Category: What’s In

เส้นทางสายไหมประเทศไทย: ปักหมุดไทยบนเวทีโลก

โดย:
ดร.ไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ
Paisan Maraprygsavan, Ph.D.
Director
Industrial and Service Trade Research Division
Trade Policy and Strategy Office
Ministry of Commerce
paisan711@gmail.com

Full article TH-EN

ประเทศไทยมีเส้นทางสายไหมที่เรียกว่าระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor; NSEC) และตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor; EWEC) เชื่อมโยงกับเส้นทางสายไหมของจีนที่ต่อไปยังยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง และทำนองเดียวกันก็เชื่อมโยงไทยกับระเบียงเศรษฐกิจอินเดียที่สามารถทะลุไปยังอ่าวเปอร์เซียโดยผ่านท่าเรือมุมไบได้ อีกทั้งไทยยังมีโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ที่จะเป็นฐานการผลิตให้กับนักลงทุนทั่วโลก เพื่อกระจายสินค้าไปสู่ประเทศในเส้นทางสายไหม เช่น จีน อินเดีย ยุโรป และอาเซียนได้โดยใช้เวลาไม่มาก

นอกจากนั้น ความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกยังเกื้อกูลต่อการเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านการค้าโลกของไทยด้วย ในปัจจุบันพลวัตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มเคลื่อนตัวมาทางเอเชียมากขึ้นเป็นลำดับ โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank; ADB) คาดการณ์ว่าในอีก 3 ทศวรรษข้างหน้าจะเป็นยุคทองของเอเชีย (Asian Century) โดย ADB ได้ประมาณการณ์ว่าในปี 2593 สัดส่วน GDP ของเอเชียจะมีขนาดร้อยละ 52 ของ GDP โลก (เทียบกับปัจจุบันที่เอเชียมีสัดส่วนร้อยละ 32) ทั้งนี้ คาดว่าเอเชียตะวันออก อินเดีย และอาเซียน จะมีสัดส่วนมากกว่าเอเชียอื่นๆ โดยมีจีน อินเดีย และอาเซียนเป็นจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อน ในขณะที่ประเทศไทยมีข้อเด่นในการเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจใหญ่อย่างจีน อินเดีย และอาเซียน

เส้นทางสายไหมทางบกของจีนที่เน้นด้านการขนส่งทางรถไฟนั้น ปัจจุบันรถไฟจีนสามารถส่งสินค้าจีนสู่ประเทศรายทางในเส้นทางสายไหม เช่น คาซัคสถาน รัสเซีย เบลารุส โปแลนด์ เยอรมนี เบลเยียม ฝรั่งเศส และสิ้นสุดที่กรุงลอนดอนได้แล้ว โดยเส้นทางนี้ยังได้แยกไปเชื่อมกับเอเชียใต้และตะวันออกกลางด้วย ส่วนทางใต้ก็ตัดตรงมาถึงพรมแดนจีน-ลาว และในอนาคตจะเชื่อมมาถึงไทยและอาเซียน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าไทยสามารถกระจายสู่ 64 ประเทศบนเส้นทางสายไหมจีน ซึ่งมีประชากรราว 4,400 ล้านคน มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และมีสัดส่วน GDP ราวร้อยละ 40 ของโลก

Thailand’s silk road combines the North-South Economic Corridor (NSEC) and the East-West Economic Corridor (EWEC), which links to the Chinese silk road to Europe, Africa, the Middle East, and Indian to Persian Gulf via Mumbai port. Thailand had also launched the Eastern Economic Corridor (EEC), which serves as the main manufacturing base for foreign investors who wish to distribute their goods to markets along the silk road such as China, India, Europe, and ASEAN, in a short period of time.

Moreover, the global economic paradigm that shifts towards Asia has facilitated Thailand’s ambition in becoming a strategic location. The Asian Development Bank (ADB) predicts that the next 3 decades will be the Asian Century, and Asia’s GDP ratio will be accounted for 52% of the world by 2050 (compare to 32% now). It also adds that East Asia, India, and ASEAN will gain the biggest share. While China, India, and ASEAN act as the main engine. Here, Thailand holds a key advantage as a main hub linking 3 major economies; China, India, and ASEAN, together.

China’s land silk road that focuses on railway now allows the world’s giant economy to distribute its good to the countries along the route such as Kazakhstan, Russia, Belarus, Poland, Germany, Belgium, and France, before the train stops in London. This particular route also links with South Asia and the Middle East. Its southern branch, which cut through the border between China and Lao PDR, will eventually links to Thailand and ASEAN. Thus, Thailand will be able to distribute its goods to 64 countries located along the silk road, which are home to more than 4,400 million population (more than half of the world) and control around 40% of the global GDP.

มุ่งมั่นสร้างพื้นฐานองค์ความรู้ในการเพิ่มผลิตภาพโดยไม่ละทิ้งเรื่องความปลอดภัยปี 2 จังหวัดชลบุรี

Full article TH-EN

Food Focus Thailand Roadshow 2019: Productivity & Safety Roadshow # 2 Chon Buri
26 April 2019 @ Ambassador City Jomtien Pattaya, Chon Buri

งานสัมมนา “Productivity & Safety Roadshow” ครั้งที่ 2 จังหวัดชลบุรี ได้รับเกียรติจากกูรูแห่งวงการอุตสาหกรรมอาหารร่วมเดินทางไปให้ความรู้แบบเต็มกำลังทั้ง “เพิ่มผลิตภาพ” โดยคุณวุฒิพงศ์ บุญนายวา ผู้จัดการส่วนบริหารการผลิต สถาบันเพิ่มผลิตแห่งชาติ และ “เพิ่มความปลอดภัย” โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษกมล ณ จอม ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปิดท้ายสัมมนาด้วยกิจกรรมจากผู้ร่วมจัดแสดงสินค้าและลุ้นรับของรางวัลต่างๆ ภายในงาน

พิกัดต่อไป…เราจะเดินทางไปที่ “จังหวัดเชียงใหม่”…เตรียมพบความรู้และความสนุกสนานกันได้ภายในงานสัมมนา Food Focus Thailand Roadshow 2019: Productivity & Safety Roadshow # 3 ในวันพุธที่ 26 มิถุนายน 2562 ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ จังหวัดเชียงใหม่

Food Focus Thailand Roadshow 2019: Productivity & Safety Roadshow # 2 Chon Buri
26 April 2019 @ Ambassador City Jomtien Pattaya, Chon Buri

Hit the road with Food Focus Thailand! The 2nd edition of “Productivity & Safety Roadshow” held in Chon Buri with the food industry professional speakers in “Boost Productivity” by Mr.Wuttipong Boonnaiva, Production Management Department Manager from Thailand Productivity Institute and “Better Food Safety” by Assistant Professor Kriskamol Na Jom, Ph.D. from Department of Food Science and Technology, Faculty of Agro-Industry, Kasetsart University. Moreover, participants also had a chance to check out various products showcased in the event, participate in activities and win the prize.

The 3rd destination of this year is “Chiang Mai” @ Holiday Inn Hotel, Chiang Mai. Shall we meet in the next edition, Food Focus Thailand Roadshow 2019: Productivity & Safety Roadshow # 3 on Wednesday 26th June 2019.

 

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Internet of Things ในภาคอุตสาหกรรม…เหตุใดแอพพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือจึงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นสำหรับภาคอุตสาหกรรม

By: Paulo Jorge de Almeida
System Engineer Mobile Computing
Ecom

Translated By: กองบรรณาธิการ
นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Internet of Things ในภาคอุตสาหกรรม หรือ Industrial Internet of Things (IIoT) นั้นเป็นการรวมช่องว่างจากการเชื่อมต่อระหว่างคน เครื่องจักร โรงงาน โลจิสติกส์ สินค้า ตลอดจนการรวมกระบวนการและระบบต่างๆ ไว้ด้วยกันโดยมีสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เซ็นเซอร์ และระบบสมาร์ท HMI ที่เป็นสิ่งสำคัญขั้นพื้นฐานต่างๆ ของยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ในภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่แท้จริงและมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของโซลูชันการสื่อสารไร้สายและระบบดิจิทัลนั้นเกิดขึ้นจากการผสานรวมแอพพลิเคชันระดับมืออาชีพทั้งหลายไว้ด้วยกัน ซึ่งไม่เพียงแต่สำหรับขั้นตอนการผลิตแต่ยังครอบคลุมทั้งตลอดการสร้างคุณค่าในห่วงโซ่กิจกรรมต่างๆ

อีกขั้นของการทำงานร่วมกัน
ปัจจุบันบริษัททางด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งยังคงใช้เทคโนโลยีที่ล้าสมัยในการวางแผน ดำเนินการ บริหารจัดการ และควบคุมกระบวนการทางธุรกิจของพวกเขา พนักงานไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในระหว่างการดำเนินงานและขาดทางเลือก การรับรอง หรือเป็นเพราะความเคยชิน (เราเคยทำกันมาแบบนี้) ทำให้งานที่รับผิดชอบหลายๆ อย่างยังดำเนินไปโดยใช้คลิปบอร์ดและกระดาษ วิธีการที่ล้าสมัยเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นและความไม่คล่องตัวในการดำเนินธุรกิจเพราะทำให้เกิดข้อผิดพลาดและไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีประเด็นทางด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงานที่ทำงานผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลาแม้ออกไปข้างนอกสถานที่

ทั้งนี้ ผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมจึงมักมีอุปกรณ์แบบพกพาทางด้านอุตสาหกรรมที่มีความปลอดภัยทั้งแบบสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต1 สำหรับพนักงาน ผู้เชี่ยวชาญ ทีมงาน และกลุ่มโปรเจคต่างๆ โดยจะใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชันด้านอุตสาหกรรมได้อย่างมืออาชีพสำหรับการทำงานในพื้นที่ที่มีอันตรายและปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วว่องไวมากขึ้น ในขณะที่สร้างผลตอบแทนจากการปรับเปลี่ยนขั้นตอนทำงานที่มีความยืดหยุ่นและการยอมรับในอนาคต การทำงานร่วมกันบนอุปกรณ์โทรศัพท์แบบพกพานั้นจึงเป็นยิ่งกว่าโทรหาเพื่อนร่วมงานเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยยังทำให้ผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถทำงานของเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในทุกที่ทุกเวลา รวมถึงจัดการกับข้อมูลสำคัญทางธุรกิจได้ในมือแบบเรียลไทม์

The Industrial Internet of Things (IIoT) gathers pace by connecting people, machines, plants, logistics, products as well as processes and systems. Smartphones, tablets, sensors and smart HMI systems form the cornerstones of this new technological age in the industry. However, the real advantage and added value of digital and mobile solutions emerge from the integration of a wide range of professional applications. They streamline not only a production step, but a whole value-added chain.

Next Step: Collaborative Working
Many industrial companies with extensive terrain or explosive areas today continue to use outdated technologies to plan, execute, manage and control their business processes. Employees are not well integrated in the flow of information and due to a lack of alternatives, certifications or purely out of habit (“we’ve always done it this way”), many tasks are still being performed with clipboard and paper. These archaic methods bring increased risk and inflexibility to the business, being error‐prone and inefficient. This also leads to mobile workers carrying more than they should when walking around the site, creating a potential safety issue and affecting the wellbeing of their workforce.

Therefore, many leading industry companies are likely to have leading, intrinsically safe smartphones and tablets1 for their employees, experts, teams, and project groups to use along professional industry applications in hazardous areas to work and live faster and more agile, while profiting from a step change in flexibility and future-proofing. Collaborative work on mobile devices goes even further than simply calling a colleague for assistance -it enables the “Mobile Worker” to fulfill his work efficiently and safely – at any location, at any time, and with any mission or business-critical information at hand in real time.

บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม: เทรนด์และเทคโนโลยี
4 แนวโน้มผู้บริโภค กับ 10 แนวทางการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 2019

By: นลินี ทองแท้
Nalinee Thongthae
Packaging Design Expert
naligator@gmail.com

Full article TH-EN

การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มของคนเราในยุคนี้มีข้อสังเกตที่เป็นแนวโน้มได้หลายข้อ เป็นความนิยมที่คล้ายคลึงกันของผู้คนที่ดำเนินไปตามพฤติกรรมและกระแสความนิยมของช่วงเวลา ซึ่งความนิยมนี้มาจากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตที่มากับความเจริญทางวัตถุ ความก้าวหน้าทางการศึกษา หรือความเป็นไปของเศรษฐกิจ ฯลฯ เมื่อโลกเชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เน็ต กระแสความเป็นไปของความนิยมต่างๆ มักจะถูกกระตุ้นง่ายและรวดเร็ว เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มผู้บริโภคที่ควรจับตาดูในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า

แนวโน้มเรื่องสุขภาพและความสะดวกสบาย
ในยุคสมัยที่ครอบครัวเร่งรีบแต่ยังคำนึงถึงกระแสสุขภาพและความคุ้มค่าในการลงทุน ผลิตภัณฑ์ต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสนี้ เช่น ต้องมีความพร้อมรับประทาน ต้องปรับปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคต่อครั้ง ต้องเก็บได้เมื่อรับประทานไม่หมด ต้องดีต่อสุขภาพผู้บริโภค ต้องใช้งานสะดวก และต้องสะอาด ฯลฯ

แนวโน้มเรื่องบรรจุภัณฑ์ใส่สมอง
ความต้องการในการที่จะรับรู้เรื่องผลิตภัณฑ์ในเชิงลึกของผู้บริโภค เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาบรรจุภัณฑ์เป็นไปในแนวที่จะตอบสนองและให้ข้อมูลได้ การทำบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ อาจต้องเพิ่มต้นทุน ใช้เทคโนโลยี แต่บางทีก็อาจจะคุ้มค่า เมื่อผู้บริโภคได้บรรจุภัณฑ์ที่มีความฉลาดและคอยบอกอะไร อะไรที่เป็นข้อมูล เป็นคำเตือนต่างๆ อันเป็นผลให้ได้ประโยชน์กว่าบรรจุภัณฑ์แบบธรรมดา

There are various noteworthy trends in food and beverage consumption today. The values commonly shared by people usually reflect the popular behaviors and fads of the moment, which derive from multiple factors such as ever-changing ways of life that come hand in hand with materialistic growth, improved education, or dynamics of economy. Thanks to the internet that connects the world, new buzz can easily and quickly be created, thus resulting in consequent changes in consumer trends worthy of our attention, be it now or in the future.

Wellness and Convenience Trends
Despite living their lives on a fast lane, modern families are conscious of wellness and value-for-money concepts. Products, therefore, need to catch up with the tide by stepping up to offer corresponding added values such as ready-to-consume feature, adjustment of portion suitable for one consumption, preservability for later consumption, healthy features, ease of use, hygiene, and so on.

Smart Packaging Trend
The fact that consumers crave detailed information on products contributes to the development of packaging that can provide such data to satisfy clients’ needs. This type of packaging may carry an additional cost or require a new technology, but it can be worthwhile as a smart packaging with the ability to give out an advice or a warning to consumers will be more useful than a traditional one.

 

การค้าออนไลน์-โลจิสติกส์: คู่ดูโอใหม่ยุค 4.0

โดย:

ดร.ไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ
Paisan Maraprygsavan, Ph.D.
Director
Industrial and Service Trade Research Division
Trade Policy and Strategy Office
Ministry of Commerce
paisan711@gmail.com

Full article TH-EN

ความเข้มแข็งของทั้งการค้าออนไลน์และโลจิสติกส์มีผลเกื้อกูลกันและกัน ปัจจุบันการค้าออนไลน์ของไทยมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในปี 2561 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 3.2 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 14 จากปีก่อนหน้า (ที่มา: ETDA) สูงเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ส่งผลให้โลจิสติกส์ได้รับอานิสงส์ไปด้วย โดยเฉพาะในกลุ่ม “ธุรกิจไปรษณียภัณฑ์และรับส่งสินค้า” โดยในปี 2561 มีมูลค่ากว่า 30,800 ล้านบาท ขยายตัวสูงที่ร้อยละ 11.3 จากปี 2560 ซึ่งมีมูลค่า 28,100 ล้านบาท (ที่มา: KResearch) ส่งผลให้การแข่งขันการให้บริการของผู้เล่นในตลาดมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น

จุดแข็งโลจิสติกส์ไทยที่เกื้อกูลการค้าออนไลน์
1. ไทยมีระบบเครือข่ายถนนที่ครอบคลุมกว้างขวางและมีการบำรุงรักษาที่ดี พร้อมทั้งมีการเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาค ซึ่งสามารถสนับสนุนการขนส่งทางบกได้อย่างทั่วถึงทั้งประเทศ อีกทั้งยังสามารถเอื้อต่อการค้าออนไลน์กับประเทศเพื่อนบ้านได้สะดวก (ที่มา: BOI)

2. เมื่อพิจารณาในกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยมีระดับการพัฒนาเครือข่ายการขนส่งสูงในระดับใกล้เคียงกับสิงคโปร์ (ที่มา: Fitch Solutions)

3. ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา รัฐบาลได้อนุมัติโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทั้งระบบ (งบประมาณปี 2558-2565) มูลค่าสูงถึงกว่า 51 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้เมกะโปรเจคท์ 21 โครงการ (ที่มา: BOI) ด้วยจำนวนนี้ หมายถึง การเพิ่มขีดความสามารถและคุณภาพของเครือข่ายการขนส่งของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนส่งระบบรางของประเทศ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของท้องถนนและการพึ่งพาการขนส่งผ่านเครือข่ายถนนมากเกินไป

4. ล่าสุดไทยได้มีความตกลงเชื่อมการขนส่งระบบรางกับจีน และ สปป. ลาว รวมทั้งได้มีการเปิดสะพานมิตรภาพแห่งใหม่ ไทย-กัมพูชา ณ บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท (อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว) อีกทั้งเปิดเส้นทางรถไฟคลองลึก-ปอยเปต เส้นทางรถไฟเชื่อมประเทศเพื่อนบ้านแห่งที่ 3 (แห่งที่ 1 เชื่อมมาเลเซีย แห่งที่ 2 เชื่อม สปป.ลาว) เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 เพื่อเชื่อมโยงโลจิสติกส์ในภูมิภาค

5. การค้าออนไลน์และภาคการขนส่งของไทยได้รับประโยชน์จากความพยายามของรัฐบาลในการวางตำแหน่งประเทศให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อตอบรับกับการรวมตัวของ AEC ซึ่งนับวันจะยิ่งทวีการค้าภายในกลุ่มกันมากยิ่งขึ้น

6. เครือข่ายการขนส่งโดยรวมมีการพัฒนาค่อนข้างดีและมีการเชื่อมต่อที่ดี โดยเฉพาะกับซัพพลายเชนทั่วประเทศและตลาดต่างประเทศ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน

7. การเดินเรือตามลำน้ำและชายฝั่งสามารถทำได้ตลอดปีและมีค่าใช้จ่ายต่ำในทุกภูมิภาค สามารถเป็นการขนส่งทางเลือกแก่การขนส่งทางบกที่แออัด

8. ระยะเวลาขนส่ง (Shipping lead times) และต้นทุนขนส่งมีความได้เปรียบทางการแข่งขันในภูมิภาค จะช่วยให้ดึงดูดการลงทุนด้านการผลิตมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนผลักดันให้การค้าออนไลน์ขยายตัวยิ่งขึ้น (ที่มา: BOI)

9. ปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการโลจิสติกส์ถึงกว่า 100 ราย และเมื่อพิจารณาถึงการเติบโตของการค้าออนไลน์ที่มีสูงมาก คาดว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าสู่ธุรกิจนี้มากขึ้น ก่อให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะด้านราคา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้าออนไลน์

The strengths of online commerce and logistics are reciprocal. In 2018, Thailand’s e-commerce sector grew rapidly, expanding 14% year-on-year to THB 3.2 trillion (Source: ETDA), making Thailand the biggest market in ASEAN. Consequently, the country’s logistics sector also benefits, especially in mail and delivery services. In 2018, the sector is valued more than THB 30,800 million, expanding 11.3% from THB 28,100 million in the previous year (Source: KResearch), making the competition even more intense.

The Strengths of Thai Logistics System that Support E-Commerce
1. Thailand has an integrated road network that is well maintained. The roads link to other countries in the region, making it easy to conduct deliveries for online merchandise through land transport from Thailand to its neighbouring countries. (Source: BOI)

2. Comparing to other countries in East Asia and Southeast Asia, Thailand’s transportation network development is as high as those of Singapore. (Source: Fitch Solutions)

3. Since 2014, the Thai government approved more than USD 51 billion budget for 21 land transportation mega-projects (fiscal year 2015-2022) (Source: BOI). This means the enhancement of capacity and quality of transportation network in Thailand, especially rail transportation, which will reduce congestion and excess reliance on roads.

4. Recently, Thailand agreed to connect its railway with China and Lao PDR. Ban Nong Ian-Stung Bot Friendship Bridge (Aranyaprathet district, Sa Kaeo province) is also opened, as well as a new railway from Klong Luek to Poipet on April 22, 2019. The railway is Thailand’s 3rd rail connection to its neighbouring countries (one links to Malaysia, and another links to Lao PDR), and should boost regional logistics network.

5. Thailand’s e-commerce and logistics benefit from the government’s attempt to position the country as a logistics hub in Southeast Asia in response to the integration of the ASEAN Economic Community (AEC). Within the community, internal trade is increasing intertwine.

6. Thailand’s logistics network has been well developed and well connected, linking supply chains and markets across the country to its neighbouring countries.

7. Navigation in rivers and seas can be conducted throughout the year at low costs, which can be a good alternative for congested land transportation.

8. Shipping lead times and costs in Thailand are at advantage of other countries, which can attract more investments and generate more growth for online commerce (Source: BOI).

9. Now, there are more than 100 players in Thailand’s logistics sector. Considering the growth of online stores, it is expected that more players will come in, which will intensify the competition especially for costs, thus benefit online businesses.

 

Plant-based Foods: แนวทางอาหารเพื่อสุขภาพ

โดย:
ดร.สุดาทิพย์ แซ่ตั้น
Sudathip Sae-tan, Ph.D.
Department of Food Science and Technology
Faculty of Agro-Industry, Kasetsart University
fagists@ku.ac.th

Full article TH-EN

อาหารคือหนึ่งในปัจจัยสี่ของการดำรงชีวิต การเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับทุกคน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้มีอาหารเพื่อสุขภาพหลากหลายรูปแบบออกมาเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภค และหนึ่งในรูปแบบของอาหารเพื่อสุขภาพที่นิยมในปัจจุบัน คือ Plant-based foods ซึ่งคือการรับประทานอาหารที่ส่วนประกอบทุกอย่างมาจากพืช และไม่มีการใช้ส่วนประกอบใดๆ จากสัตว์เลย

องค์ประกอบหลักใน Plant-based foods คือ ผัก ผลไม้ พืชหัว ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบหลักของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นรูปแบบของอาหารเพื่อสุขภาพที่ทั่วโลกยอมรับ ในบทความนี้เราจะกล่าวถึงประโยชน์ขององค์ประกอบแต่ละส่วนใน Plant-based foods

ผักและผลไม้
ผักและผลไม้จัดว่าเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารเมื่อเทียบกับพลังงานที่ได้รับ หรือเรียกได้ว่าเป็น Nutrient-densed foods โดยมีทั้งใยอาหาร โฟเลต โพแทสเซียม วิตามินต่างๆ และสารฟลาโวนอยด์ การศึกษาในมนุษย์หลายชิ้นพบว่าการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยผักและผลไม้จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยพบว่ายิ่งรับประทานผักผลไม้มากขึ้นจะยิ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดได้มากขึ้นด้วย

ถั่วต่างๆ
ถึงแม้ว่าในอดีตถั่วจะถูกมองว่าเป็นขนมขบเคี้ยวที่มีไขมันสูง แต่ปัจจุบันภาพลักษณ์ของถั่วต่างๆ เป็นขนมขบเคี้ยวที่มีไขมันที่ดีต่อหัวใจ ผลจากการศึกษาในมนุษย์พบว่าการบริโภคถั่วที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน

ธัญพืชไม่ขัดสี
ธัญพืช คือ อาหารพื้นฐานของหลายชนชาติ การบริโภคธัญพืชอาจจะอยู่ในรูปของธัญพืชเดิม หรือในรูปของแป้งที่ผ่านกระบวนการบด ซึ่งกระบวนการบดแป้งนอกจากจะทำให้ขนาดเล็กลงแล้ว ยังเป็นการขัดรำที่ผิวนอกของธัญพืชและจมูกของธัญพืชส่วนมากออกไป ส่งผลให้สูญเสียวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร กรดไขมันจำเป็น และสารพฤกษเคมี

นอกจากประโยชน์ของ Plant-based foods ในแต่ละองค์ประกอบที่กล่าวมาแล้วนั้น อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคสนใจรูปแบบของ Plant-based foods คือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากในกระบวนการเลี้ยงสัตว์มีการใช้ทรัพยากรอย่างมากเมื่อเทียบกับพืช ดังนั้น Plant-based foods จึงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากผู้บริโภคมีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

Food is one of four requisites for living. Consuming good food becomes important of everyone. In the recent years, there are variety of food patterns for consumers. One of the popular food patterns for health now is plant-based foods. Plant-based foods are the food pattern that all ingredients come from plants, no use of animal-based ingredient.

Main ingredients in plant-based foods are vegetables, fruits, whole grains and nuts. Such these ingredients are important of traditional Mediterranean diets, which widely known as healthy food pattern. In this article, health benefits of each component in plant-based foods will be discussed.

Fruits and Vegetables
Fruits and vegetables are considered as nutrient-densed foods since they are rich in dietary fiber, folate, potassium, vitamins and flavonoids. A number of human studies showed that higher consumption of fruits and vegetables is protective against cardiovascular diseases (CVD). Many studies showed the inverse association between intake of both fruits and vegetables and risk of coronary artery disease (CAD).

Nuts
Nuts although was considered previously as high-calories snack due to high fat content. However, nuts now have been considered as heart-healthy snack due to its good fat. A number of human studies showed that the high intake of nuts was associated with lower risk of CAD.

Whole Grains
Whole grains are staple foods in many regions. Consumption of grains may be consumed in either whole intact form or fine flours. Grinding or milling does not only produce fine flours with very small particle size but also remove the outer bran layer and most of the germ. This results in the loss of vitamins, minerals, dietary fiber, essential fatty acids and phytochemicals.

Consumers choose plant-based foods not only because of health benefits of main components in plant-based foods but also becuase of environmental concern. The use of natural resources for animal farming are much higher compared to the use in plant farming. Therefore plant-based food becomes more popular since consumers have more environmentally concern.

 

ซีพีเอฟเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร…นำงาน R&D ตอบโจทย์เทรนด์ของโลก

เรียบเรียงโดย/Compiled By:
กองบรรณาธิการ
นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ตอกย้ำการเป็น “ครัวของโลก” จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟในบริเวณพื้นที่กว่า 10 ไร่ บนถนนพหลโยธิน อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟแห่งนี้จัดตั้งขึ้นโดยใช้งบลงทุนราว 1,350 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์และแนวทางการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมทีมงานวิจัยและพัฒนาอาหารของซีพีเอฟ ซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยที่สำเร็จการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหารโดยตรง วิศวกร และเชฟ รวมกว่า 250 คน มาทำงานบูรณาการร่วมกัน เพื่อมุ่งสู่การเป็นกลุ่มวิจัยอาหารระดับโลก ศูนย์ฯ แห่งนี้นับได้ว่าเป็นใจกลางหลักของการพัฒนานวัตกรรมการผลิตอาหารเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างเหมาะสมทุกช่วงวัยกว่า 3,000 ล้านคนทั่วโลก

“เราต้องเดินไปตามกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง เพื่อดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน เราก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ ไม่ใช่เพียงมองแค่วันนี้ แต่มองไปอีกหลายสิบปีข้างหน้า เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาร่วมทีมวิจัยและรวบรวมองค์ความรู้ด้านอาหารทั้งหลาย ต่อยอดสิ่งที่รุ่นต่อรุ่นได้สั่งสมกันมา และถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง โดยเน้นการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภคด้วยการพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพที่เหมาะสมกับผู้บริโภคในแต่ละช่วงวัย รวมทั้งผู้ป่วยด้วย” คุณสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจอาหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าว พร้อมเสริมว่า นอกเหนือไปจากการพัฒนาอาหารให้มีรสชาติอร่อย สะดวกต่อการบริโภค และมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คืองานวิจัยซึ่งเกี่ยวข้องกับอาหารที่มีคุณสมบัติกินแล้วเป็นยา ช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคได้ดีขึ้น ซีพีเอฟตั้งเป้าพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพในสัดส่วนร้อยละ 30 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development; NPD) ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่สหประชาชาติกำหนด และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้กว่า 130 พันล้านบาทในปี 2562 นี้

Charoen Pokphand Foods Public Company Limited or CPF has given a prominent attention to be the “Kitchen of the World”, establishing CPF Food Research & Development Center in the area of over 10 Rai on Phaholyothin Road, Amphur Wangnoi, Phra Nakhon Si Ayutthaya province.

Approximately, THB 1.35 billion of an investment budget, CPF Food Research & Development Center exists with the objectives and guidelines to encourage CPF’s food research & development teams achieve their full capabilities. The team consists of researchers who graduated from food science and technology, engineers, and chefs. More than 250 of those people are contributing and aiming to become a world-class research team. This center is generally considered to be the core of food innovation development to suit the consumers’ needs in all ages over 3 billion people worldwide.

“We have to walk along today’s ever-changing world in order to operate the sustainable business. We founded the CPF Food Research & Development Center, not just looking at these days, but for decades to come. The center provides the new generation with opportunities to join the research team to embrace, extend knowledge on food accumulated generation upon generation and transfer to the next generations. The center has focused on the quality of life of consumers by developing healthy foods that are suitable for consumers in each age group, including patients.” said Mr.Sukhawat Dansermsuk, Chief Executive Officer (CEO) – Food Business and Co-President, CPF. He also added that other than the development of food that is tasty, convenient, and nutritious, CPF aims to develop healthy diets in the proportion of 30 percent of the New Product Development (NPD), in line with the United Nation Sustainable Development Goals. The revenue is expected to reach more than THB 130 billion in 2019.

 

เทรนด์บรรจุภัณฑ์ทั่วโลกปี 2562

By: David Luttenberger, CPP
Global Packaging Director

Benjamin Punchard, Ph.D.
Global Packaging Insights Director

Regina Maisevičiūtė-Haydon
Global Food & Drink Analyst
Mintel Group

Compiled and Translated By: กองบรรณาธิการ
นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

ในขณะที่เทคโนโลยีกำลังเชื่อมโยงและสร้างสรรค์นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ในโลกแห่งความเสมือนจริงอยู่นั้น ผู้บริโภคกลับต้องการแนวทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาแก้ไขโลกแห่งความจริงที่พวกเขาเผชิญอยู่เทรนด์ 4 เรื่องต่อไปนี้ได้รวมประเด็นสำคัญทั้งหมดของเทรนด์บรรจุภัณฑ์ระดับโลกในปีนี้ไว้ โดยครอบคลุมเรื่องการเชื่อมโยงในรูปแบบเสมือนจริง นวัตกรรมทางวิศวกรรม อีคอมเมิร์ซ และความยั่งยืน

1. บรรจุภัณฑ์แห่งการเชื่อมต่อ
เทคโนโลยีหลายรูปแบบทำให้แบรนด์เชื่อมโยงบรรจุภัณฑ์ทางรูปลักษณ์ภายนอกสู่โลกแห่งความเสมือนจริง โดยบรรจุภัณฑ์แห่งการเชื่อมต่อนั้นกำลังทำให้เห็นความน่าสนใจใหม่ๆ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของผู้ครองกรรมสิทธิ์อุปกรณ์ทางเทคนิคที่เชื่อมต่อกันทั่วโลกและความก้าวล้ำของเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมโยงบรรจุภัณฑ์สู่โลกออนไลน์ได้

2. ปิดช่องโหว่
ผู้บริโภครู้จักการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์บางชนิดมานานแล้ว และตอนนี้พวกเขาต้องการความสามารถในการรีไซเคิลที่เพิ่มมากขึ้นและเข้าใจถึงการรีไซเคิลว่าเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ดีจริงๆ

3. นวัตกรรมกล่องที่ตอบโจทย์
องค์ประกอบที่สำคัญของการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าในการค้าปลีกแบบดั้งเดิมก็คือแบรนด์และข้อความที่สื่อลงบนบรรจุภัณฑ์ด้านนอก แต่ในทางอีคอมเมิร์ซแบรนด์กำลังเรียนรู้ว่าการสื่อสารด้วยข้อความและความเป็นแบรนด์บนบรรจุภัณฑ์นั้นควรแยกออกจากกันระหว่างบรรจุภัณฑ์ชั้นที่สองหรือกล่องเพื่อการขนส่งและให้นำการตกแต่งต่างๆ ไปไว้ที่บรรจุภัณฑ์ชั้นใน

4. พอกันทีกับพลาสติก
เมื่อร้านค้าปลอดถุงพลาสติกจำหน่ายสินค้าโดยไม่ให้ภาชนะในการใส่สินค้าที่ซื้อ นักช็อปจึงจะต้องนำภาชนะไปใส่เองและซื้อสินค้าตามน้ำหนัก ลักษณะดังกล่าวช่วยให้ผู้ซื้อสามารถซื้อสินค้าตามจำนวนที่ต้องการจริงๆ เป็นการป้องกันขยะที่เกิดจากอาหารและบรรจุภัณฑ์

As technology connects and innovates packaging in the virtual world, consumers demand eco-friendly solutions to clean up the real world. The four trends encompass broader themes of virtual connection, engineering innovation, e-commerce and sustainability, providing a
full view of the global packaging industry in 2019.

1. Connected packaging
Multiple technologies are enabling brands to connect physical packaging to the virtual world. Connected packaging is seeing renewed interest, driven by growth in ownership of connected devices worldwide and advancement in technologies that can link packaging to the online world.

2. Closing the loop
Consumers have been recycling some packaging for years. But they are now demanding the ability to recycle more and to understand how recycling really works.

3. Reinventing the box
In traditional retailing, a key component of purchase consideration is branding and messaging on the exterior of a package. In e-commerce, brands are learning that messaging and branding should be split between the secondary, or shipping container, and then shifting traditional decoration and copy to the interior.

4. Plastic free
Package-free stores offer loose, unpackaged products. The shopper is required to bring along their own containers and products are bought by weight. This enables the shopper to buy just the amount of product they need, preventing food and packaging waste.

 

22 March 2019 @ Jupiter Room, Challenger Hall, IMPACT

Full article TH-EN

การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต (หรือที่เรามักจะหมายรวมเรียกว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์) เป็นการพัฒนาสินค้าใดๆ ขึ้นมาก็ตาม แล้ว “ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย” กดไลค์ถูกใจ ข้อมูลจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ในแต่ละปีมีสินค้าใหม่ๆ อวดโฉมในห้างค้าปลีกมากกว่า 20,000 รายการ แต่หลังจากที่สินค้าวางจำหน่ายได้ 39 สัปดาห์ จะมีสินค้าประมาณร้อยละ 33 ที่จุดพลุฉลองความสำเร็จ ร้อยละ 42 ยังไม่รู้ว่าจะหมู่หรือจ่า และร้อยละ 25 เรียกได้ว่าปิดฉาก

ผ่านไปกับงานสัมมนา Food Focus Thailand Roadmap # 46: New Product Ideas Edition ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาของวงการอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายท่าน ทั้งจากภาครัฐและเอกชนมาแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการ ร่วมกันค้นหาลายแทงเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ “ใหม่สุดในสามโลก” “ลบจุดด้อย เสริมจุดเด่น” รวมทั้ง “ใหม่อย่างเดียวไม่พอ ต้องลดต้นทุนแบบมือโปร” ด้วย

เทรนด์จากทั่วโลก…แสงสว่างให้งาน R&D
สามเทรนด์หลักๆ ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในช่วงเวลานี้ คือ
1. รัก (ษ์) โลก
ทุกวันนี้ ผู้บริโภคไม่ได้คาดหวังเพียงแค่คุณค่าทางโภชนาการจากผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่พวกเขาเลือกซื้อเท่านั้น แต่ยังคาดหวังประเด็นเรื่องความยั่งยืนจากบริษัทผู้ผลิตอีกด้วย ความยั่งยืนดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตอาหาร ตั้งแต่การสรรหาวัตถุดิบ การผลิต การบริโภค รวมไปถึงการทิ้งขยะบรรจุภัณฑ์ ซึ่งแน่นอนว่าจะสำเร็จได้ต้องเกิดจากความร่วมมือกันของทั้งซัพพลายเออร์ ผู้ผลิต ภาครัฐ ภาคค้าปลีก องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต่างๆ รวมทั้งตัวผู้บริโภคเองด้วย

2. แคร์ทุกช่วงวัย
อีกเทรนด์หนึ่งที่น่าสนใจ คือ การใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวขึ้น ผู้บริโภคจะดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เป็นการป้องกันตัวเองจากภาวะโรคต่างๆ มากกว่าที่จะรอการรักษา ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้บริโภคในแต่ละช่วงวัยมีสุขภาพที่ดี ทั้งสุขภาพกระดูก ข้อต่อ สมอง เป็นต้น

3. เสริ์ฟความสะดวก
ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริการ้อยละ 27 ให้ความเห็นว่า การเตรียมอาหารเพื่อสุขภาพเองเป็นการเสียเวลาไม่ใช่น้อย นอกจากนี้ ผู้บริโภคบราซิลร้อยละ 22 เต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่ม ถือเป็นการซื้อความสะดวก ส่งผลให้อาหารเช้าแบบซื้อแล้วหิ้วไปกินระหว่างทาง อาหารว่างที่อิ่มได้อย่างรวดเร็ว และโซลูชันสำหรับอาหารมื้อเย็นเป็นคำตอบที่ดี

นวัตกรรมการแปรรูปอาหารและเครื่องดื่ม
กระบวนการแปรรูปแบบใช้ความร้อนเป็นวิธีที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมายาวนาน อย่างไรก็ตาม การใช้ความร้อนสูงส่งผลให้คุณค่าทางโภชนาการ เช่น วิตามิน ตลอดจนลักษณะปรากฏบางประการ เช่น สี กลิ่นรส สูญเสียไป ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในกระบวนการแปรรูป เช่น เทคโนโลยี Pressure Assisted Temperature Sterilization (PATS) เทคโนโลยีโอห์มมิค เทคโนโลยีไมโครเวฟ เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ เทคโนโลยีอินฟราเรด เป็นต้น

The challenge for product and process development (commonly referred to as product development) is to develop a product which is acceptable to the “target consumer”. According to FAO, the retailer would see more than 20,000 new barcodes each year. After 39 weeks of launch, around 33% were successful, 42% were still in distribution but declining and 25% had failed.

Food Focus Thailand Roadmap # 46: New Product Ideas Edition has ended successfully. The special seminar was honored by expert speakers from both government and private sectors. This seminar guided you how to create “new to the world”, “product improvement” as well as “cost reduction”.

Global Trends Shining an Idea for R&D
There are 3 major global trends as followed;

1. Green Consumption
Nowadays, consumers expect not only nutrition from a product, but also sustainability from the food and beverage companies. Sustainability, therefore, is voted to be one of the major global trends. There should be a collaboration between suppliers, manufacturers, governments, non-profit organizations, retailers, and consumers. To ensure sustainability extends from farm to retailer, to fork to bin and, ideally, to rebirth as a new plant, ingredient, product or package.

2. Through the Ages
Preparing oneself for a longer and healthier lifespan is another trend. Consumer would like to pursuit holistic, proactive and ongoing lifestyle. Food and beverage products can help people of all ages improve their bone, joint, and brain health, as well as proactively address other age-related health concerns.

3. Elevated Convenience
It was founded that 27% of US consumers agree it takes too much time to prepare healthy food. And 22% of Brazilians are willing to pay extra to save time. Consequently, grab-and-go breakfast, quick snacks, and dinner-time solutions will be the answer.

Novel Food Processing Techniques
Thermal processing has been widely used for a long time. However, it has caused the loss of nutrition such as vitamin and also the unacceptable appearance in terms of color, flavour, etc. Novel thermal processing, for instances, pressure assisted temperature sterilization (PATS), ohmic heating, microwave heating, radio frequency processing, and infrared processing, has been developed.

มาตรฐานอาหารทั่วไปและระดับสากลสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร

By: เสฏฐวุฒิ ยอดนันทพัฒน์
Settawoot Yoodnunthaphat
Client Manager, Operations – Food Division
British Standards Institution (BSI)
settawoot.yoodnunthaphat@bsigroup.com

Full article TH-EN

เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารคือหนึ่งในปัจจัยหลักที่มนุษย์ใช้ในการดำรงชีพ เมื่อมีจำนวนประชากรมนุษย์เพิ่มมากขึ้นจึงส่งผลให้เกิดความต้องการอาหารมากขึ้น ดังนั้น การผลิตเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าวจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม การผลิตที่มีปริมาณและจำนวนมากขึ้นย่อมมีโอกาสเกิดความผิดพลาดมากขึ้นเช่นกันจึงทำให้ต้องมีมาตรฐานเข้ามาควบคุมทั้งด้านคุณภาพ และความปลอดภัยของอาหาร ตั้งแต่ระดับมาตรฐานอาหารทั่วไป ไปจนถึงมาตรฐานอาหารระดับสากล ทั้งอยู่ในรูปแบบภาคบังคับ หรือภาคความสมัครใจของแต่ละโรงงานอาหาร

ปัจจุบันมาตรฐานระดับสากลมีผลกระทบต่อการค้าอย่างรุนแรง ในอุตสาหกรรมอาหารต้องยกให้มาตรฐานของภาคเอกชนที่มีผลต่อการค้าระหว่างประเทศ คือ The Global Food Safety Initiative หรือ GFSI ที่มีผลกระทบต่อการซื้อขายผลิตภัณฑ์อาหารระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก โดย GFSI เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2543 โดยมีหน่วยงาน CIES-The Food Business Forum เป็นผู้ประสานการดําเนินงาน และมีคณะกรรมการบริหารมูลนิธิทําหน้าที่กําหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์และบริหารห่วงโซ่การผลิตอาหาร โดยมีแนวคิดที่ต้องการจัดทําระบบการรับรองที่สามารถลดความซ้ำซ้อน โดยมาตรฐานที่ได้รับการรับรองภายใต้ GFSI ณ ปัจจุบันมีทั้งหมดด้วยกัน 11 มาตรฐาน

นอกเหนือจากนี้ยังมีมาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ SQF (The Safe Quality Food) Edition 8, CanadaGAP Version 7.1, Global Aquaculture Alliance Seafood Processing, Global GAP ภายใต้ชื่อมาตรฐาน IFA Version 5.2, GRMS (Global Red Meat Standard) Version 6.0, PrimusGFS Version 3.0, JFSM (Japan Food Safety Management Association) ภายใต้ชื่อมาตรฐาน JFS-C Version 2.3 และ JGF (Japan GAP Foundation) ภายใต้ชื่อมาตรฐาน ASIAGAP version 2.1 ซึ่งได้รับการรับรองภายใต้ GFSI เช่นกัน

As we have known that food is one of the essential requisites for human livings, when the number of populations increase, it results in more demand for food. Therefore, the production to serve such demand also increases. However, the more productions have been made, the more errors can be occurred. It is necessary to have a standardization to control quality and food safety from the general food standard to international food standard both in compulsory form or the voluntary of each food factory.

At present, the international standard having a serious impact on trade in food industry is the standard of private sector that affects international trade, namely The Global Food Safety Initiative or GFSI that creates large effects on international trading of food products. GFSI was found by an integration of a large group of retailers, which was established in 2000. The CIES-The Food Business Forum was act as the coordinator, while the foundation management committee is responsible for determining strategically direction and managing the food production chain with the concept of creating a certification system that can reduce duplication. There are11 standards that are currently certified under GFSI.

In addition, there are other standards include SQF (The Safe Quality Food) Edition 8, CanadaGAP Version 7.1, Global Aquaculture Alliance Seafood Processing, Global GAP under the standard namely IFA Version 5.2, GRMS (Global Red Meat Standard) Version 6.0, PrimusGFS Version 3.0, JFSM (Japan Food Safety Management Association) under the standard namely JFS-C Version 2.3 and JGF (Japan GAP Foundation) under the standard namely ASIAGAP version 2.1, which is certified under GFSI as well.