเพิ่มเติมที่สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ Thai Halal ยังเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชนสามารถนำผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ผ่านการรับรองฮาลาลมาโปรโมทผ่านแอพพลิเคชันนี้ได้อีกด้วย โดยกรอกข้อมูลใบรับรองฮาลาล ข้อมูลผลิตภัณฑ์ และข้อมูลผู้ผลิต รอการตรวจสอบและอนุมัติตามลำดับ ทั้งนี้จะใช้ฐานข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสถาบันอาหาร ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันอาหาร โทร. 02-422-8688 ต่อ 3203, 3204”

อนึ่ง สถานการณ์การผลิตรวมทั้งการรับรองอาหารฮาลาลของไทยนั้น พบว่าผู้ประกอบการมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับตลาดฮาลาลมากขึ้น โดยฝ่ายกิจการฮาลาล สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่ได้รับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลกว่า 5,000 บริษัท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีสถานประกอบการในประเทศที่ขอรับการรับรองฮาลาล 2,188 ราย หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40 ต่อปี ในภาพรวมส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนรวมกันสูงถึงร้อยละ 90 (ผู้ผลิตอาหารร้อยละ 72 ร้านอาหารร้อยละ 13 โรงเชือดและชำแหละเนื้อสัตว์ร้อยละ 3 และผู้นำเข้าอาหารร้อยละ 2 โดยประมาณในปี 2554) ส่วนที่เหลืออื่นๆ อีกร้อยละ 10 เป็นผู้ประกอบการที่ผลิตและนำเข้าสินค้าอุปโภค เช่น ผู้ผลิตเครื่องสำอาง ยาสีฟัน ยาหรือสมุนไพร เป็นต้น ปัจจุบันคาดว่ามีผลิตภัณฑ์ที่ขอรับการรับรองฮาลาลสูงกว่า 100,000 รายการ เพิ่มขึ้นจาก 64,588 รายการในปี 2554 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อปีโดยประมาณ

ตลาดเอเชียเป็นตลาดอาหารฮาลาลที่มีศักยภาพในการส่งออกสูงสุด จากสัดส่วนประชากรชาวมุสลิมที่มีอยู่ค่อนข้างสูงร้อยละ 32.6 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในภูมิภาค โดยมาเลเซียได้ตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางฮาลาลของโลก (Global Halal Hub) ภายในปี 2563 โดยมีแนวทางการพัฒนาธุรกิจฮาลาลของประเทศแบบองค์รวม ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ประกอบกับการสร้างระบบนิเวศฮาลาล (Halal Ecosystem) ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ของประเทศอย่างเต็มที่ ทั้งการจัดทำมาตรฐานฮาลาล การให้สิทธิประโยชน์และแรงจูงใจต่างๆ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับผู้ประกอบการในอุทยานฮาลาล (Halal Park) และผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ฮาลาลหรือที่เกี่ยวข้อง การลดหย่อนภาษีสองเท่าสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพื่อขอการรับรองมาตรฐานฮาลาล เป็นต้น

www.nfi.or.th

ไบโอเวกกี้ แบรนด์ผักแปรรูปสัญชาติไทย ธุรกิจเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ด้วย Thaitrade.com

ความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดของ “ไบโอเวกกี้” แบรนด์ผักแปรรูปสัญชาติไทย หลังจากเข้าร่วมเป็นผู้ขายบนเว็บไซต์ Thaitrade.com ด้วยการวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบ และมีตลาดออนไลน์ที่สนับสนุนผู้ประกอบการไทย ส่งผลให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างเหนือความคาดหมาย

คุณวิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เปิดเผยว่า แม้การเริ่มต้นทำธุรกิจด้านปิโตรเลียมจะไม่เกี่ยวข้องกับด้านอาหาร แต่ด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการปรับประยุกต์ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้กับสินค้าประเภทอาหาร ประกอบกับสินค้าเกษตรที่ล้นตลาด ทำให้เลือกที่จะแปรรูปพืชผักให้สามารถเก็บรักษาได้ยาวนานขึ้น โดยใช้เครื่องจักรถนอมอาหาร ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแปรรูปอาหารแห้ง ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่คิดค้นโดยผู้บริหารที่เป็นนักวิศวกร นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการอาหาร โดยใช้ระยะเวลาคิดค้นกว่า 5 – 6 ปี

จากนั้นจึงได้จัดตั้ง บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เพื่อรับซื้อพืชผลทางการเกษตร ซึ่งจุดเริ่มต้นของธุรกิจเกิดจากการเริ่มทดลองแปรรูปพืช ผัก ผลไม้มาเรื่อยๆ จึงตัดสินใจนำผักชนิดต่างๆ จากมูลนิธิโครงการหลวงมาแปรรูป โดยการอบแห้งแล้วผ่านกระบวนการจนกลายมาเป็นผักอัดเม็ด ซึ่งเป็นวิถีการถนอมอาหารที่เก็บรักษาไว้ได้นานถึง 2 ปี เพื่อให้ผู้บริโภคได้กินผักด้วยวิธีที่สะดวก อีกทั้งยังได้รับคุณประโยชน์ของสารอาหารจากผักสดในรูปแบบเม็ด โดยส่วนผสมในผักอัดเม็ดประกอบไปด้วยพืชพันธุ์ทั้ง 12 ชนิด ได้แก่ พริกหวาน แครอท มะเขือเทศ หัวหอมญี่ปุ่น ฟักทองญี่ปุ่น กะหล่ำม่วง บีทรูท ผักโขม เฟนเนล เซอเลอรี่ พาร์สเล่ย์ และบร็อคโคลินี ซึ่งล้วนเป็นผักจากมูลนิธิโครงการหลวงที่มีไฟเบอร์และสารอาหารสูง โดยหลังจากนำมาแปรรูปเป็นผักอัดเม็ดแล้ว สินค้าจะต้องคงคุณค่าของสารอาหาร และมีคุณประโยชน์ใกล้เคียงกับผักสดมากที่สุด

ต่อมาในปี 2555 ไบโอเวกกี้ ได้รับรางวัลอันดับ 1 จาก 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมด้านกระบวนการผลิตสินค้าในโครงการ “ไบโอเวกกี้ วิตามินรวมจากผักเมืองหนาว” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการหาช่องทางทางด้านการตลาดของบริษัท แต่ด้วยข้อจำกัดทางการเงินจากการเป็นธุรกิจ SMEs ขนาดเล็ก ส่งผลให้การประชาสัมพันธ์ทางสื่อกระแสหลักเป็นไปอย่างยากลำบาก บริษัทจึงเน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยใช้กลยุทธ์แบบบอกต่อ (Word of Mouth)

จนกระทั่งได้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ Thaitrade.com โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเนื่องจากต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่รับประทานผักอัดเม็ดเพื่อสุขภาพ โดย Thaitrade.com เป็นเว็บไซต์ B2B E-Marketplace อีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารกับชาวต่างชาติเป็นหลัก และมองว่า Thaitrade.com มีความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะการทำการค้ากับชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้ลูกค้ามั่นใจในการสั่งซื้อสินค้า เพราะได้รับการรับรองความน่าเชื่อถือโดยรัฐบาลไทย ซึ่งล่าสุดในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีลูกค้าต่างประเทศติดต่อเพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ในประเทศเกาหลี โดยมีปัจจัยด้านความเชื่อมั่นในการติดต่อ และความน่าสนใจของข้อมูลสินค้าบนเว็บไซต์ Thaitrade.com

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น 1) จะต้องเข้าใจในสินค้าของตัวเอง มีการวางแผนเป้าหมายสูงสุดของสินค้า เช่นเดียวกับสินค้าผักอัดเม็ดเรามีเป้าหมายที่จะทำการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันสามารถส่งออกสินค้าผักอัดเม็ดไปยังแถบอาหรับ และแถบยุโรป โดยได้ลูกค้ารายใหม่บนเว็บไซต์ Thaitrade.com 2) ต้องมีการเตรียมความพร้อมเรื่องมาตรฐานโรงงานการผลิต GMP และ HACCP ซึ่งช่วยสร้างความพร้อมให้กับผู้ประกอบการในการจัดจำหน่ายสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศ 3) ต้องมีความใส่ใจ โดยเฉพาะเรื่องอาหารซึ่งต้องคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นอันดับแรก ส่วนผสมจะต้องสะอาด ปลอดภัยและสร้างคุณประโยชน์ให้กับผู้บริโภค อย่างผักอัดเม็ดจะต้องไร้สารเคมี ปลอดภัย รู้แหล่งที่มา ก่อนผลิตสินค้าต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อให้สินค้าเป็นไปตามกระบวนการมาตรฐานการผลิต และ 4) ต้องมีทุนในการลงโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เป็นที่รู้จัก

ปัจจุบันผักอัดเม็ดแบรนด์ไบโอเวกกี้ มีช่องทางการจัดจำหน่ายตามร้านค้าชั้นนำ อาทิ เช่น Se-ed Book, Watsons, 7-11, Family Mart, Golden Place และร้านค้าชั้นนำอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังต่างประเทศทั้งแถบอาหรับ ยุโรป และเอเชีย โดยการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าผ่านเว็บไซต์ Thaitrade.com ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ และรับการรับรองความน่าเชื่อถือโดยรัฐบาลไทย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครเป็นสมาชิกผู้ขายบนเว็บไซต์ Thaitrade.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ DITP Call Center 1169 หรือ อีเมล์ contact@thaitrade.com

www.thaitrade.com

สถาบันอาหาร ทำ MOU กับคณะกรรมการกลางอิสลามฯ ส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล

25 ธันวาคม 2560 –

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในประเทศไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มประเทศมุสลิมและนานาประเทศ โดยจะร่วมกันพัฒนาบุคลากรด้านวิชาการ ด้านมาตรฐานกิจการฮาลาล และด้านการวิจัยและพัฒนา

ทั้งนี้ ขอบเขตความร่วมมือดังกล่าว ได้แก่ การเผยแพร่ความรู้ ข้อมูล ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับกิจการและมาตรฐานฮาลาลแก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภค การสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในด้านเทคโนโลยีการผลิต ระบบบริหารจัดการองค์กร การวิเคราะห์ตรวจสอบ เพื่อยกระดับการผลิตและการบริการอาหารให้สอดคล้องตามหลักการศาสนาอิสลาม และเทียบเท่ามาตรฐานสากล การเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ฮาลาลของประเทศ การตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ฮาลาลทางด้านเคมี ชีวภาพ และกายภาพ ตามความสามารถของห้องปฏิบัติการของสถาบันอาหาร และร่วมกันพัฒนาแนวทางการตรวจวิเคราะห์ด้วยวิธีใหม่ที่เห็นชอบร่วมกัน เป็นต้น

www.nfi.or.th

67 บริษัทไทยรับตรา T Mark การันตีสินค้าคุณภาพระดับสากล

18 กันยายน 2560 – กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark (T Mark) ให้แก่ 67 องค์กรธุรกิจไทย เจ้าของสินค้าและบริการคุณภาพมาตรฐานสากล ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์ วันที่ 18 กันยายน 2560 โดยได้รับเกียรติจากนายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธี เพื่อการันตีคุณภาพระดับสากลของสินค้าและบริการ หวังช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ไทยในตลาดต่างประเทศ พร้อมสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่าได้รับสินค้าและบริการคุณภาพสากลทำด้วยใจคนไทยอย่างแท้จริง

นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เวทีการค้าโลกในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมาก ผู้ประกอบการแต่ละประเทศต่างมีกลยุทธ์การตลาดเพื่อสร้างความได้เปรียบและจุดขาย เพื่อ
กุมหัวใจของผู้บริโภคให้ได้ ซึ่งผู้บริโภคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและบริการ รวมถึงยังสนใจเรื่องความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ด้วยตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจึงจัดทำตราสัญลักษณ์ T Mark ขึ้นมา เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ว่า สินค้าและบริการที่ได้รับตราสัญลักษณ์นี้มาจากประเทศไทย มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลและเชื่อถือได้ เนื่องจากบริษัทที่ได้รับตราสัญลักษณ์ T Mark ต้องมีมาตรฐานด้านต่างๆ ตรงตามเกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการ ได้แก่ กระบวนการผลิต การใช้แรงงาน ความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริษัทจะต้องขอต่ออายุการใช้ตราสัญลักษณ์นี้ทุกๆ 3 ปี ดังนั้นจึงหมายความว่าจะต้องรักษาคุณภาพมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากต้องมีการประเมินทุกๆ 3 ปี

“สินค้าและบริการไทยได้รับการยอมรับและเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างประเทศส่วนใหญ่อยู่แล้ว โดยกรมฯ พบว่า ตรา T Mark ช่วยให้ผู้บริโภคชาวต่างชาติตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เพราะพวกเขามั่นใจว่าสินค้าและบริการเหล่านี้ผลิตอย่างพิถีพิถันในเมืองไทย และมีคุณภาพดี”

สำหรับปีนี้ มีบริษัทผ่านการคัดเลือกได้รับตราสัญลักษณ์ T Mark รวมทั้งสิ้น 67 บริษัท แบ่งเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร 20 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมหนัก 14 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์ 12 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น 2 บริษัท และกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป 19 บริษัท โดยบริษัทที่ได้รับตราสัญลักษณ์สามารถ
นำตราสัญลักษณ์ไปติดบนสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของตราสินค้า และความน่าเชื่อถือในคุณภาพของสินค้าในกลุ่มผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ยังได้รับสิทธิประโยชน์อื่น อาทิ ได้รับการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในสื่อต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ ตลอดจนรับการสนับสนุนเพื่อพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจ และได้รับการพิจารณาเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เป็นลำดับแรก อาทิ การเข้าร่วมในงาน T Mark Festival การประชาสัมพันธ์ในนิตยสารระดับโลก การร่วมสร้างศักยภาพด้านการสร้างแบรนด์และพัฒนาสินค้ากับกิจกรรม T Mark Training Series และเข้าร่วมกิจกรรม Road to Shanghai ให้คำปรึกษาวางแผนธุรกิจเพื่อบุกตลาดลักชัวรี่ในประเทศจีน เป็นต้น

ทั้งนี้ ตราสัญลักษณ์ T Mark จัดทำโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2555 เพื่อตอกย้ำจุดแข็งและสร้างความโดดเด่นอย่างมีเอกลักษณ์แก่สินค้าและบริการจากประเทศไทย ซึ่งมีคุณภาพที่ทั่วโลกไว้วางใจ (Trusted Quality) ในทุกมิติ ได้แก่ กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล ใช้แรงงานอย่างเป็นธรรม (Fair Labour) การผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental Concern) มีความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) และที่สำคัญคือคุณภาพที่เกิดจากความมุ่งมั่นตั้งใจลงมือ “ทำด้วย ใจ” ของผู้ประกอบการ (Heartmade Quality)

ในปี 2560 มีบริษัทผลิตสินค้าและบริการของไทยได้รับตราสัญลักษณ์ T Mark รวม 763 บริษัท โดยมี 2 ประเภทหลัก คือ สินค้า ได้แก่ สินค้ากลุ่มอาหาร อุตสาหกรรมหนัก ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น สินค้าทั่วไป และธุรกิจบริการ ได้แก่ กลุ่มส่งเสริมสุขภาพ การศึกษานานาชาติ และธุรกิจบริการรักษาพยาบาล

www.thailandtrustmark.com

“โฟร์โมสต์” จับมือ “นักโภชนาการ” ชวนคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ทำความรู้จัก “กรดอะมิโนจำเป็น และโอเมก้า 369” สารอาหารตัวช่วยสำคัญเพื่อพัฒนาการสมองของลูกน้อยให้เติบโตสมวัย

เพราะ “สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญที่บรรจุเอากลไกในการควบคุมร่างกายไว้อย่างมหาศาล การทำงานของร่างกายทุกอย่างในตัวเรามาจากการทำงานของสมอง และทราบหรือไม่ว่า? สมองมีการทำงานตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุด คือ ช่วงหลังคลอดจนถึง 6 ปีแรก และ “โภชนาการ” คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้สมองของเด็กสามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพตามวัย ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ “โฟร์โมสต์” จึงได้จับมือ “นักโภชนาการ” แนะเทคนิคการเลือกอาหาร พร้อมชวนทำความรู้จักสารอาหารสำคัญ “กรดอะมิโนจำเป็น และโอเมก้า 369” ที่จะช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยให้มีพัฒนาการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

คุณพิมจันทร์ วิมุกตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพราะหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของโฟร์โมสต์ที่ยึดถือมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี คือ การมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์น้ำนมโคคุณภาพสูงมาตรฐานโกลด์สแตนดาร์ดของเนเธอร์แลนด์ ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ครอบครัวคนไทยแข็งแรงเต็มร้อย ซึ่งจากการสำรวจทางการตลาดพบว่า ในทุกๆ ปีอัตราการบริโภคนมของคนไทยขยายตัวสูงขึ้นทั้งในกลุ่มเด็ก และกลุ่มผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้โฟร์โมสต์จึงได้มีการคิดค้นสูตรและออกผลิตภัณฑ์นมอย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำเรื่องสารอาหารจากน้ำนมที่ครบถ้วน และเหมาะสมกับผู้บริโภคในทุกช่วงวัย จนสามารถครองความเป็นแบรนด์ชั้นนำในใจผู้บริโภคชาวไทยเสมอมา”

โดยล่าสุดในโอกาสที่ “โฟร์โมสต์” ก้าวสู่ปีที่ 60 จึงได้เปิดตัว “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” ผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มยูเอชทีที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญเพื่อพัฒนาการสมองของลูกน้อย ทั้ง “โอเมก้า 369 (Omega 369)” กรดไขมันจำเป็นชนิดไม่อิ่มตัวที่ช่วยในเรื่องของการสร้างเครือข่ายใยประสาทในสมองของเด็ก ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญาและสมาธิที่ดี และ “กรดอะมิโนจำเป็น (Amino Acid) ทั้ง 9 ชนิด” ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที โดยจะช่วยในเรื่องของการควบคุมกลไกภายในร่างกาย ทั้งระบบภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญไขมัน การเติบโตของระบบประสาทและความจำ การทำงานของกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นต้น ให้สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ

ด้าน คุณแววตา เอกชาวนา นักกำหนดอาหารวิชาชีพ กล่าวว่า “อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าสมองของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ จนถึง 6 ขวบแรกนั้นเจริญเติบโตรวดเร็วมาก ทั้งขนาดและกระบวนการทำงานของสมอง ซึ่งตั้งแต่ 1-6 ขวบ สมองจะเติบโตถึง 90% และเซลล์ในสมองจะสร้างการเชื่อมโยงเข้าหากันทีละเล็กละน้อย เปรียบเสมือนการวางโครงสร้างอาคาร ที่ค่อยๆ ต่อเติมไปทีละส่วน ฉะนั้นหากสมองเติบโตได้สมบูรณ์จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างมหาศาล อาทิ เด็กในวัยเพียง 1-6 ขวบนั้น สามารถเรียนรู้ภาษาพร้อมๆ กันได้ถึง 7 ภาษา ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าที่จริงสมองเด็กเรียนรู้ภาษาพูดได้ถึง 5,000 ภาษาเลยทีเดียว”

“นม” นับว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าสำหรับเด็กและคนทุกวัย และเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญมาก มีปริมาณโปรตีนสูงและเป็นโปรตีนคุณภาพดีไม่ด้อยไปกว่าโปรตีนที่ได้รับจาก ไข่ เนื้อสัตว์ และถั่ว นอกจากนี้ในน้ำนมยังอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย อาทิ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส แลคโตส วิตามินเอ วิตามินบีสอง วิตามินซี น้ำ และเกลือแร่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ โอเมก้า 369 (Omega 369) และกรดอะมิโนจำเป็น (Amino Acid) ซึ่งจากผลวิจัยพบว่าในนมแม่จะมีกรดอะมิโนครบถ้วนต่อเด็กมากที่สุด ตามมาด้วยนมโคและนมแพะ ส่วนนมที่มีโปรตีนน้อยที่สุดคือนมจากพืช แต่อย่างไรก็ตามเด็กในวัยกำลังเจริญเติบโตควรรับประทานอาหารอย่างเพียงพอ ให้ครบทั้ง 5 หมู่ เมื่อเห็นว่าลูกกินได้น้อย คุณพ่อคุณแม่ควรจัดอาหารระหว่างมื้อมาเพิ่ม แต่ต้องไม่บ่อยจนรบกวนอาหารมื้อหลัก และอาหารต้องไม่มีรสชาติหวานจัด เพราะจะทำให้ลูกไม่อยากอาหารได้ อย่าติดสินบนเพื่อให้เด็กยอมกินอาหาร จะทำให้เด็กติดนิสัยและไม่ยอมกินเมื่อไม่มีของมาแลกเปลี่ยน และพยายามอย่าบังคับ ขู่เข็ญ ให้เด็กกินอาหาร เพราะจะทำให้รู้สึกไม่ดีต่อการกินและไม่อยากกิน จะกลายเป็นคนกินยากไปแทน

www.foremostforlife.com

พาณิชย์เดินหน้าส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 จัดงาน Thailand Innovation and Design Expo 2017

14 กันยายน 2560 – กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ในงาน Thailand Innovation and Design Expo 2017 (T.I.D.E. 2017) งานแสดงสินค้านวัตกรรมและการออกแบบครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย เผยเป็นงานที่มีความสำคัญต่อผู้ผลิตสินค้าและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งในปัจจุบันจะต้องผลิตสินค้าด้วยนวัตกรรมความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความแปลกใหม่น่าสนใจและเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ให้เป็นที่ยอมรับและเกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในระดับสากล และเพื่อสร้างความยั่งยืนของสินค้าและบริการผ่านความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ โดยในปี 2560 มีผลงานด้านนวัตกรรมและการออกแบบมาร่วมจัดแสดงกว่า 1,000 ชิ้นงาน

นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงผลงาน Startup พื้นที่ค้าปลีก พื้นที่เจรจาธุรกิจ นิทรรศการของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่ได้รวบรวมเอาผลงานที่ได้รับรางวัล และโครงการที่โดดเด่น อาทิ Design Excellence Award (DEmark), Thailand Trust Mark (T – Mark) และที่สำคัญเป็นไฮไลท์คืองานสัมนาให้ความรู้โดย MICHAEL I. WAITZE ผู้เชี่ยวชาญด้าน startup และวริน ธนทวี แห่ง Cordesign ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ Klank ลำโพงดีไซน์ ที่ได้ไปรับรางวัลชนะเลิศในระดับนานาชาติ และวิทยากรอีกหลายท่าน ซึ่งจะมาให้ความรู้ตลอดการจัดงาน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน Thailand Innovation and Design Expo 2017 (T.I.D.E. 2017) ได้กล่าวว่า “การจัดงานครั้งนี้ถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แผนพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้เป็นที่ยอมรับและเกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในระดับสากล เพื่อสร้างความยั่งยืนของสินค้าและบริการผ่านความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ ในมาตรฐานการผลิตและเป็นที่ยอมรับในเอกลักษณ์อันโดดเด่น ด้วยการเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเสริมศักยภาพสินค้าและบริการของไทยให้เป็นที่ต้องการในตลาดโลก

เป้าหมายของการดำเนินยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 คือการขับเคลื่อน 5 กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย 1) กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ 2) กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการ 3) กลุ่มเครื่องมือ อุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม 4)กลุ่มดิจิตอล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อ และบังคับอุปกรณ์ต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว 5) กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปรับเปลี่ยนปัญหาให้เป็นศักยภาพ และโอกาสในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้เป็นรูปธรรม อาทิ การเปลี่ยนจากปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) ให้เป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ (Active Aging Society) การพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ การยกระดับเมือง ให้เป็น smart city เป็นต้น เพราะคนไทยเรามีวัฒนธรรมและรากฐานของความเป็นนักสร้างสรรค์อยู่ในตัวอยู่แล้ว สิ่งที่เราจำเป็นต้องเร่งหาทางตอบโจทย์ความต้องการในยุคปัจจุบันและอนาคตให้ได้ โดยการใส่ความคิดสร้างสรรค์ ดีไซน์ เทคโนโลยีเข้าไปในผลิตภัณฑ์และงานบริการ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถหลุดจากกับดักรายได้ปานกลางให้ได้

ในส่วนของงาน T.I.D.E 2017 ในปีนี้ได้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ซึ่งภายในงานได้รวบรวมผลงานนวัตกรรมและงานออกแบบที่โดดเด่นจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนกว่า 1,000 ราย เพื่อจัดแสดงผลงานด้านการออกแบบ ผลงานด้านนวัตกรรมของไทย ผลงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผลงานที่ได้รับรางวัล/เครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนด้านนวัตกรรมและการออกแบบทั่วประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพด้านการออกแบบและนวัตกรรมของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ เป็นเวทีในการเชื่อมโยงผู้ผลิต นักออกแบบ และผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมกับนักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออก อันจะทำให้เกิดโอกาสในการขยายธุรกิจและขยายตลาดสินค้าและบริการที่มีการออกแบบและนวัตกรรม

พร้อมทั้งได้เชิญผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ จากยุโรปหลายประเทศมาแบ่งปันความรู้ในการสัมมนา European Innovation : Lessons for Thailand และ Co–Create the Future : Building a culture of Innovation เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของภาคเอกชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับทิศทางของแนวโน้มในการผลิตสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรม และการออกแบบสำหรับตลาดต่างประเทศ” นายสนธิรัตน์ กล่าว

โดยในส่วนของกิจกรรมภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจคือการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) และการบริการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบและสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม และที่เป็นไฮไลท์ก็คือ MICHAEL I. WAITZE ผู้เชี่ยวชาญด้าน startup และ วริน ธนทวี แห่ง Cordesign ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ Klank ลำโพงดีไซน์ ซึ่งไปรับรางวัลชนะเลิศในระดับนานาชาติ และวิทยากรอีกหลายท่าน ที่จะเดินทางมาให้ความรู้ตลอดการจัดงาน

www.thailandinnodesign.com

สสว.- สถาบันอาหาร จับคู่ธุรกิจให้คลัสเตอร์มะพร้าวที่เวียดนาม

เวียดนาม, 2 ตุลาคม 2560 – สสว. ร่วมกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จัดเจรจาจับคู่ธุรกิจ SME คลัสเตอร์มะพร้าวจาก 26 เครือข่ายของไทยกับเทรดเดอร์ 47 บริษัทที่เวียดนาม ชี้น้ำมันมะพร้าวและเจลน้ำมันมะพร้าวในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้รับความนิยมสูง เผยเวียดนามขาดแคลนโรงงานแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์มะพร้าว แนะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญลงทุนเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออก
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เผยความคืบหน้าล่าสุด ภายใต้การดำเนินการโครงการสนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2560 ในกลุ่มอุตสาหกรรมมะพร้าว ตามที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (สสว.) ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้นำคณะผู้ประกอบการสมาชิกคลัสเตอร์มะพร้าวที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 26 ราย จากหลายจังหวัด อาทิ หนองคาย ร้อยเอ็ด นครนายก นครสวรรค์ เลย นครราชสีมา สระบุรี ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฏร์ธานี พังงา สตูล และปัตตานี เป็นต้น เดินทางไปประเทศเวียดนาม ณ นครโฮจิมินห์ เพื่อศึกษาโอกาสการลงทุนในเขตอุตสาหกรรมจังหวัดบิงห์เยือง สำรวจตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ รวมถึงตลาดท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ตลาดเบนถั่น (Ben Thanh) พร้อมเยี่ยมชมบริษัท BETRIMEX ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปมะพร้าวที่มีชื่อเสียง และเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับบริษัทนำเข้าและค้าส่งของเวียดนามรวม 47 บริษัท
“น้ำมันมะพร้าว และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวของไทยในรูปของเจลน้ำมันมะพร้าวในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ดูแลผิวและเส้นผม ได้รับความสนใจค่อนข้างมาก นอกจากเทรดเดอร์จะจำหน่ายในประเทศเวียดนามแล้ว ยังส่งออกไปตลาดจีนและประเทศอื่นๆ ด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างรอรวบรวมคำสั่งซื้อ คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท เมื่อรวมกับการจับคู่ธุรกิจที่จีน ไต้หวัน และตลาดในประเทศก่อนหน้านี้ ประเมินว่าจะมียอดสั่งซื้อรวมกันไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาทในปีแรก” นายยงวุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้เวียดนามจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลูกและส่งออกมะพร้าวมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่มูลค่าการส่งออกมะพร้าวของเวียดนามต่ำกว่า 3 – 5 เท่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เนื่องจากอุตสาหกรรมแปรรูปมะพร้าวของเวียดนามเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงยังมีไม่มาก จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารจะใช้ความได้เปรียบจากแหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์ ค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าไทย นโยบายของรัฐบาลเวียดนามที่ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA ที่เวียดนามได้ลงนามไว้ พิจารณามาตั้งโรงงานแปรรูปมะพร้าวในเวียดนามได้อีกทางหนึ่ง นอกจากส่งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไทยเข้าไปจำหน่ายเท่านั้น

ดีเคเอสเอช ประเทศไทย เน้นให้การเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการใช้ชีวิตแก่เด็กนักเรียน ใน จ.สุราษฏ์ธานี ผ่านกิจกรรม ‘วันเล่น’

27 กันยายน 2560, กรุงเทพฯ – เด็กนักเรียนจำนวน 90 คน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการทำงานร่วมกัน การจัดการด้านอารมณ์ การตั้งเป้าหมาย รวมทั้งทักษะการใช้ชีวิตอื่น ๆ ผ่านกิจกรรม “วันเล่น” หรือ Play Day ซึ่งจัดโดยบริษัทดีเคเอสเอช กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อพัฒนาชีวิตของเด็กไทยภายใต้ธีม “ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449” หลังจากมีการจัดกิจกรรม “วันเล่น” ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ และเชียงใหม่ รวมทั้ง งานเพื่อการกุศล หรือ DKSH Charity Day ณ กรุงเทพมหานคร พนักงานของเรากว่า 11,000 คนและคู่ค้าทางธุรกิจได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่มีประโยชน์นี้อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ

www.dksh.com

เบทาโกรตอกย้ำแนวคิด “เพื่อคุณภาพชีวิต” ประกาศนโยบาย สวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เพื่อผู้บริโภคมั่นใจ จากสัตว์สุขภาพดี สู่ผู้บริโภคสุขภาพดี

นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือเบทาโกร เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา เบทาโกรให้ความสำคัญและมุ่งมั่นก้าวเป็นผู้นำในเรื่องการผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูง (Food Quality) และปลอดภัย (Food Safety) สำหรับผู้บริโภคทุกระดับ “คุณภาพ” แบบเบทาโกร มีความเข้มข้นในระดับที่เรียกว่าถ้าสิ่งนั้นไม่ดีจริง จะไม่ยอมให้ออกสู่ภายนอกไปถึงมือผู้บริโภค (Uncompromising Quality) ซึ่งองค์ประกอบที่ทำให้เกิด Uncompromising Quality มาจาก คนคุณภาพ (Excellent People) โดยเบทาโกร มุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกระดับ ทำให้พนักงานมีความรู้ ความสามารถ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และกระบวนการควบคุมคุณภาพ (Excellent Process) ได้แก่ Betagro Quality Management 24/7 โดย หลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของเครื่องมือการจัดการด้านคุณภาพดังกล่าวนี้ด้วย
ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจปศุสัตว์มาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 40 ปี เบทาโกรได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสายพันธุ์สุกร ซึ่งถือเป็นต้นทางของการผลิตสุกรให้มีคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการผลิต การควบคุมมาตรฐานและคุณภาพ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน อีกสิ่งหนึ่งที่เบทาโกรให้ความสำคัญคือการคำนึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์ที่ดี โดยมีนโยบายที่ชัดเจน และริเริ่มหลากหลายโครงการที่ยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงและการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีคุณธรรม ครอบคลุมทุกขั้นตอนการผลิต และสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ ได้แก่ การนำหลักสวัสดิภาพสัตว์ขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organisation for Animal Health: OIE) มาตรฐานหลักปฏิบัติและกฎระเบียบของสหภาพยุโรป มาประยุกต์ใช้ เป็นต้น รวมถึงให้ความสำคัญดำเนินตามมาตรฐานที่เข้มข้นตามที่ลูกค้ากำหนด นอกจากนี้ ทีมบุคลากรยังประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการอบรมด้านสวัสดิภาพสัตว์จากหลายสถาบันระดับโลก เช่น มหาวิทยาลัยบริสทอล ประเทศอังกฤษ
ปี พ.ศ. 2558 เครือเบทาโกร ได้ร่วมมือกับองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) เป็นรายแรกในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ในโครงการยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ รวมถึงลักษณะของสุขภาพสัตว์ที่เกี่ยวข้องในการผลิตสุกรและสัตว์ปีก จากการทำงานร่วมกันตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี ทำให้เบทาโกรตัดสินใจประกาศยกเลิกการเลี้ยงแม่สุกรแบบยืนซองภายหลังคลอดและซองคลอดเป็นรายแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเปลี่ยนมาเป็นระบบการเลี้ยงแบบรวมกลุ่มและคอกคลอด เพื่อให้สุกรในฟาร์มสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลดภาวะเครียด และสามารถแสดงออกถึงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าครบทุกฟาร์มในเครือฯ ภายในปีพ.ศ.2570 ซึ่งจะมีจำนวนแม่สุกรไม่ต่ำกว่า 250,000 แม่ ได้รับการปรับปรุงด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่ดีขึ้น
“เราเชื่อว่าสัตว์ในฟาร์มควรมีคุณภาพชีวิตที่ดี การเลี้ยงหมูแบบรวมกลุ่ม มีพื้นที่เคลื่อนไหวได้มากขึ้น จะทำให้หมูเครียดน้อยลง ทำให้ลูกสุกรหย่านมมีน้ำหนักที่ดีกว่าการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มอย่างไม่ถูกต้องโดยเฉพาะการเลี้ยงที่หนาแน่นเกินไปหรือเลี้ยงในพื้นที่ที่จำกัดไม่เป็นธรรมชาติ จะส่งผลให้สัตว์เกิดความเครียด พฤติกรรมต่างๆ การทำงานของร่างกาย เช่น ภูมิคุ้มกันและสุขภาพของสัตว์จะแย่ลง มักเป็นต้นเหตุของการใช้ยาปฏิชีวนะในอัตราที่สูง ส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหาร และมีผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค” นายวนัสกล่าว
นางสุภาภรณ์ ลาสต์ ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับเบทาโกรมาในตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เพราะเราเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงการเลี้ยงสุกรให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เบทาโกรมีแนวคิดและมีความมุ่งมั่นในการเลี้ยงสุกร ไม่เพียงให้ได้มารตฐานสากลเท่านั้น แต่ยังให้ความสนใจในการพัฒนาและปรับปรุงการเลี้ยงสุกรให้ได้รับสวัสดิภาพที่ดี ทำให้สุกรมีคุณภาพชีวิตก่อนนำส่งถึงมือผู้บริโภค ดังนั้นจึงเป็นข่าวดีที่เบทาโกรได้ประกาศยกเลิกการเลี้ยงสุกรแบบยืนซองภายหลังคลอด มาเป็นระบบการเลี้ยงแบบกลุ่ม โดยองค์กรฯ เชื่อมั่นว่าเป็นนิมิตหมายอันดีต่ออนาคตของสุกรที่เลี้ยงในระบบฟาร์ม เพราะจะส่งผลทำให้ผู้ประกอบการรายอื่น รวมถึงผู้บริโภคหันมาใส่ใจแหล่งที่มาของเนื้อหมูมากขึ้น นั่นหมายถึงสุกรนับแสนในแต่ละปีจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น
ส่วนองค์กรฯ ก็ได้รณรงค์ให้ผู้บริโภคเข้าใจและหันมาใส่ใจในแหล่งผลิตของเนื้อหมู พร้อมกับรณรงค์ให้ผู้ผลิตเลี้ยงสุกรอย่างมีคุณภาพ ให้ความสำคัญในเรื่องสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของสุกร (Raised with Care) รวมถึงกระตุ้นผู้จัดจำหน่ายให้เพิ่มจำนวนและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เนื้อหมูที่ถูกเลี้ยงอย่างมี สวัสดิภาพที่ดีให้แก่ผู้บริโภค เพราะเนื้อหมูที่ดีนั้นมาจากหมูสุขภาพดี

www.betagro.com